บทที่ 21 ข้ากลัวแล้ว
เป็นธรรมดาที่บุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้จะมีผู้ติดตาม หากพวกเขาโดนหาเรื่อง ผู้ติดตามเหล่านั้นย่อมกล้าใช้ดาบสับพวกที่มาก่อกวนให้สิ้น
เมื่อเสียงร่ำไห้ของอู๋ยงดังขึ้น ผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งราวแปดเก้าคน
จึงรีบพุ่งเข้ามา
เมื่อเห็นทัพเสริมมาแล้ว ประกายในดวงตาของอู๋ยงก็สว่างขึ้นทันที เขากุมจมูกด้วยมือข้างหนึ่ง ชี้ไปที่ฉินเฟิง พลางตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ตีมันให้ตาย ถ้ามันตาย ข้าจะรับผิดชอบเอง!”
สุนัขรับใช้เหล่านี้มักหยิ่งยโสโอหัง เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกมันก็รีบตรงไปหาฉินเฟิง ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีคนคุ้มกะลาหัวให้พวกมัน
เมื่อเห็นฉากนี้ ฉินเฟิงก็ตกใจและรีบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเสิ่นชิงชวง เขาใช้ร่างกายที่ผอมเพรียวของนางเป็นเกราะกำบัง ทำให้เกิดเสียงดูถูกเหยียดหยามตามมาในทันที
ฉินเฟิงจนปัญญา เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “ฆ่าคนแล้ว อู๋ยงบุตรชายเสนาบดีกรมขุนนางกำลังจะฆ่าคนในที่สาธารณะ ข้าคือฉินเฟิง บุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม ช่วยข้าด้วย”
เมื่อได้ยินเสียงคำรามที่น่ากลัวของนายน้อยตระกูลฉิน แขกด้านล่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ บางคนถึงกับตะโกนว่า “สุนัขกัดกัน! กัดให้ตายถึงจะดี!”
เมื่อเห็นฉินเฟิงขี้ขลาดเพียงนี้ ดวงตาของอู๋ยงก็เต็มไปด้วยความดูถูก เขาตวาดลั่น “ยืนบื้ออะไร ตีมันให้ตาย!”
คำพูดเหล่านี้ตรงใจฉินเฟิงพอดี เขาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเสิ่นชิงชวง เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ได้ ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นตื่นตระหนกและร้องออกมาดังลั่น “ช่วยด้วย ฆ่าคนแล้ว”
เมื่อเห็นว่าผู้ติดตามกำลังจะพุ่งไปหาฉินเฟิง จังหวะนี้ทุกคนพลันรู้สึกดวงตาพร่ามัวไปชั่วขณะ เพราะเงาร่างสวยงามที่ยืนอยู่ตรงหน้านายน้อยตระกูลฉิน ฝ่าเท้าที่แลดูนุ่มนวลของนางเตะลงบนใบหน้าของเหล่าผู้ติดตามด้วยมุมที่แปลกประหลาด
ตอนนี้สายตาของชูเฟิงไม่มีความลังเลใด ๆ สถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว มีคนต้องการฆ่านายน้อยของนาง ทุกคนในที่เกิดเหตุเป็นพยานได้ เพื่อปกป้องฉินเฟิง ชูเฟิงย่อมไม่ยั้งมือไว้ไมตรี
แรงเตะนี้ทำให้สันจมูกของผู้ติดตามหักจนเลือดกระเซ็นออกมา ร่างเขาทรุดลงทันที ผู้ติดตามที่เหลืออยู่ตอนนี้ถึงกับตกตะลึง
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังทึ่ง ชูเฟิงก็ใช้ช่องโหว่นี้พุ่งเข้าไปหา นางใช้ทั้งมือและเท้า โดยไม่ได้แสดงท่าทางโลดโผนอะไรมากมาย หนึ่งต่อยหนึ่งเตะ ทว่าความเร็วและพละกำลังกลับสูงมาก เพลงหมัดของนางมั่นคง ไร้ความปรานี
