บทที่ 20 เลื่อยขาเก้าอี้
ฉินเฟิงไม่สนใจว่าตระกูลเฉิงจะคิดอย่างไร ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา เขาก็มีตาแก่ฉินเทียนหู่คอยค้ำยัน เจ้าพวกนั้นไม่มีทางกดหัวเขาได้อย่างแน่นอน
พวกเขาต่างก็เป็นขุนนางรุ่นที่สอง แถมยังเป็นขุนนางรุ่นสองที่เรืองอำนาจมากที่สุดในต้าเหลียง หากมัวทำสิ่งต่าง ๆ แบบห่วงหน้าพะวงหลังย่อมผิดต่อสถานะของตน
หลังจากที่นายน้อยตระกูลฉินได้เงินมา เขาก็สาวเท้าออกไปอย่างอวดเบ่ง โดยไม่สนใจสายตาซับซ้อนของฝูงชนที่กำลังแทะเมล็ดแตง
ไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกมาจากจวนสักครั้ง ดังนั้น ชายหนุ่มจึงไม่อาจกลับไปง่าย ๆ ฉินเฟิงพาเหล่าผู้ติดตามตัวน้อยเดินวางมาดไปที่หอเซียนเมามาย หอสุราอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเพื่อรับประทานอาหาร
เสี่ยวเอ้อร์ของหอสุรามีดวงตาเฉียบคม เขาจำฉินเฟิงได้อย่างรวดเร็วและรีบถูมือเข้ามายิ้มให้ทำใจดีสู้เสือ “ไอหย๋า นายน้อยฉินนี่เอง? เป็นเกียรติที่ท่านมาร้านเล็ก ๆ ของเรา เชิญทางนี้ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์หอสุราก้มศีรษะโค้งเอว ทำท่าทางเชิญชวน เขาชี้ไปที่โต๊ะสี่เหลี่ยมตรงหัวมุม
ฉินเฟิงหน้าหงิกหน้างอ เขาคว้าหูของเสี่ยวเอ้อร์แล้วหรี่ตาขู่ “ไอ้หนู เจ้าดูถูกข้าหรือ? ถึงจะให้ข้านั่งโต๊ะหลืบมุม? ฉินเสี่ยวฝู หักขาสุนัขของมันกระตุ้นความทรงจำเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวเอ้อร์*[1] หอสุราพลันหน้าซีดด้วยความตกใจ เขาคุกเข่าร้องขอความเมตตา “นายน้อยฉิน ต่อให้ท่านให้ข้ายืมหนึ่งร้อยความกล้า ข้าก็ไม่กล้าดูถูกท่าน เพียงแต่วันนี้ขายดีมาก ห้องส่วนตัวถูกจองหมดแล้วขอรับ”
นายน้อยตระกูลฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเตะตูดเสี่ยวเอ้อร์หนึ่งที “จอง? น่าขัน นายน้อยอย่างข้าออกมากินข้าวมื้อหนึ่งยังต้องจองหรือ? ถ้าข้าจองตามขั้นตามตอนจะไม่เสียหน้าลูกผู้ดีมีเงินอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงรึ?”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาแขกทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ก็กลอกตาและส่งเสียงซุบซิบเหยียดหยาม
“เจ้าหมอนี่รู้ว่าตัวเองมีชื่อเสียงเหม็นโฉ่ทั่วเมืองหลวง นอกจากไม่ละอายแล้วยังภูมิใจ? เขาเปิดโลกข้าจริง ๆ”
“นายน้อยฉิน ทั่วเมืองหลวงใครบ้างไม่รู้จัก ใครบ้างไม่ทราบ? ว่าเลื่องลือเรื่องรังแกผู้อ่อนแอ ทว่าหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง!”
