บทที่ 205 ทำให้ดูเป็นแบบอย่าง
ฉินเฟิงกระซิบสองสามคำข้างใบหูของหนิงหู่
แม้หนิงหู่จะประหลาดใจ แต่เขายังคงทำตามคำแนะนำของฉินเฟิง จึงประกาศเสียงดัง “ภายในครึ่งชั่วยาม เราจะไปวิ่งรอบเมืองหลวง คนที่กลับมาไม่ถึงตามเวลากำหนดจะถูกลงโทษด้วยการอดอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้! และคนที่ทำไม่ติดต่อกันสำเร็จห้าครั้งจะถูกคัดออก ส่งตัวกลับหน่วยลาดตระเวน”
สิ้นเสียงของหนิงหู่ บรรดาทหารที่กำลังมีจิตใจฮึกเหิมพลันก็กลายเป็นมะเขือยาวที่ถูกน้ำค้างแข็ง
ชั่วขณะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงโอดครวญขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“ครึ่งชั่วยาม? จะเป็นไปได้อย่างไร! ต่อให้ขี่ม้าก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามแล้ว ขาคนจะเร็วเท่าขาม้าได้รึ?”
“เร็วไม่เร็วก็ช่างเถอะ แค่เพียงการวิ่งเต็มกำลังครึ่งชั่วยาม ก็อาจจะทำให้เหนื่อยตายได้แล้ว!”
“นายน้อยฉิน ภารกิจแบบนี้อย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้เป็นพวกหัวกะทิที่ได้รับการฝึกฝนมาตลอดทั้งปี ก็เกรงว่าคงจะทำไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำร้องเรียนจากเหล่าทหาร ฉินเฟิงก็ไม่สนใจที่จะอธิบาย และไม่สนใจที่จะเสียเวลากับพวกเขาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเพียงแค่หันหลังกลับไปนั่งในศาลา เอาผ้าห่มมาคลุมตัว และพูดกับฉินเสี่ยวฝู ง่าย ๆ ว่า “ปลุกข้าในอีกครึ่งชั่วยาม”
แม้ว่าสวีโม่ที่อยู่ข้าง ๆ จะรู้สึกว่าภารกิจนี้ยากลำบากเกินไปจริง ๆ ทว่านับตั้งแต่เขาติดตามฉินเฟิง เขาก็มีความไว้วางใจอย่างไร้เงื่อนไขต่อนายน้อยฉิน จึงพูดอย่างเย็นชาว่า “เริ่มจับเวลาแล้ว พวกเจ้าจะบ่นต่อไปก็ได้ แต่หลังจากครึ่งชั่วยาม…ผู้ล้มเหลวห้ามกินข้าวเช้า!”
หลังได้ยินอย่างนี้ บรรดานายทหารรู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ แต่ก็กัดฟันวิ่งไปทางกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงก็ชะโงกศีรษะที่ซุกอยู่ในผ้าห่มออกมา และตะโกนใส่สวีโม่กับหนิงหู่ “นี่! พวกเจ้าสองคนยืนบื้ออะไรอยู่? ยังไม่ไปวิ่งอีกรึ?!”
หนิงหู่กับสวีโม่มองหน้ากันด้วยความสับสน จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น และออกวิ่งตามพวกทหารไป
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เป็นไปตามที่ฉินเฟิงคาดไว้ หนิงหู่กับสวีโม่ต่างก็เป็นบุตรหลานขุนนาง มีเวลาและเงื่อนไขในการฝึกฝนค่อนข้างมาก ทำให้สภาพร่างกายของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ทหารนายอื่น ๆ จะเทียบเคียงได้ ทั้งคู่จึงมาถึงทันเวลาพอดี
แต่กระนั้น สภาพก็ไม่ได้ดีนัก ทั้งคู่ล้มลงกับพื้น หายใจแรง เหนื่อยหอบจนแทบจะขยับตัวไม่ได้
บุตรหลานตระกูลแม่ทัพยังเป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์ของทหารธรรมดาแค่จินตนาการก็รู้ได้แล้ว
ฉินเฟิงลุกขึ้นนั่ง ขดตัวเองอยู่ในผ้าห่ม แม้อีกสามเดือนข้างหน้าจะถึงสารทฤดูแล้ว แต่ยามค่ำคืนนอกเขตเมืองก็ยังมีไอเย็นอยู่
เกือบจะเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป กว่าบรรดาทหารทั้งหลายที่วิ่งกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบจะปรากฏตัวในระยะสายตาของนายน้อยเจ้าสำราญ
