บทที่ 199 นักฆ่าล้อมโจมตี
เซี่ยปี้เลิกคิ้ว “เพราะอะไร?”
มือสังหารก้มศีรษะลง ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างสิ้นหวัง “คนผู้นั้นไม่รู้ความ ไปทำให้คนที่ไม่ควรขุ่นเคืองต้องขุ่นเคือง”
ทันทีที่สิ้นประโยค เซี่ยปี้ก็ดึงผมของนักฆ่าขึ้นมา เขาพูดอย่างเย็นชา “ฉินเฟิงทำให้ผู้คนจำนวนมากขุ่นเคือง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าส่งคนมาลอบสังหารเขา ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามในเมืองหลวง แม้แต่นักฆ่าป้ายทองอันดับต้น ๆ ก็ไม่กล้าเหยียบเข้ามาแม้ครึ่งก้าว พวกเจ้าบังอาจนักที่บุกเข้ามาในเขตหวงห้ามกลางดึก คนที่ให้ความมั่นใจแก่พวกเจ้า คงใจกล้าไม่เบา!”
“พอไปนรกก็จำเอาไว้ให้ดีว่า ต่อให้กลายเป็นผีก็อย่าคิดจะบุกเข้าเมืองหลวงอีก!”
ทันทีที่สิ้นประโยค หมัดเหล็กของเซี่ยปี้ก็พุ่งปะทะใบหน้าของนักฆ่า เลือดสีแดงสาดกระเซ็นออกไปสองหรือสามจั้ง!
ทันทีที่นักฆ่าล้มลงกับพื้น นายกองของกองทัพทหารรักษาการณ์ก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับคนของเขา
เมื่อเห็นเซี่ยปี้ นายกองก็รีบกำหมัดคารวะอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณหนิงกั๋วกง คนพวกนี้…”
นายกองคนนั้นไม่ทันได้พูดจบ หนิงกั๋วกงก็ชกเข้าที่หน้าอีกฝ่ายเสียก่อนแล้ว นายกองอาเจียนออกมาเป็นเลือด และหมดสติไปทันที
ทหารที่อยู่รอบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ความหนาวเย็นแวบผ่านแววตาของเซี่ยปี้ “กองทัพทหารรักษาการณ์อย่างพวกเจ้ามาได้ถูกเวลาเสียจริง กลับไปบอกผู้บัญชาการทหารสูงสุดว่า เมืองหลวงแห่งนี้เป็นของสกุลหลี่ หาใช่สกุลหลิน! จะยืนข้างฝ่ายใดก็ไม่สำคัญ แต่ถ้าจำสกุลผิด หัวเขาอาจจะหลุดออกจากบ่าไม่รู้ตัว!”
ช่วงเวลาเดียวกัน บนหอคอยเหลือเพียงเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์อยู่เพียงลำพัง และตอนนี้เปลือกตาของนางก็กำลังกระตุก
คืนนี้ถูกกำหนดให้ไม่สงบสุขมาตั้งแต่แรกแล้ว!
ดูเผิน ๆ เหมือนว่าทะเลสาบแสงจันทร์ที่มีชีวิตชีวา แค่กำลังจัดการแข่งขันทายปริศนาโคมไฟขนาดย่อม แต่ดูเหมือนการแข่งขันนี้จะไปกระทบกระเทือนจิตใจของใครหลาย ๆ คนเข้าแล้ว
บนกำแพงเมืองฝั่งตะวันออกของเมืองหลวง ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยืนเอาสองมือไพล่หลัง ทอดพระเนตรพวกมือสังหารที่ถูกกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์กวาดล้างอยู่ใต้กำแพงเมือง แววพระเนตรสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ
ชายชุดดำที่รออยู่ด้านข้างกระซิบข้างพระกรรณ “กราบทูลฝ่าบาท คืนนี้เจอนักฆ่าสามกลุ่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งหมดมาเพื่อสังหารฉินเฟิง ตระกูลหลิน… อะแฮ่ม เพื่อจะระบายความโกรธแค้นผู้บงการเบื้องหลังได้ส่งนักฆ่ามาหลายคน นี่มันมากเกินไปแล้วจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยังคงตรัสเสียงราบเรียบ “กุ้ยเฟยคือสนมที่เจิ้นรัก อีกทั้งยังต้องทนทุกข์อยู่กับ ‘ความโศกเศร้าที่ต้องเสียองค์ชายใหญ่’ มาหลายปี เจิ้นรู้สึกผิดต่อนาง ส่วนไท่เป่าก็เป็นขุนนางสำคัญของแคว้น เจ้าพูดจาไร้สาระเช่นนี้ควรถูกประหารทันที แต่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเจิ้นมาหลายปี ตบปากตัวเองสิบครั้ง!”