“คำพูดนี้ไม่ค่อยถูกต้อง รังแกคนอ่อนแอเป็นเรื่องจริง ทว่าหวาดกลัวผู้แข็งแกร่งนั้นไม่แน่ ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าเจ้าเด็กคนนี้เกือบทำให้เลขาธิการกรมคลังโกรธเสียจนกระอักเลือด”
“ว่ากันว่าหลังจากตกลงไปในแม่น้ำเขาก็เปลี่ยนไป… จากนักเลงกลายเป็นอันธพาลใหญ่ ควรอยู่ให้ห่างจากคนประเภทนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา”
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบรอบ ๆ ฉินเฟิงไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยังแอบรู้สึกลำพองใจ
ต่อให้พวกเจ้ามองว่าข้าขัดหูขัดตาก็ไม่สามารถจัดการข้าได้อยู่ดี
ฉินเฟิงซึ่งปฏิบัติตามกฎและทำงานอย่างมีความรับผิดชอบมาตลอดชีวิต ในที่สุดก็ได้ประสบความสำเร็จในการเป็นคนทราม เขาต้องการจะเพลิดเพลินไปกับความสุขในเส้นทางของการเป็น ‘คนไร้ยางอาย’
เมื่อหลงจู๊*[2] ที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเหตุการณ์ก็รีบเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มประจบทันที “ไอหยา น้ำท่วมไหลเข้าวัดราชามังกร ครอบครัวเดียวกันไม่รู้จักกันแล้ว*[3]”
ขณะพูด หลงจู๊ก็เตะเสี่ยวเอ้อร์ของร้านอย่างแรง “นายน้อยฉิน ท่านโปรดยั้งโทสะ เจ้าเด็กคนนี้เพิ่งมาใหม่ มีตาหามีแววไม่ นายน้อยฉินมากินอาหารหอเซียนเมามายเพราะคำนึงถึงพวกเรา จำเป็นต้องจองที่ไหนกัน เชิญขอรับ ๆ”
ดีมาก! ยิ่งสายตาดูถูกรอบกายเหยียดหยามมากขึ้น ศีรษะของฉินเฟิงก็ยิ่งเงยสูง เขาวางท่าเย่อหยิ่งเต็มประดา ก่อนจะพาฉินเสี่ยวฝูและคนอื่น ๆ ตรงไปที่ห้องส่วนตัวใจกลางร้าน
เสี่ยวเอ้อร์หอสุรารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “หลงจู๊ เหตุใดหอเซียนเมามายของเราต้องกลัวเจ้าวายร้ายคนนี้ด้วย!”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!” หลงจู๊จ้องเขม็งและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แขกที่มาเยือนหอเซียนเมามาย มีใครบ้างไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์? ถ้าเจ้าวายร้ายคนนี้ขัดความสุนทรีย์แขกผู้มีเกียรติทุกคน นั่นถึงจะเป็นสูญเสียที่แท้จริง”
กิจการของหอเซียนเมามายทุกวันนี้ดีถึงที่สุด ที่นั่งเกือบทั้งหมดถูกจองจนเต็ม ภายในร้านคับคั่งไปด้วยผู้คนทว่าไม่ได้ส่งเสียงดังเอะอะ เพราะท้ายที่สุด คนที่มาที่นี่ล้วนเป็นชนชั้นสูง
บนเวทีไม้กลางร้าน มีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งถือผีผา ซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ใต้ผ้าคลุม นางคือเสิ่นชิงชวง อันดับต้น ๆ ของเรือนอี๋หงที่หอเซียนเมามายเชิญมาด้วยเงินจำนวนมาก นางกำลังบรรเลงเพลงผีผาอย่างอ่อนช้อย
ทุกคนดื่มกินอย่างเพลิดเพลิน พวกเขาเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงดนตรี ทันใดนั้นเอง เสียงที่ไม่กลมกลืนก็แทรกขึ้นมาทำลายบรรยากาศสูงส่งภายในหอสุรา
“ข้าถามว่าพวกเสี่ยวเอ้อร์ไปตายที่ไหนกันหมด? นายน้อยอย่างข้ามาถึงตั้งนานแล้ว กลับไม่มีใครคอยต้อนรับ หรือกลัวว่าข้าจะกินแล้วไม่จ่ายเงิน”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา แขกทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ลอบกัดฟัน พวกเขาเกลียดไอ้อันธพาลฉินเฟิงยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรก็ทำอะไรมันไม่ได้ เพราะไม่มีใครยินดีที่จะฉีกหน้าเสนาบดีกรมกลาโหม
เสิ่นชิงชวงขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาแสดงออกถึงความไม่พอใจเช่นกัน แต่ก็ทำได้เพียงแสร้งไม่ได้ยิน
หลงจู๊ประจำร้านทำอะไรไม่ถูก เขาพูดกับเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความโกรธ “ยังงุนงงอะไรอยู่อีก? รีบไปรับใช้นายน้อยท่านนั้นซะ”
ฉินเฟิงไขว่ห้างรับรายการอาหารมาแต่ไม่รีบร้อนที่จะสั่ง เขาเพียงส่งมันให้ชูเฟิงและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวชูชู ชอบกินอะไร? เชิญสั่งได้เลย นายน้อยรวย!”