เมื่อมาถึงตรงหน้าชายหนุ่ม เหล่าทหารก็ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนล้าทันที หากพวกเขาไม่ได้หอบหายใจแรงอยู่ก็คงดูไม่ต่างอะไรจากคนตาย
การเดินทัพไม่ใช่เรื่องยากของทหารในยุคนี้ แต่การเดินเป็นขบวนกับการวิ่งด้วยความเร็วสูงมีความแตกต่างกันอย่างมาก
คนเหล่านี้ล้วนชินกับรูปแบบการต่อสู้ที่เชื่องช้า เมื่อต้องเผชิญกับการฝึกฝนเข้มข้นและหนักหน่วงอย่างฉับพลัน การสามารถทนอยู่ได้ถึงตอนสุดท้ายก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
ต้องใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยามกว่าทหารสามร้อยนายจะมาครบ
เมื่อมองไปยังนายทหารที่นอนกองอยู่บนพื้น ฉินเฟิงก็ส่ายหัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง “วิ่งรอบเมืองต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยาม แล้วยังหมดสภาพเช่นนี้อีก สภาพร่างกายอย่างพวกเจ้ากลับบ้านไปทำไร่เสียเถอะ! ไม่อย่างนั้นถ้าไปสนามรบก็คงมีแต่จะต้องตาย!”
เมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยและการดุด่าอย่างไร้ความปรานีของฉินเฟิงเหล่าทหารก็ก้มศีรษะลง พวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้ก่อนหน้านี้ไปนานแล้ว
ทันใด ทหารนายหนึ่งก็ยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจ จ้องมองฉินเฟิงพลางมือกำหมัดแน่น “ข้าไม่ยอมรับ! การฝึกทหารต้องใส่ใจกับความจริงจังและความสงบเรียบร้อย การวิ่งเต็มกำลังเช่นนี้จะรักษารูปขบวนได้อย่างไร? หากต้องการฆ่าศัตรูก็ควรจัดขบวนทัพ พึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องวิ่งสักนิด”
“นายน้อยฉินเป็นปัญญาชน แม้ว่าความสามารถทางทหารของท่านจะน่าประทับใจ แต่วิธีการฝึกฝนไม่เหมาะสมยิ่งนัก”
แม้ว่าทหารนายอื่นจะไม่ลุกขึ้นตั้งคำถามใด ๆ แต่สายตาของพวกเขาก็เห็นด้วยกับคำพูดของคนผู้นี้อย่างชัดเจน
เมื่อเผชิญกับคำถาม ฉินเฟิงหรี่ตาลง เขาแสดงรอยยิ้มใจดีเหมือนผู้อาวุโส และเหยียดแขนชี้นิ้วไปทางนายทหารที่โต้แย้ง “โบยยี่สิบไม้! ไล่กลับไปที่หน่วยลาดตระเวนเมือง!”
ทหารนายนั้นตกตะลึง ก่อนจะได้โต้ตอบ เขาก็ถูกสวีโม่ลากออกไป ไม่นานเสียงคร่ำครวญก็แว่วมา
อย่าว่าแต่พวกทหารที่อยู่ตรงนั้นเลย แม้แต่ทหารใหม่ที่กำลังลำเลียงไม้อยู่ไกล ๆ ก็ขมวดคิ้ว พวกเขาคิดว่าฉินเฟิงเป็นผู้บัญชาการที่ดี แต่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกที่ดีเลยสักนิด
ฉินเฟิงไม่สนใจสายตาแปลก ๆ รอบตัว เขานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้หวาย ประสานมือไว้ด้านหน้า และบอกให้ฉินเสี่ยวฝูไปจุดถ่านมา ก่อนจะพูดอย่างเหม่อลอย “ข้าเคยกล่าวไว้ว่าหน้าที่ของทหารคือการเชื่อฟัง ไม่ว่าข้าจะสั่งอะไรก็ตาม คำสั่งทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกซักถาม ทำได้เพียงเชื่อฟังเท่านั้น ต่อให้ข้าจะเป็นฝ่ายผิดและเจ้าจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม”
“อยากให้คำแนะนำรึ? ได้! บอกหัวหน้าหน่วยก่อน แล้วให้หัวหน้าหน่วยบอกหัวหน้าค่าย แล้วหัวหน้าค่ายค่อยถ่ายทอดให้หนิงหู่หรือสวีโม่ จากนั้นพวกเขาจะมาแจ้งข้าเอง ทุกคนจำเอาไว้! เว้นแต่เบื้องบนจะไร้คุณธรรม ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจก้าวข้ามอำนาจหน้าที่ได้!”
