บทที่ 209 ทุ่มไม่อั้น
หลี่จ้านถอนหายใจ ทูลต่ออย่างทอดถอนอารมณ์ “คราแรกบ่าวก็มีความกังวลนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่หลังจากส่งคนไปตรวจสอบอย่างรอบคอบ พบว่าไม่ว่าทหารองครักษ์เหล่านั้นจะมีสภาพอเนจอนาถแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีวันก่อจลาจล”
“ฉินเฟิงทุ่มเททรัพย์สินไปมหาศาล! ทหารองครักษ์แต่ละคนได้รับเงินเดือนถึงสิบตำลึงเงิน! คิดเป็นเงินประจำปีเท่ากับหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงเงิน นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเหลียงที่ทหารได้เงินสูงขนาดนี้ และอาหารการกินก็นับว่าใจกว้างทีเดียว องครักษ์แต่ละคนล้วนได้รับค่าอาหารต่อวันหนึ่งร้อยอีแปะ”
“จริงหรือ?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงค่อนข้างตกใจกับพฤติกรรม ‘บุตรล้างผลาญ’ ของฉินเฟิง
เงินจำนวนมากถูกใช้ไปกับเงินเดือนและอาหารเพียงอย่างเดียว ในอนาคตเมื่อคิดคำนวณค่าอาวุธและอุปกรณ์ รวมถึงค่าความสูญเสียต่าง ๆ ในทุกครั้งที่ฝึกทหาร ค่าใช้จ่ายย่อมจะสูงถึงหลายร้อยหรืออาจจะหลายพันตำลึงเงิน
วิธีการฝึกฝนที่ฟุ่มเฟือยนี้ ไม่ต้องพูดถึงเมื่อมีการเลื่อนตำแหน่งเลย เพราะแม้จะฝึกทหารรักษาการณ์เพียงคนเดียว ก็เกรงว่าอาจทำให้ท้องพระคลังต้าเหลียงล้มละลายได้!
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตระหนักดีว่า วิธีการฝึกทหารของฉินเฟิงไม่สามารถลอกเลียนแบบ แต่เขาก็สงสัยนักว่าทหารชั้นยอดจากฝีมือของฉินเฟิงจะ ‘ยอดเยี่ยม’ ถึงขนาดไหน
สามารถสู้แบบหนึ่งต่อร้อยได้หรือไม่?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ!
ฉินเฟิงมอบอำนาจกิจการร้านหนังสือให้เสิ่นชิงฉือกับหลินฉวีฉีจัดการ หลังออกจากหอวิจิตรศิลป์ เขาก็ไม่ได้รีบกลับไปที่ค่าย และกลับไปยังจวนตระกูลฉินก่อน เขาสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูกับเสี่ยวเซียงเซียงเก็บข้าวของ ช่วงนี้นายน้อยฉินจะย้ายไปอยู่ที่ค่ายเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สะดวกในการเดินทางไปกลับ
หลังจากนั้นก็ไปที่เรือนเล็กของพี่หญิงสี่จิ่งเชียนอิ่งเที่ยวหนึ่ง
ทันทีที่ฉินเฟิงผ่านประตูเข้าไป กระบี่เย็นเยียบก็บินเข้ามาหา แฉลบผ่านศีรษะของฉินเฟิงและตอกเข้าที่บานประตูเหนือหัวเขาอย่างแม่นยำ
พลังนั้นแข็งแกร่งมากจนกระบี่ยังคงสั่นไหว
แม่งเอ๊ย!
อีกแค่นิดเดียว!
ฉินเฟิงตกใจจนขนลุกไปทั่วร่าง พลันร้องคร่ำครวญ “มีนักฆ่า! พี่หญิงสี่ ชูเฟิง พวกเจ้าอยู่ไหน? มาช่วยข้าเร็ว!”
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังตะโกนและกรีดร้อง เสียงเย็นชาของจิ่งเชียนอิ่งก็ดังขึ้น “ถ้าเจ้ากรีดร้องอีกครั้ง ข้าจะดึงลิ้นของเจ้าออกมาเสีย! ใครให้เจ้าเข้ามาในเรือนข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตกัน!”
แม้ว่าในอดีตจิ่งเชียนอิ่งจะไม่พอใจอย่างยิ่งหากมีคนอื่นเข้ามาในเรือนโดยพลการ แต่นางก็ไม่เคยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่านางถูกรังแกและกำลังระงับความโกรธอยู่?
ทันทีที่เขาคิดถึงอย่างนั้น ฉินเฟิงก็ส่ายหัว กำจัดความคิดไร้สาระออกไปอย่างรวดเร็ว
นี่คือจิ่งเชียนอิ่ง หนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งเมืองหลวงเชียวนะ!
ประกอบกับบุคลิกเย็นชาของนางแล้ว ใครจะกล้าล่วงเกินนางได้เล่า?