เมื่อชูเฟิงรู้สึกถึงสายตารังเกียจรอบตัว นางก็อายจนหน้าแดงจึงเอ่ยเสียงเบา “ข้าน้อยเป็นแค่บ่าวรับใช้เจ้าค่ะ ไม่ว่านายน้อยจะให้รางวัลอะไร ข้าน้อยก็จะกินเจ้าค่ะ”
ฉินเฟิงกลอกตา คว้าเมนูและเอ่ยเสียงดัง “ถ้าเจ้าไม่สั่ง นายน้อยจะสั่งให้เจ้า นี่ นี่ นี่ แล้วก็นี่ ช่างเถอะ เสี่ยวเอ้อร์ นำอาหารทั้งหมดที่มีราคามากกว่าสิบตำลึงเงินมาอย่างละหนึ่งชุด เร่งให้เร็วหน่อย หากช้า ข้าจะไม่ให้เงิน”
แขกที่อยู่รอบ ๆ ไม่สามารถทนกับใบหน้าราว ‘เศรษฐีใหม่’ ของฉินเฟิงได้ พวกเขาต่างพากันกระซิบกระซาบสาปแช่ง
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร! มีเงินเหม็น ๆ อยู่นิดหน่อย ช่างอวดเบ่งเสียจริง!”
“ใช่แล้ว! หอเซียนเมามายเป็นสถานที่หรูหราสง่างาม เหตุใดถึงปล่อยให้แมวและสุนัขเข้ามา”
“อารมณ์อันสุนทรีย์ของนายน้อยอย่างข้าถูกเจ้าสารเลวนี่รบกวนหมดแล้ว!”
ฉินเฟิงต้องการเป็นจุดสนใจของหอเซียนเมามาย เพื่อดูว่ามีผู้สูงศักดิ์และคนดังแห่งเมืองหลวงคนใดบ้างที่ไม่ชอบเขา!
ใครก็ตามที่กล้าโผล่หัวออกมาแตะต้องเขาเพียงปลายนิ้ว เขาจะผลักมันให้ล้มลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้น และด่าให้เจ็บเจียนตายเลยคอยดู!
เพื่อให้นายน้อยเจ้าสำราญสงบลง หนึ่งในสามของพนักงานหอเซียนเมามายล้วนรวมตัวกันอยู่ที่ห้องส่วนตัวของเขา หากฉินเฟิงมองมาก็จะรีบเข้าไปบริการทันที
ห้องครัวด้านหลังยังจดจ่ออยู่กับการปรุงอาหารของฉินเฟิง แขกคนอื่น ๆ ล้วนต้องรอก่อน
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศ
ชูเฟิงกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อรู้สึกถึงสายตาประสงค์ร้ายของผู้เป็นนาย นางก็ลดศีรษะลงอย่างรวดเร็ว พวงแก้มแดงระเรื่อ
ดูไม่ออกเลยว่า สาวน้อยคนนี้เป็นนักกิน!
