บทที่ 196 ตัดสินแพ้ชนะอย่างปัญญาชน
หลินฉวีฉีเป็นบัณฑิตมีชื่อเสียงทางเจียงหนาน เป็นธรรมดาที่หลินเฟยโม่จะสามารถจำเขาได้ในทันที
ในฐานะปัญญาชนแห่งเจียงหนานที่น่าภาคภูมิใจ เขากลับมาหมกตัวอยู่กับคนเสเพลอย่างฉินเฟิง ช่างขายหน้าบัณฑิตเจียงหนานโดยแท้!
เมื่อเผชิญหน้ากับคำเสียดสีของหลินเฟยโม่ หลินฉวีฉียังคงถ่อมตัวเช่นเคย เขายกมือขึ้นคำนับ แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “เป็นที่รู้กันว่าพี่ฉินมากความสามารถ ผู้แซ่หลินและพี่ฉินพบกันครั้งแรกก็รู้สึกสนิทสนมกัน ไยต้องละอายด้วยเล่า?”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ สายตาของหลินเฟยโม่ก็ยิ่งดูถูก “มากความสามารถรึ? เหอะ ๆ ถ้าฉินเฟิงมากความสามารถจริง ๆ ปริศนาโคมไฟง่าย ๆ นี้จะสร้างความลำบากให้เขาได้อย่างไร? กุ้งกำลังเล่นน้ำรายล้อมด้วยภูเขาและลำธาร นี่หมายถึงอะไรเล่า? ถ้าฉินเฟิงตอบไม่ได้ เจ้าจะตอบแทนเขาก็เอาเถิด แต่เกรงว่ากาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ ความเก่งกาจที่ว่าคงเป็นเพียงชื่อเสียงที่สร้างภาพขึ้นมาเท่านั้น!”
ความรู้สึกอึดอัดฉายชัดผ่านดวงตาของหลินฉวีฉี
เขาไม่สามารถตอบปริศนาโคมไฟนี้ได้ในครู่ชั่วยามจริง ๆ บัณฑิตหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันมองฉินเฟิงซึ่งกำลังหยอกล้ออยู่กับคุณหนูทั้งสาม
ความสนใจของทุกคนในที่ตรงนั้นรวมอยู่ที่ร่างของฉินเฟิงอย่างห้ามไม่ได้
สำหรับความสามารถด้านบทกวีของฉินเฟิงนั้นไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย
แต่การแต่งบทกวีกับการไขปริศนาโคมไฟแตกต่างกันมากนัก
นอกจากนี้ในงานชุมนุมโคมไฟประจำปี ทุก ๆ ปีพวกเขาล้วนเคยเห็นความสามารถของฉินเฟิงมาแล้ว และฉินเฟิงก็เป็นแค่นายน้อยเจ้าสำราญแห่งเมืองเท่านั้น ตอนนี้จึงมีคนรอหัวเราะเยาะเขาไม่น้อย
จริงอยู่ที่เขาเคยผ่าน ‘ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่’ ของการแต่งบทกวีมาแล้ว แต่ปริศนาข้อนี้ก็ยากเกินนัก แขกที่มาร่วมงานทุกคนจึงไม่คาดหวังกับนายน้อยฉินเลย
บุตรหลานหลายคนชื่นชมหลิ่วหงเหยียนกับเสิ่นชิงฉือมาเป็นเวลานาน พวกเขาเริ่มเยาะเย้ยฉินเฟิงเสียงดังเพื่อดึงดูดความสนใจของหญิงสาวทั้งสอง
“ฉินเฟิง เจ้าทำได้หรือเปล่า? หากเจ้าทำไม่ได้ก็รีบยอมรับความพ่ายแพ้ซะ อย่ารบกวนเวลาของทุกคน!”
“เหอะ ๆ นายน้อยฉิน ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดดิ้นรนเสีย ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายหากเจ้าต้องพ่ายแพ้ให้กับนายน้อยหลิน!”