ทุกครั้งที่นางปล่อยหมัดหรือเท้า ผู้ติดตามฝ่ายตรงข้ามจะล้มลงและไม่สามารถต่อสู้ต่อไปได้ พวกเขาถึงกับลุกขึ้นยืนไม่ไหวไปชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อเห็นฉากนี้อู๋ยงก็ตกตะลึง แต่ฉินเฟิงกลับตื่นเต้นมาก ชายหนุ่มตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเอาตัวชูเฟิงมาไว้ข้างกายให้ได้
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อผู้ติดตามคนสุดท้ายล้มลง อู๋ยงที่เมื่อครู่ยังคงหยิ่งยโสก็ตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์
นายน้อยตระกูลฉินกระโดดออกมาจากด้านหลังเสิ่นชิงชวง เขาวิ่งไปเตะอู๋ยงที่ท้องแล้วตะโกน “นายน้อยอู๋ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าไม่กล้าแล้ว”
อู๋ยงเจ็บปวดมาก เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิงความกลัวในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธทันที เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ฉินเฟิง เจ้ามันไร้ยางอายเกินทน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายน้อยเจ้าสำราญก็ยกมือกุมหน้าอก แล้วทำท่าทางสื่อว่า ข้ากลัวแล้ว “นายน้อยอู๋ เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ ข้าเป็นคนนี้เป็นขี้กลัวมาก…”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาอู๋ยงก็ตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก น่าเสียดาย สิ่งที่เขาพูดไม่ต่างอะไรจากน้ำที่สาดออกไป
ฉินเฟิงยกขาเตะอู๋ยงจนหน้าหงาย เขาเหยียบลงบนอกของอีกฝ่ายพลางเงยศีรษะขึ้นสูงอย่างย่ามใจ ทว่าเมื่อเปิดปาก กลับเปล่งเสียงราวชายผู้อ่อนแอออกมา “ทุกท่านก็เห็นแล้ว นายน้อยอู๋โจมตีข้าก่อน จากนั้นก็สั่งให้คนมาฆ่าข้า มาถึงตอนนี้ยังขู่ข้าอีก ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง”
แขกที่มาร่วมงานต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ทุกคนมีสีหน้าราวกับเห็นผี
แน่นอนว่าพวกเขาเคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อน! เห็นได้ชัดว่าอู๋ยงถูกทุบตีตั้งแต่เริ่ม แต่ฉินเฟิงกลับทำตัวเหมือนเป็นเหยื่อแทน หนังหน้าเขาหนาเพียงนี้เชียว?
ในชีวิตของอู๋ยง เขาเคยทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสูเช่นนี้เสียเมื่อไหร่ เขากอดเท้าฉินเฟิงตะโกนทั้งที่นัยน์ตายังแดงก่ำ “ฉินเฟิง มันยังไม่จบหรอกนะ!”
ยังไม่ยอมอีก?
ภายใต้สายตาเหลือเชื่อของทุกคน ร่างกายของฉินเฟิงสั่นอย่างรุนแรง ราวกับกำลังจะเป็นบ้า เขาปากเบี้ยวตาเข จากนั้นก็ประเคนหมัดและฝ่าเท้าใส่นายน้อยตระกูลอู๋ไม่ยั้ง มือเท้าต่อยเตะไป ปากก็ตะโกนอย่างไร้ยางอาย “นายน้อยอู๋ เจ้าอย่าทำให้ข้ากลัวสิ ข้ากลัวจนอาการกำเริบอีกแล้ว ไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ว่าข้าเคยตกน้ำมาก่อน สมองข้าโดนไอเย็นจนไม่ค่อยจะดีนัก ไอหยา ร่างกายของข้าเสียการควบคุมแล้ว”
ในขณะที่ตะโกน ฉินเฟิงก็ซัดอู๋ยงจนอีกฝ่ายคล้ายจะเป็นลม
นายน้อยตระกูลฉินยังไม่คลายโกรธ เขาหันกลับไปมองผู้ติดตามของตระกูลอู๋ที่พุ่งเข้ามา ก่อนจะเอ่ยว่า “นายของพวกเจ้าทำให้ข้ากลัวมากจนอาการกำเริบ พวกเจ้าต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ข้าด้วย”