ฉินเฟิงชอบชูเฟิงผู้นี้มาก ชายหนุ่มสาบานว่าเขาไม่ได้โลภในร่างกายของนาง เพียงแต่ประทับใจในทักษะการเตะต่อยเท่านั้น
นับตั้งแต่ถูกลอบสังหาร จิตใจไร้เดียงสาของเขาก็บอบช้ำอย่างหนัก ชายหนุ่มตระหนักดีถึงข้อบกพร่องของตนเอง
ไม่มีแม้แต่มือดีข้างกาย นี่ไม่ดูถูก ‘นายน้อย’ ของตระกูลเกินไปหรอกหรือ?
ตอนนี้ฉินเฟิงคิดอยู่อย่างเดียว เขาต้องการ ‘เก็บ’ สาวน้อยชูเฟิงมาไว้ในมือ
“อร่อยหรือไม่?” ผู้เป็นนายมองดูชูเฟิงด้วยรอยยิ้ม
คนถูกถามดึงคอเสื้อขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางหันหน้าหนีและพูดอย่างกระวนกระวาย “นาย… นายน้อยคิดจะทำอะไรเจ้าคะ? ข้า… ข้าเป็นคนของคุณหนูสี่”
“เจ้าคิดไปถึงไหนเนี่ย!”
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ มีคำกล่าวที่ว่า กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง*[4] ใช่หรือไม่เล่า เสี่ยวเซียงเซียง” ฉินเฟิงกอดเสี่ยวเซียงเซียงไว้ในอ้อมแขนเพื่อให้นางเป็นพยานว่าเขาไม่ใช่คนบ้ากามที่คิดลงมือกับสาวใช้อย่างแน่นอน
ถูกผู้ชายกอดต่อหน้าคนจำนวนมาก แม้จะเป็นนายน้อยของตนเสี่ยวเซียงเซียงก็หน้าแดงด้วยความอับอาย นางอยากจะหารอยแตกบนพื้นแทรกตัวเข้าไปเสียเดี๋ยวนั้น
“พี่หญิงสี่วัน ๆ กินแต่อาหารจืดชืดและชา เจ้าเองก็ต้องทนทุกข์ทรมานตามไปด้วย เอาเช่นนี้ ตราบใดที่เจ้าติดตามข้างกายข้า ข้ารับประกันว่าเจ้าจะได้กินอาหารอร่อยและดื่มน้ำแกงรสเข้ม ได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสจากทั่วทั้งใต้หล้า มากไปกว่านั้น ข้าจะให้เงินเจ้าหนึ่งพันตำลึงเงินทุกเดือน และหลังจากนี้สองปี ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้อ้วนท้วมสมบูรณ์ แน่นอนว่า ข้าจะหาแม่สามีที่ดีให้เจ้าด้วย”
เงินเดือนสูง ทั้งยังดูแลเรื่องค่ากินอยู่ ที่พัก และการแต่งงานให้ เจ้านายที่ดีเช่นนี้ต่อให้เปิดตะเกียงหาก็หาไม่พบ ฉินเฟิงคิดว่าชูเฟิงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม นายน้อยตระกูลฉินกลับต้องประหลาดใจ เมื่ออีกฝ่ายกัดริมฝีปากบางเบา ๆ “ข้าน้อยอยู่ข้างกายคุณหนูสี่มาตั้งแต่เด็ก และนางก็ปฏิบัติต่อข้าเหมือนน้องสาว ข้าจะหนีไปเพียงเพราะอาหารมื้อเดียวได้อย่างไรเจ้าคะ”
ฉินเฟิงผายมือ “ไม่ใช่ยังมีเงินอีกหนึ่งพันตำลึงเงินกับหาบุรุษให้แต่งงานอีกหรอกหรือ? หากยังกังวล หลังจากเจ้าแต่งงาน ข้าจะจัดสรรบ้านให้ด้วย ทุกอย่างจบครบที่ข้า”
จัดหาบุรุษ… แก้มของชูเฟิงแดงระเรื่อ นายน้อยของนางไม่ว่าอะไรก็ล้วนกล้าพูดออกมา! ยิ่งกว่านั้น ใต้หล้านี้ยังมีใครคิดจะแย่งคนของพี่สาวตนเองอีกหรือ? มิหนำซ้ำ อีกฝ่ายยังเอ่ยออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจไร้ความกังวลอีก
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังพยายามทุกวิถีทาง ทุ่มเททุกกลวิธีเพื่อ ‘จับกุม’ ชูเฟิง เสียงเจี๊ยวจ๊าวก็ดังขึ้น ขัดจังหวะการรับสมัครงานคนแรกของแผนกทรัพยากรบุคคลฉินเฟิง
ชายหนุ่มสองคนในชุดผ้าแพรกำลังลากเสิ่นชิงชวงบนเวทีพร้อมยิ้มหยาบคาย พวกเขาต้องการพานางกลับบ้านไปดื่มต่อ
ดื่มต่อกับผีสิ พวกเจ้าล้วนแต่เป็นชาย ในใจวางแผนอะไรอยู่ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ?
เดิมทีฉินเฟิงไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว งานช่วยสาวงามเป็นกิจธุระของวีรบุรุษ เกี่ยวอะไรกับนายน้อยเจ้าสำราญอย่างเขาด้วยเล่า?
ทว่าในระหว่างที่ยื้อยุดฉุดกระชาก ผ้าไหมบนใบหน้าของเสิ่นชิงชวงดันหลุดลง ฉินเฟิงที่มีใบหน้าเฉยเมยก่อนหน้านี้ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ชายหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่าเขาสมควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง!
สมกับเป็นอันดับหนึ่งของเรือนอี๋หง เสิ่นชิงชวงมีคิ้วดำดังภูเขาในฤดูใบไม้ร่วง ทั้งยังมีดวงตาตัดกับน้ำในฤดูเดียวกัน ระหว่างคิ้วของนางงดงามยากจะพรรณนา
แม่เจ้า! ชิงตัวสาวชาวบ้านกลางวันแสก ๆ ฟ้าดินแจ่มใส มีอย่างที่ไหนกัน!
ฉินเฟิงยืนขึ้นและตะโกนทันที “สกปรก! ไร้ยางอาย!”
มีของดีแบบนี้แต่ไม่พานายน้อยอย่างข้าไปด้วย!
ชายหนุ่มโกรธมาก เขารีบพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และดึงชายหนุ่มสองคนนั้นออกไป
เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายจะวิ่งหนีอย่างสิ้นหวังแต่ผลลัพธ์กลับเกินความคาดหมาย เพราะแทนที่จะวิ่งหนีทั้งคู่กลับหัวเราะด้วยท่าทางประหลาด
“แม้แต่เรื่องของนายน้อยอย่างข้าเจ้ายังกล้ามายุ่ง ฉินเฟิงผิวหนังเจ้าคันอีกแล้วหรือ?”
“ข้าก็คิดว่าใคร ที่แท้เป็นเจ้าเด็กตัวเหม็น! อันธพาลฉาวโฉ่แห่งเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าจะเรียนรู้เรื่องบุรุษช่วยสาวงามด้วย นี่ไม่ทำให้คนหัวเราะจนฟันหลุดเอาหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงก็สนใจขึ้นมาจึงหันกลับไปมอง ไม่จำเป็นต้องพูด ทั้งคู่เป็นคนรู้จักจริงๆ
ทั้งสองอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี ในโลกของฉินเฟิงพวกเขาเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายสองคนเท่านั้น
แต่ในโลกใบนี้กลับรังแกผู้ชายข่มขู่ผู้หญิงแล้ว
เจ้าเด็กที่มีปากแหลมแก้มลิงและสวมชุดเสื้อแพรสีน้ำเงิน มีนามว่าอู๋ยง บุตรชายของอู๋เหมี่ยนเสนาบดีกรมขุนนาง
ส่วนเจ้าเด็กชุดขาวที่อยู่ข้าง ๆ เป็นบุตรชายของอันชิงโหว นามอันชื่ออวิ๋น
เช่นเดียวกับฉินเฟิง สองคนนี้ล้วนเป็นลูกผู้ดีมีเงินและมี ‘ชื่อเสียงโด่งดัง’ ในเมืองหลวง น่าเสียดายที่ในแวดวงอันธพาลก็มีลำดับชั้น เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงนั้นอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่แห่งการดูถูกมาโดยตลอด