เมื่อเห็นฉินเฟิงยังมุ่งคงความสนใจไปที่การประจบพี่สาวทั้งสามเท่านั้น และดูเหมือนจะลืมเรื่องการแข่งขันไปแล้ว ฉีหยางจวิ้นจู่ก็เร่งเร้าอย่างหมดความอดทน “ฉินเฟิงอย่ามัวโอ้เอ้! มิฉะนั้น ข้าจะตัดสินให้เจ้าแพ้เสีย!”
ขณะที่ผู้คนในเร่งเร้าไม่หยุด พวกเขาก็แอบตัดสินว่าฉินเฟิงแพ้แล้ว และรีบโน้มน้าวให้เริ่มคำถามข้อต่อไป ในที่สุดฉินเฟิงก็หามุมดีที่สุดให้พี่หญิงทั้งสามได้ จากนั้นเขาจึงเดินแกว่งแขนขาไปบนดาดฟ้า พลางมองดูปริศนาที่รายล้อมไปด้วยแสงไฟบนเรือฝั่งตรงข้าม แล้วยกยิ้มเล็กน้อย
“กุ้งกำลังเล่นน้ำรายล้อมไปด้วยภูเขาและลำธารรึ? ไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าเตรียมการมานาน คิดอยู่ว่าคำถามจะต้องยากขนาดไหนกัน ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไปหน่อย…”
ง่าย?
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ คาดโทษในทันที!
หากไม่สามารถตอบปริศนาง่าย ๆ เช่นนี้ได้ หมายความว่าทุกคนที่นี่ล้วนโง่เง่ารึ?
ท่ามกลางสายตาเหยียดหยามนับไม่ถ้วน ฉินเฟิงประสานมือไพล่หลัง เลียนแบบท่วงท่าปัญญาชนของหลินฉวีฉี ส่ายศีรษะ เงยหน้า แล้วพูดว่า “ปริศนาข้อนี้คือการทายอักษร!”
“กุ้งกำลังเล่นน้ำรายล้อมไปด้วยภูเขาและลำธาร ก่อนอื่นต้องแยกมันออกแล้วดูทีละคำ รายล้อมด้วยภูเขาและลำธารหมายถึงคำว่า ‘田 (ทุ่งนา)’ และรูปร่างของกุ้งก็เหมือนกับตะขอ การเล่นน้ำคือจุดสามจุดข้างตะขอ”
“ดังนั้น คำตอบคือคำว่า ‘思 (คิด)’!”
สถานที่ซึ่งแต่เดิมมีเสียงดังครึกโครมพลันเงียบกริบ
สายตาของทุกคนที่จับจ้องฉินเฟิงอยู่พลันเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องน่าตกใจใช่เพียงการที่เขาไขคำตอบของปริศนาได้ แต่เป็นเพราะเขาไขปัญหาได้อย่างสบาย ๆ ต่างหาก!
ปริศนาที่ทำให้พวกเขาต้องเกาหัว คิดหาคำตอบจนสมองแทบจะระเบิด กลับถูกนายน้อยเจ้าสำราญชื่อดังทายออกมาได้อย่างง่ายดาย?
ปัญญาชนรอบ ๆ ต่างเริ่มพิจารณาไตร่ตรองดู
เรือสำราญทั้งลำสะท้อนเสียงกระซิบกระซาบนานานับไม่ถ้วน
“กุ้งกำลังเล่นน้ำรายล้อมไปด้วยภูเขาและลำธาร คือคำว่า ‘思 (คิด)’ อย่าบอกนะว่า… เป็นเช่นนั้นจริงๆ!”
“ไม่จริงน่า ! ตอนฉินเฟิงเข้าร่วมเทศกาลโคมไฟครั้งก่อน ๆ เขาไม่แม้แต่จะสามารถเดาปริศนาโคมไฟที่ง่ายที่สุดได้ด้วยซ้ำ แล้วไฉนตอนนี้เขาถึงฉลาดขนาดนี้เล่า?”