ไม่ต้องพูดถึงผู้ติดตามของตระกูลอู๋ แม้แต่แขกที่รู้ความก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของพวกเขาชาหนึบจากความไร้ยางอายของคนผู้นี้
ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่มีชูเฟิงอยู่ข้างกาย ฉินเฟิงก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเองอีก
เมื่อเห็นผู้ติดตามตัวแข็งอยู่กับที่ด้วยความงุนงง นายน้อยตระกูลฉินก็คว้าสายคาดเอวของอู๋ยงแล้วยกยิ้ม “ตอนนี้ข้าอาการกำเริบแล้ว ไม่ว่าอะไรล้วนกระทำได้ทั้งสิ้น เอ…หรือจะให้พวกเจ้าได้ชื่นชมบั้นท้ายขาวราวหิมะของนายน้อยอู๋ดี”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ผู้ติดตามก็ใจร่วงไปถึงตาตุ่ม ถ้าอีกฝ่ายถอดกางเกงอู๋ยงจริง ๆ เสนาบดีกรมขุนนางย่อมเสียศักดิ์ศรี ถึงเวลานั้นไม่ว่าถูกหรือผิด อย่าหวังเลยว่าผู้ติดตามที่ควรจะปกป้องนายน้อยของตระกูลอย่างพวกเขาจะรอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดียว!
“เร็วเข้า! กลับไปที่จวนแล้วบอกให้พ่อบ้านเอาเงินมา!”
หัวหน้าผู้ติดตามคุกเข่าลงบนเวทีจนเกิดเสียงดังตึ้ง ขณะเดียวกันก็ร้องไห้ออกมาด้วย “นายน้อยฉินโปรดเมตตา หากท่านถอดกางเกงนายน้อยอู๋จริง ๆ พวกเราคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่ ท่านว่ามาเถิด ต้องการเงินเท่าไหร่ล้วนได้ทั้งสิ้น!”
ฉินเฟิงคว้ากางเกงของอู๋ยงด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็เท้าคางพลางครุ่นคิด “ค่ารักษา ค่าทำขวัญ ในเมื่อต่างก็เป็นบุตรของขุนนางเช่นกัน ข้าก็ไม่ต้องการอะไรมากมายหรอก เงินห้าหมื่นตำลึงเงินก็เพียงพอแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของผู้ติดตามก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่เพื่อรักษา ‘ความบริสุทธิ์’ ของผู้เป็นนายเขาทำได้เพียงกัดฟันและตกลง
ขณะที่ผู้ติดตามของตระกูลอู๋กลับจวนไปหยิบเงินด้วยความตื่นตระหนก จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังขึ้น
“ฉินเฟิง เจ้ากำเริบเสิบสานนัก!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายน้อยตระกูลฉินก็อดระเบิดความปีติยินดีอยู่ภายในใจไม่ได้ อะไรอีก? มีคนต้องการทุบตีข้าอีกงั้นหรือ? เช่นนั้นก็ดีเลย เอาให้หนัก ๆ หนักเสียจนข้านายน้อยผู้นี้กลายเป็นคนร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงไปเลย
ฉินเฟิงมองไปยังทิศทางต้นเสียง เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินมาหา
ตามความทรงจำก่อนหน้า คนผู้นี้คือจ้าวฉางฟู่ เจ้าของหอเซียนเมามายแห่งนี้
จ้าวฉางฟู่ชี้มาที่เขาและกล่าวเสียงต่ำ “รีบปล่อยนายน้อยอู๋บัดเดี๋ยวนี้!”
“ใครก็ได้ รีบมาช่วยพยุงท่านโหวน้อยอันขึ้นมาหน่อย”
สิ้นคำสั่งของจ้าวฉางฟู่ พนักงานในร้านก็เข้ามาช่วยอู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นจากเงื้อมมือของฉินเฟิง
ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยเลือด อู๋ยงวิงเวียนศีรษะ และแม้ใบหน้าของอันชื่ออวิ๋นจะเต็มไปด้วยความโมโห แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังเด็ก น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้
MANGA DISCUSSION