ตามความทรงจำของร่างก่อน สองคนนี้กลั่นแกล้งเขามาไม่น้อย ไม่รู้ว่าทั้งคู่เกี่ยวข้องกับหลี่รุ่ยหรือไม่ และไม่แน่ใจว่าพวกเขามีส่วนในการลอบสังหารฉินเฟิงหรือเปล่า
เนื่องจากต่างฝ่ายต่างผูกความแค้นต่อกันมานานแล้ว ฉินเฟิงย่อมไม่เกรงใจ ทว่าภายนอกเขากลับแสดงออกอย่างประจบ ใบหน้าน้อยตระกูลฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไอหยา ที่แท้เป็นนายน้อยทั้งสองนี่เอง เข้าใจผิดแล้ว ล้วนเป็นความเข้าใจผิด ข้าแค่กังวลว่าเจ้าทั้งสองอายุน้อยเกินไปที่จะจัดการสตรีนางนี้จึงคิดจะออกแรงแทนเท่านั้น”
“ไสหัวไป!” อู๋ยงพูดอย่างหงุดหงิด “เรื่องอย่างนี้ช่วยกันได้หรือ? สกุลฉิน ข้าแนะนำให้เจ้ามีส่วนร่วมให้น้อย นายน้อยอย่างข้าไม่ยอมตกหลุมพลางเจ้าหรอก หากยังไม่ยอมถอย ข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้ฟันหลุด ปัสสาวะ อุจจาระราดต่อหน้าฝูงชนเลยคอยดู เราต่างก็เป็นทายาทของขุนนางเช่นกัน อย่าได้โทษว่านายน้อยอย่างข้าไร้ไมตรี!”
พูดจบ อู๋ยงก็ไม่สนใจฉินเฟิงและเอื้อมมือไปคว้าเสิ่นชิงชวง
เสิ่นชิงชวงหวาดกลัวเสียจนหน้าซีด ในเวลานี้เอง ร่างที่บอบบางอรชรร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเสิ่นชิงชวงและขอร้องอย่างขมขื่น “นายน้อยทั้งสอง คุณหนูของข้าไม่ได้ขายร่างกาย หากท่านทั้งคู่สนใจในความสุนทรีย์รบกวนไปที่เรือนอี๋หงเถิด”
สาวใช้ตัวน้อยปกป้องนายอย่างภักดี ทว่าน่าเสียดายที่นางถูกอู๋ยงตบจนมึนงงในพริบตาถัดมา
ก่อนที่จะดึงสติได้ อันชื่ออวิ๋นก็กระชากผมและโยนนางลงจากเวที เขาสบถออกมาว่า “นังสารเลว ไม่มีที่ให้เจ้าพูด ไม่โดนข้าหักกระดูกก็นับว่าเจ้าได้กำไรแล้ว!”
ไม่มีใครกล้ายุ่มย่ามที่เกิดเหตุอีก อย่างไรเสีย คนหนึ่งก็คือบุตรชายของเสนาบดีและอีกคนก็เป็นถึงท่านโหวน้อย ถือเป็นตระกูลมีชื่อเสียงระดับหนึ่งในเมืองหลวง
เมื่อเห็นสาวรับใช้คนสนิทถูกตบตี สีหน้าของเสิ่นชิงชวงก็ซีดสนิท นางกำลังจะเข้าไปช่วยประคองแต่กลับถูกอู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นขวางไว้
อู๋ยงคว้าข้อมือเสิ่นชิงชวงและกล่าวอย่างลำพอง “แค่สาวใช้ตัวเล็ก ๆ คนเดียวหรือ หึ ตราบใดที่เจ้าทำให้นายน้อยอย่างข้ามีความสุข ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยสาวใช้สักแปด ไม่สิ สักสิบคนเป็นอย่างไร?”