“การทายปริศนาโคมไฟไม่เพียงแต่ต้องใช้หัวสมองที่ฉับไว แต่ยังต้องมีประสบการณ์มากมาย อีกทั้ง… ช่วงคำตอบของคำถามก็กว้างมาก ฉินเฟิงรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นการทายตัวอักษร ไม่ใช่อย่างอื่น?”
ไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
หารู้ไม่ว่าสำหรับฉินเฟิงแล้ว ปริศนาโคมไฟนี้ อย่างมากก็ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาเท่านั้น
รูปแบบของปริศนาโคมไฟไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘ตัวอักษร สิ่งของ สัตว์ พืช ชื่อสถานที่ ชื่อคน’
ในสมัยโบราณปริศนาโคมไฟเน้นไปที่การเดา ‘ตัวอักษร’ เป็นหลัก
ด้วยกฎของปริศนาโคมไฟแล้ว เมื่อปริศนานี้ปรากฏ ‘รายล้อมด้วยภูเขาและลำธาร’ และ ‘กุ้ง’ คำตอบย่อมไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์น้ำหรือชื่อสถานที่โดยตรง ขอบเขตของคำตอบจึงสามารถแคบลงได้อีก
นอกจากนี้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ พืช และวัตถุของคนโบราณยังมีจำกัดมาก ฉินเฟิงพยายามใคร่ครวญสิ่งที่เขารู้ และพบว่าไม่มีสิ่งใดที่เข้าเกณฑ์ ดังนั้นคำตอบที่เหมาะสมจึงเหลือเพียงตัวอักษรเท่านั้น
และคำว่า “思 (คิด)” ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด!
นายน้อยฉินแย้มยิ้ม พลางหรี่ตามองไปที่หลินเฟยโม่ “นายน้อยหลิน ถ้าปริศนาโคมไฟที่เจ้าเตรียมไว้อยู่ในระดับนี้ล่ะก็ ข้าไม่รังเกียจที่จะแนะหนทางให้เจ้าสักหน่อย เพื่อเลี่ยงไม่ให้เจ้าพ่ายแพ้จนน่าเกลียดเกินไป เพราะหากเกิดกรณีที่ผลลัพธ์เป็นเจ็ดต่อศูนย์ ในอนาคตเมื่อกลับไปยังเจียงหนาน เจ้าจะใช้ชีวิตอย่างไรเล่า?”
สีหน้าของหลินเฟยโม่ประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว
เขาไม่คาดคิดว่า ฉินเฟิงจะสามารถไขปริศนาโคมไฟที่เขาเตรียมไว้อย่างรอบคอบได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เมื่อเห็นสีหน้าที่บ้าคลั่งไม่มีสิ้นสุดของฉินเฟิง หลินเฟยโม่ก็รู้สึกคับแน่นในอกนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
หลินเฟยโม่กัดฟัน และพูดทีละคำ “เจ้าอย่าเพิ่งมีความสุขเร็วเกินไปนัก!”