ในเมื่อคิดไม่ออก ฉินเฟิงก็ขี้เกียจใช้งานเซลล์สมองอย่างสิ้นเปลือง
เขาใช้กำลังทั้งหมดดึงกระบี่เหมันต์ออกจากประตูเรือน วิ่งไปหาจิ่งเชียนอิ่งอย่างกระตือรือร้น วางกระบี่ลงด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าประจบสอพลอ “พี่หญิงสี่ มีผู้ใดยั่วยุท่านหรือ? เพียงแค่บอกข้ามา ข้าจะทำให้คนผู้นั้นได้เห็นดีกัน!”
เมื่อเห็นคำสาบานของฉินเฟิง จิ่งเชียนอิ่งก็แค่นเสียง เอ่ยอย่างเย็นชา “หึ อย่างเจ้าน่ะหรือ? เลิกคิดเสียเถอะ!”
ฉินเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เจียมตัว เขายังตบหน้าอก และเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจว่า “เมื่อก่อนไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ข้ามีคนมากกว่าพันอยู่ในมือ แค่ให้พวกเขาถ่มน้ำลายใส่เป้าหมายคนละทีก็สามารถกำจัดขยะนั้นให้ท่านได้แล้ว พี่หญิงสี่ ช่วยบอกข้าทีว่าไอ้ขยะที่ยั่วยุท่านมันเป็นใครกัน!”
เมื่อเห็น ‘ความจริงใจ’ ของฉินเฟิง จิ่งเชียนอิ่งก็ตอบอย่างทนไม่ไหว “อยู่ไกลถึงขอบฟ้า อยู่ใกล้แค่ตรงหน้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายน้อยเจ้าสำราญก็รีบมองไปรอบ ๆ
ในเรือนเล็กนี้มีคนอาศัยอยู่แค่สองคนนายบ่าวคือ จิ่งเชียนอิ่งและชูเฟิง
ตามคำร้องขอที่ทั้งหลอกล่อและเกลี้ยกล่อมของฉินเฟิง ช่วงนี้ชูเฟิงจึงไปที่ค่ายเพื่อช่วยงาน โดยส่วนใหญ่นางรับผิดชอบการสอนทักษะกังฟูกับลูกเตะขั้นพื้นฐานแก่ทหารเกณฑ์ใหม่
เมื่อมองดูเรือนที่ว่างเปล่า ฉินเฟิงอดก็ไม่ได้ที่จะเบิกตาขึ้น และแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก พลันเอ่ยเสียงต่ำ “อยู่ไกลถึงขอบฟ้าอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า?! ในเรือนนี้ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว ยกเว้นท่านและข้า เป็นไปได้หรือไม่ว่า… พี่หญิงสี่ เรือนของท่านมีผีสิงหรือ?!”
ฉินเฟิงทำหน้า ‘หวาดกลัว’ และฉวยประโยชน์จากสถานการณ์แอบอิงพิงร่างจิ่งเชียนอิ่งทันที
จิ่งเชียนอิ่งตีเจ้าเด็กไม่รู้ความด้วยฝ่ามือ แม้ว่าฉินเฟิงจะเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ก็ไม่ได้มีบาดแผลแต่อย่างใด
เมื่อมองดูน้องชายคนนี้ คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็โกรธจัด นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “หยุดแสร้งทำเป็นเลอะเลือนได้แล้ว ขยะนั่นก็คือเจ้า!”
ฉินเฟิงยกแขนที่เกือบจะหักขึ้นกันด้วยสีหน้าสับสนและไร้เดียงสา “พี่หญิงสี่ ท่านไม่สามารถกล่าวหาข้าอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนี้ได้นะ ข้าไม่ได้กลับมาหลายวันแล้ว แม้ว่าข้าจะต้องการยั่วยุท่านก็คงไม่มีโอกาสให้ทำกระมัง?”
เมื่อเห็นฉินเฟิงเบะริมฝีปาก ราวกับได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเสียเต็มประดา จิ่งเชียนอิ่งก็อยากจะดุเขา แต่เมื่อคำพูดนั้นมาถึงปาก นางกล้ำกลืนมันลงไป แม้น้ำเสียงจะยังเย็นชา แต่ความโกรธในใจกลับลดลงไปไม่น้อย
“เดิมทีเรือนหลังนี้เงียบเหงา ข้าอยู่อย่างสันโดษที่นี่ อาศัยการสนทนากับสาวใช้เพื่อทำความเข้าใจโลกภายนอก บัดนี้บ่าวรับใช้ในเรือนถูกเจ้าแย่งไปแล้ว หูของข้าก็เงียบเหงาตลอดทั้งวัน เจ้ายังบอกว่าเจ้าไม่ได้ยั่วยุข้าอีกหรือ?”
ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้
วรยุทธ์ของจิ่งเชียนอิ่งนั้นอยู่ในระดับสูง เป็นธรรมดาที่ความสามารถในการได้ยินของนางจะเหนือกว่าแบบที่คนทั่วไปไม่อาจเทียบได้กับ
ถ้อยคำของสาวใช้และบ่าวรับใช้ทุกคนที่เดินผ่านเรือนไม่สามารถเล็ดรอดหูของจิ่งเชียนอิ่งไปได้ แม้ว่าพวกเขาจะกระซิบกันก็ตาม
แต่บัดนี้ เรือนหลังทั้งหมดถูกทิ้งร้างให้หนาวเหน็บ และคุณหนูสี่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาบ้างแล้ว
ฉินเฟิงประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าพี่หญิงสี่ที่เย็นชามาโดยตลอดจะกลัวการอยู่คนเดียว!
เมื่อเทียบกับพี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรองแล้ว ฉินเฟิงรู้เรื่องพี่หญิงสี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของจิ่งเชียนอิ่ง ชายหนุ่มไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
ในจวนตระกูลฉิน มีเพียงตาเฒ่าฉินเท่านั้นที่รู้เรื่องราวภายในทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่ฉินเฟิงถาม เขาก็มักจะถูกตาเฒ่าฉินด่าเปิง หรือไม่อีกฝ่ายก็จะเบี่ยงประเด็นเสีย
แต่จากนิสัยของจิ่งเชียนอิ่งที่มักจะ ‘ปฏิเสธทุกคนและให้ห่างถอยออกไปหลายพันลี้’ ประกอบกับจุดอ่อนอย่างการกลัวความเหงาในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าจิ่งเชียนอิ่งต้องทนทุกข์ทรมานกับความโศกเศร้าในอดีต นางจึงใช้รูปลักษณ์ที่เย็นชาไร้ความรู้สึกปกปิดความเปราะบางของจิตใจ
นายน้อยเจ้าสำราญมองออกทะลุปรุโปร่งแต่ไม่พูดอะไรออกไป
โชคดีที่ฉินเฟิงมาพบนางในวันนี้ จึงสามารถบรรเทา ‘ความทุกข์จากความเหงา’ ของจิ่งเชียนอิ่งได้พอดี พลันเขาพูดอย่างตื่นเต้น “พี่หญิงสี่ ข้าวางแผนที่จะจ้างท่าน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้คนฟังก็เลิกคิ้ว เสียงเย็นชาของนางเผยความประหลาดใจอย่างไม่อาจจับสังเกต “เจ้าจะจ้างข้าทำอันใด?”
ฉินเฟิงถูมือไปมา แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “ไม่ใช่ว่าข้ากำลังสร้างกองทัพใหม่อยู่หรอกหรือ? ในฐานะหัวหน้าครูฝึก ข้ารู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไร หากเป็นเพียงการฝึกฝนร่างกายทั่วไป ข้าสามารถทำได้ตามธรรมชาติ ทว่าแม้ทักษะกังฟูและลูกเตะจะมีชูเฟิงมาคอยดูแล แต่ขณะนี้เรายังต้องการผู้ฝึกสอนด้านอาวุธ และข้าหวังว่าพี่หญิงสี่จะมารับตำแหน่งนี้”
ไม่ว่าจะเป็นสมรรถภาพทางกายหรือกังฟู สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงทักษะพื้นฐาน
สิ่งที่สามารถตัดสินชัยชนะหรือพ่ายแพ้ในสนามรบได้อย่างแท้จริงย่อมไม่พ้นทักษะการใช้อาวุธ
ในฐานะหนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งเมืองหลวง จิ่งเชียนอิ่งเก่งเรื่องการใช้กระบี่มากที่สุด
นอกจากนี้ อาวุธที่ต้องใช้ต่อสู้ระยะประชิด เช่น มีด ขวาน ค้อน นางก็ใช้ได้คล่องมือเช่นกัน
ตราบใดที่จิ่งเชียนอิ่งรับผิดชอบงานนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของกองทัพใหม่จะได้รับการยกระดับในเชิงคุณภาพทันที
คุณหนูสี่ตระกูลฉินไม่สนใจการสอนศิลปะการต่อสู้ แต่นางใส่ใจกับคำว่า ‘จ้าง’ เป็นพิเศษ
เมื่อเทียบกับเสิ่นชิงฉือและหลิ่วหงเหยียนแล้ว จิ่งเชียนอิ่งนับว่าขาดแคลนเงินมากที่สุด
เมื่อพิจารณาถึงอุปนิสัยไม่ตื่นเช้าหากไม่ได้รับผลประโยชน์ของพ่อค้าหน้าเลือดอย่างฉินเฟิงแล้ว จิ่งเชียนอิ่งก็ไม่ได้วาดความหวังไว้สูงนัก
นางแค่นเสียงเย็นทันที “อยากจ้างข้า เจ้าจะจ่ายไหวหรือ?!”
MANGA DISCUSSION