“ข้ารู้ว่าตอนนี้พวกเจ้าไม่เห็นด้วย และคิดว่าข้าเป็นแค่ปัญญาชน ดีแต่พูดไม่ลงแรง ทว่าไม่เป็นไร ข้าจะทำให้พวกเจ้ายอมเชื่อฟังทั้งกายและใจเอง!”
ฉินเฟิงเลิกผ้าห่มขึ้น ยืดกล้ามเนื้อสองสามที แล้ววิ่งไปทางกำแพงเมือง
ความเร็วไม่นับว่าเร็วมาก แต่ควบคุมความเร็วคงที่ได้ดี ขณะวิ่งก็ปรับจังหวะลมหายใจได้
ครึ่งชั่วยามต่อมาฉินเฟิงก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
แม้ว่าจะช้ากว่าเวลาที่กำหนดไปเกือบหนึ่งถ้วยชา แต่เมื่อฉินเฟิงกลับมายังสนามฝึกซ้อมและนั่งลงบนเก้าอี้หวาย ทุกคนก็พบว่า ถึงเขาจะหน้าแดง หัวใจเต้นเร็ว ทว่าก็ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ทรุดตัวลงอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนไหว
ทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง
“นายน้อยฉินวิ่งมาได้จริง ๆ หรือ? เป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นแค่ปัญญาชน…”
“แม้ว่าเวลาจะไม่ดีเท่านายกองสวีกับท่านโหวน้อย แต่ดูเหมือนว่าจะควบคุมร่างกายได้ดีกว่า…”
อย่าว่าแต่เหล่าทหารเลย แม้แต่สวีโม่กับหนิงหู่ก็ประหลาดใจ ไม่คิดว่าพลังกายของฉินเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้
นายน้อยผู้นี้ไม่ใช่แค่คนอ่อนแอที่ไม่สามารถยกไหล่ยกมือได้หรอกหรือ?
ทุกคนหารู้ไม่ว่า…
ก่อนหน้านี้ที่ฉินเฟิงบอกให้ฉินเสี่ยวฝูไปเอาถ่าน จริง ๆ แล้วคือให้ไปจัดรถม้ามารับ นายน้อยเจ้าสำราญใช้กลอุบายหลอกทุกคนเข้าอีกแล้ว
หากเป็นร่างกายเดิมของเขาในโลกที่จากมา การวิ่งไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร เพราะเขายังพอมีสภาพร่างกายที่ดีอยู่บ้าง แต่ร่างนายน้อยเจ้ากรรมนี่ไร้เรี่ยวแรงนักเพราะใช้ไปกับสุรานารีหมดแล้ว ไม่สามารถทนต่ออะไรได้เลย
เหตุผลในการทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญของสภาพร่างกาย
ฉินเฟิงเลิกคิ้วพลางพูดอย่างไร้ยางอาย “ตอนนี้ใครยังคิดว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพอจะฝึกพวกเจ้าอีกบ้าง? ถ้าอยู่ในสนามรบและต้องเผชิญกับการไล่ล่าของทหารม้า พวกเจ้านั่นแหละจะตายอยู่ตรงหน้าข้า”
เหล่าทหารพูดไม่ออก ดวงตาเต็มไปด้วยความอับอาย
หลังบรรลุเป้าหมายแล้ว ฉินเฟิงก็ไม่ลังเล เขาวกกลับไปที่ประเด็นสำคัญ “พวกเจ้าคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ที่เชื่องช้า เป็นขั้นเป็นตอน หากเป็นการต่อสู้แบบรวมกำลังพลก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“แต่ข้าคิดว่ากองทัพใหม่ล้วนเป็นดาบคม ต้องแยกเป็นหน่วยเข้าไปแนวหลังของศัตรู! หากไม่มีสหายคอยคุ้มกันและพึ่งพา เมื่อถูกศัตรูพบเข้าก็มีแค่ตายสถานเดียว ดังนั้นสภาพร่างกายคือกุญแจสำคัญในการช่วยพวกเจ้าให้หนีได้!”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเบา ๆ “ข้าต้องการส่งพวกเจ้าไปปกป้องบ้านเมืองและแว่นแคว้น หาได้ต้องการส่งพวกเจ้าไปตาย!”
MANGA DISCUSSION