ฉีหยางจวิ้นจู่มองนายน้อยฉินด้วยสายตาซับซ้อน แต่อย่างไรนี่ก็เป็นเพียงคำถามแรกเท่านั้น ยังไม่ทราบผลการแข่งขันแน่ชัด ดังนั้นนางจึงแสร้งทำเป็นสงบ และพูดว่า “ฉินเฟิงชนะปริศนาแรก ฉินเฟิงโปรดเตรียมหัวข้อที่สอง”
นายน้อยเจ้าสำราญที่เคยเห็นเกมลับสมองและปริศนาคำทายมานับไม่ถ้วนหยิบพู่กันกับกระดาษขึ้นมา เขาสะบัดแปรงสองสามครั้ง ก่อนจะโยนหัวข้อไปให้เด็กรับใช้โดยไม่เสียเวลาคิด
ช่วงขณะที่เรือสำราญกำลังเตรียมหัวข้อที่สองอยู่นี้ มีคนสี่คนยืนอยู่บนหอคอยที่อยู่ห่างจากทะเลสาบแสงจันทร์ออกไปไม่กี่ร้อยจั้ง
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงสวมฉลองพระองค์สีเหลือง ปลอมตัวยืนเอามือไพล่หลัง มองดูผืนผ้าบนทะเลสาบพร้อมกับแววตาเย้ยหยัน “ปริศนาโคมไฟที่มีความยากระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าหนูฉินเฟิง กุ้งกำลังเล่นน้ำรายล้อมด้วยภูเขาและลำธาร หมายถึง คำว่า ‘思 (คิด)’”
ทันทีที่ตรัสเช่นนี้ หนิงกั๋วกงหรือเซี่ยปี้ที่กำลังปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ ก็ก้มหน้าลงและคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น “ที่แท้เป็นคำว่า ‘思 (คิด)’ เองหรือ? สมกับเป็นฝ่าบาท ปริศนาโคมไฟเล็ก ๆ แก้ได้เพียงดีดนิ้วเท่านั้น”
เซี่ยปี้ไม่ทำอื่นใดนอกจากเอ่ยเยินยอ
ท้ายที่สุดแล้วในฐานะขุนนางฝ่ายบู๊ เซี่ยปี้ไม่สันทัดเรื่องการเดาปริศนาโคมไฟดังพวกปัญญาชน
หลี่จ้านพยายามที่จะสรรเสริญเยินยอพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างไม่ลดละ “แม้แต่สงครามเป่ยตี๋ที่สร้างปัญหาให้กับต้าเหลียงมาหลายชั่วอายุคนก็ได้รับการแก้ไข เนื่องจากการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและทรงพลังของฝ่าบาท แล้วปริศนาเล็ก ๆ นี้จะเทียบกับปัญหาบ้านเมืองได้อย่างไร?”
ขณะที่เซี่ยปี้และหลี่จ้านประจบฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอย่างต่อเนื่อง เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ซึ่งร่วมทางมากับพวกเขาก็กำลังทอดมองไปยังทะเลสาบแสงจันทร์ และจมอยู่ในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง
วันนี้ข่าวการทุบตีหลินเฟยโม่ของฉินเฟิงแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว
คนบางคนกลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายจึงเติมเชื้อไฟให้กับเปลวไฟ กล่าวว่าความบาดหมางระหว่างตระกูลฉินและตระกูลหลินได้ถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง!
ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกว่าฉินเฟิงนั้นหยิ่งยโส จนกระทั่งไม่เห็นกุ้ยเฟยองค์ปัจจุบันอยู่ในสายตา
คำพูดดังกล่าวย่อมทำให้ศัตรูที่จำศีลอยู่ในความมืดและรอคอยโอกาสเริ่มเคลื่อนไหว และอาจถึงขั้นสร้างพันธมิตร ร่วมมือกันจัดการกับตระกูลฉิน
วันอันสงบสุขของตระกูลฉินตอนนี้ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา!
คลื่นใต้น้ำกำลังเชี่ยวกราด!
เมื่อใดที่สงครามในเป่ยตี๋สิ้นสุดลง ตระกูลฉินก็จะถูกกลุ่มศัตรูโจมตี!
และเมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลฉินกับตระกูลเซี่ยคงผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกันแล้ว เช่นนี้ตระกูลเซี่ยจะจัดการกับตัวเองอย่างไร?
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ลอบถอนหายใจพลางคิด ‘ฉินเฟิงเอ๋ยฉินเฟิง ถ้าเจ้าสงบสติอารมณ์ลงสักครู่เจ้าจะตายหรือ? ยั่วยุใครในใต้หล้านี้ข้าไม่ว่า แต่เจ้าดันไปยั่วยุคนของตระกูลหลินเนี่ยนะ!’
MANGA DISCUSSION