ชายชุดดำไม่ลังเล เขาตบปากตัวเองสิบครั้งทันที จนกระทั่งมุมปากมีเลือดไหลออกมา ทว่าแววตาไม่ได้แสดงความลำบากใจแม้แต่น้อย ยังคงมีความภักดีอย่างยิ่ง “มือสังหารทางตะวันตกเฉียงเหนือถูกหนิงกั๋วกงและขันทีหลี่สังหารแล้ว นักฆ่าทางฝั่งนี้ถูกกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์สังหาร นักฆ่าจากตะวันตกถูกคนของกระหม่อมจัดการเรียบร้อย นอกจากนี้ ในบรรดามือสังหารทิศตะวันตก พบนักฆ่าป้ายทองอันดับต้น ๆ ในยุทธภพด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘นักฆ่าป้ายทอง’ ในที่สุดฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็สนใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอ่ยถามพร้อมเหลือบมองด้วยหางตา “ระดับไหน?”
ชายชุดดำไม่กล้าลังเล และโพล่งออกมาทันที “บนร่างพบป้ายห้อยเอว อยู่ในอันดับที่ห้าสิบลงไปพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็หมดความสนใจทันที ทรงตรัสแผ่วเบาว่า “สิบอันดับแรก สามารถประมือกับหลี่จ้าน สามอันดับแรกฝีมือเทียบเท่าหลี่จ้าน ล้วนเป็นยอดฝีมือ แต่พวกเขาล้วนเร้นกายปกปิดตัวตน ส่วนอันดับสิบลงไปล้วนแต่เป็นพวกชั้นต่ำ ไม่มีค่าให้พูดถึง เห็นได้ว่ามีคนฉวยโอกาสนี้ก่อความวุ่นวาย ต่อให้เรื่องจะแดงขึ้นมาก็คงมีแค่แพะรับบาป”
ชายชุดดำขมวดคิ้วแน่น ในดวงตาแผ่ไอสังหาร “ฝ่าบาทหมายความว่านักฆ่าเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มเดียวกันหรือพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจะส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียดเดี๋ยวนี้”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโบกพระหัตถ์ขัดจังหวะชายชุดดำ ถอนหายใจยาว และตรัสอย่างจริงจัง “ไม่ต้องเสียเวลา เจิ้นรู้ว่าคนเหล่านี้มาจากไหน ท้ายที่สุดแล้ว ในต้าเหลียงมีหลายคนที่ไม่ต้องการเห็นสองแคว้นทำสงคราม เพราะอยากให้เจิ้นติดอยู่ในห้องทรงอักษรจนไม่มีเวลาไปจัดการกับเป่ยตี๋ ชีวิตของพวกเขาจะได้สุขสบายต่อไป”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ศัตรูของต้าหลียงหาใช่ศัตรูภายนอก
ชายชุดดำเข้าใจบางสิ่งบางอย่างทันที เขาไม่สนใจที่จะหาต้นตอของนักฆ่าอีกต่อไป พลางเอ่ยเสียงขรึม “กระหม่อมต้องส่งคนไปคุ้มครองฉินเฟิงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอดไม่ได้ที่จะแย้มพระโอษฐ์ “ปกป้องเขารึ? เจิ้นว่าเจ้าว่างงานเกินไปใช่หรือไม่? ตราบใดที่อยู่ในเมืองหลวง นอกจากเจิ้นแล้ว เจ้าหมอนั่นก็อยู่แบบปลอดภัยที่สุด! วิชากระบี่ของจิงเชียนอิ่งเป็นเลิศ เซี่ยปี้ว่าที่พ่อตาของเขาก็มีหมัดเหล็กไม่เป็นสองรองใคร ด้วยการคุ้มครองของสองคนนี้ แม้ว่านักฆ่าสิบอันดับแรกในยุทธภพจะมาก็ต้องล่าถอยไปพร้อมกับความล้มเหลว”
เมื่อพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็เดินเอามือไพล่หลังไปที่พระราชวังต้องห้ามพร้อมด้วยรอยยิ้มบนพระพักตร์ และกล่าวอย่างสบาย ๆ “คนที่ไม่ได้อยากฆ่าฉินเฟิงต่อให้จะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมากแค่ไหนอย่างมากก็ก่นด่าไม่กี่คำ คนที่อยากเอาชีวิตฉินเฟิงจริง ๆ เป็นสุนัขที่กัดแต่ไม่เห่าต่างหาก”