แขกที่มาในวันนี้ต่างก็ตั้งใจมาดูเสิ่นชิงชวง เมื่อเห็นว่านางถูกสบประมาท ทุกคนต่างกรุ่นโกรธ ทว่าก็ไม่สามารถทำอันใดได้ เมืองหลวงใหญ่เพียงนี้ไม่มีใครสามารถลงโทษอันธพาลสองคนนี้ได้เลยหรือ? บางคนถลกแขนเสื้อขึ้นไปแล้วด้วยซ้ำ
เสิ่นชิงชวงขัดขืน ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายฉุดกระชาก อันชื่ออวิ๋นก็ก้าวถอย จนหลังชนเข้ากับฉินเฟิงพอดี
นายน้อยตระกูลฉินซึ่งกำลังดูการแสดงอย่างสนุกสนาน คล้ายถูกคนเหยียบหาง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มกระโดดถอยหลังแล้วชี้ไปที่อันชื่ออวิ๋นพร้อมกับตะโกน “เจ้ากล้าดียังไงมาโจมตีนายน้อยอย่างข้า! ชูเฟิง ตีมันให้หนัก!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา อู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นก็ตกตะลึง ในใจคิดว่าไอ้สกุลฉินนี่โรคร้ายกำเริบหรือ?
โดยปกติแล้วชูเฟิงควรเตือนฉินเฟิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าต้องไว้หน้าบุตรหลานตระกูลขุนนาง
อย่างไรก็ตาม นางเริ่มเข้าใจนิสัยของผู้เป็นนายไม่มากก็น้อยแล้ว เมื่อเขาเปิดปากต้องทำตามที่เขาพูด
ชูเฟิงไม่ลังเล นางกระโดดเหยียบตามโต๊ะไปที่เวทีไม้ จากนั้นก็เตะเข้าที่ใบหน้าอันชื่ออวิ๋นทำให้ท่านโหวน้อยหมดสติไปทันที
เมื่อเห็นดังนั้น อู๋ยงก็หน้าซีดด้วยความตกใจแต่แสร้งทำเป็นสงบ เขาชี้ไปที่ฉินเฟิงและคำราม “ฉินเฟิง! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคน!”
ฉินเฟิงกำเท้าที่อันชื่ออวิ๋นเหยียบเมื่อครู่ ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดยากหาใดเปรียบ “ข้าเรียกนี่ว่า… การป้องกันตัว”
อู๋ยงกัดฟัน “ข้าเป็นบุตรของเสนาบดีกรมขุนนาง เจ้ากล้าดียังไง…”
ไม่รอให้พูดจบ ฉินเฟิงขัดจังหวะและพูดขึ้นเสียงดังอย่างจงใจ “บุตรอะไรนะ? ลมแรงเกินไป ข้าไม่ได้ยิน ตีมันเลย!”
ชูเฟิงไม่โอ้เอ้ นางชกเข้าที่จมูกของอู๋ยง
อู๋ยงที่ถูกตามใจและเอาแต่ใจตั้งแต่เด็กทนกำปั้นเช่นนี้ไหวที่ไหนกัน เลือดเขากระเซ็นออกมาทันที ชายหนุ่มหงายศีรษะกระแทกเวทีไม้ จากนั้นก็ส่งเสียงร้องโหยหวนราวสุกรถูกเชือด…
[1] เสี่ยวเอ้อร์ : ในที่นี้หมายถึงบริกรในยุคโบราณ
[2] หลงจู๊ : ผู้จัดการ
[3] น้ำท่วมไหลเข้าวัดราชามังกรครอบครัวเดียวกันไม่รู้จักกันแล้ว : คนกันเองแต่กลับเกิดความเข้าใจผิดเพราะไม่รู้เรื่องราวของสถานการณ์
[4] กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง : ไม่ทำเรื่องไม่ดีกับคนภายในบ้านของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องระหว่างชายหญิง
MANGA DISCUSSION