รอดูต่อไปเถอะ คนเหล่านั้นจะต้องพยายามขับไล่ฉินเฟิงออกจากเมืองหลวงอย่างแน่นอนเพื่อที่จะได้ลงมือได้สะดวก ถึงตอนนั้นจะไปได้ไกลแค่ไหน มีชีวิตได้นานเท่าไหร่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของฉินเฟิงเองแล้ว…
ภายใต้การคุ้มครองของชายชุดดำ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงที่ทรงพระดำเนินพักผ่อนจนพอพระทัยแล้ว ก็มุ่งหน้าเสด็จกลับยังพระราชวังต้องห้าม
อีกทางด้านหนึ่ง ทหารเฝ้าประตูเมืองหลวงไม่ได้ตระหนักเลยว่ามีเงาร่างสีดำตามมาข้างหลัง เขามุ่งหน้าไปถ่ายเบาตามปกติ และชั่วขณะที่กำลังถ่ายเบาอย่างสบายใจ ร่างทั้งร่างพลันสั่นไหว
เมื่อหันกลับมา เงาดำยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหลังทหารผู้นั้นอย่างเงียบเชียบ แต่ไม่ได้เดินจากไปพร้อมกัน หลังจากยืนยันได้ว่าข้างนอกไร้การเคลื่อนไหว เงานั้นก็ปีนออกไปตามผนังด้านหลังส้วม มุ่งหน้าสู่ทะเลสาบแสงจันทร์ทันที
ขณะนี้หลินเฟยโม่มีเหงื่อท่วมตัว ไม่มีท่าทางเหมือนนายน้อยอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนานอีกต่อไป
ปริศนาข้อที่สาม ฉินเฟิงเดาได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง
อีกเพียงปริศนาเดียวเท่านั้น นายน้อยฉินก็จะชนะไปอย่างสวยงาม
ตามกฎแล้ว ปริศนาข้อสุดท้ายฉีหยางจวิ้นจู่และองค์ชายทั้งสองจะเป็นคนคิด
เพียงไม่นาน ฉีหยางจวิ้นจู่ก็มอบปริศนาให้กับเด็กรับใช้
ภายใต้แสงส่องสว่างของโคมไฟ ป้ายคำปริศนาก็ถูกยกขึ้นสูง
หลินเฟยโม่ปาดเหงื่อเย็น ๆ จากหน้าผากโดยไม่รู้ตัว และพึมพำแผ่วเบา ‘ลมพัดไปแล้วก็มา ห่านบินเฉียงหน้ายอดเขา? นี่มันยากเกินไปแล้ว! แต่ยากก็ดี ฉินเฟิง ข้าขอดูหน่อยว่า เจ้าจะแก้ได้ยังไง!’
หลินเฟยโม่หันมองฉินเฟิง และก็เห็นว่านายน้อยฉินกำลังโอบเสี่ยวเซียงเซียงไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จับผิงกั่วขึ้นแทะอย่างบ้าคลั่ง เพียบพร้อมทั้งคนงามและอาหารรสเลิศ ไร้กังวลราวกับเทพเซียน
ส่วนปริศนาข้อสุดท้ายนั้น เจ้านั่นแทบจะไม่ได้สนใจเลย
มุมปากของหลินเฟยโม่กระตุก ตราบใดที่ฉินเฟิงไม่สามารถตอบได้ เขาก็ยังมีโอกาส!
นายน้อยหลินพลันตะโกนเสียงดัง “ฉินเฟิง เจ้าทายได้หรือไม่”
ความสนใจในที่เกิดเหตุมุ่งตรงไปที่ฉินเฟิงนานแล้ว
นายน้อยเจ้าสำราญหมดความสนใจในการแข่งขันปริศนาโคมไฟนี้ไปพักใหญ่แล้ว เพราะไร้ความท้าทาย
ถ้าไม่ใช่เพราะเดิมพันสามแสนตำลึงเงิน ฉินเฟิงคงเลือกทาน้ำมันบนฝ่าเท้าเผ่นหนีไปนานโข
เมื่อเห็นว่ากำลังจะได้ตัดสินแพ้ชนะเต็มที
นายน้อยฉินที่ใจอยากกลับจวนไปนอนต่อเต็มแก่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาปล่อยเสี่ยวเซียงเซียงที่มีแก้มสีชมพูปลั่งไป ยัดผิงกั่วครึ่งลูกใส่มือของหลินฉวีฉี สะบัดมือไปมา ก่อนจะก้าวไปที่หัวเรืออย่างองอาจ
จากนั้น ท่ามกลางสายตาจับจ้องและซับซ้อนของทุกคน ฉินเฟิงก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน และคร่ำครวญเสียงดัง “บัดซบ ปริศนาโคมไฟข้อนี้ยากเกินไปแล้วกระมัง!”
“สมแล้วกับการเป็นปริศนาที่คิดโดยผู้สูงศักดิ์ทั้งสาม!”
ประโยคนี้แทบทำให้บรรดาบุตรหลานทั้งหลายสะดุดขาตกจากเรือ
ฉินเฟิงก็ยังคงเป็นฉินเฟิง
ไร้ยางอายแบบไร้ขีดจำกัด!
เพื่อจะประจบเยินยอ เขาถึงกับยอมเสียหน้า
ทักษะการแสดงง่อย ๆ เช่นนี้ทำให้ผู้คนขุ่นเคืองนัก!
MANGA DISCUSSION