บทที่ 193 การประลองบนเรือสำราญ
หลินเฟยโม่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็จนปัญญา และขณะกำลังจะเอ่ยยั่วยุอีกสองสามคำ ฉีหยางจวิ้นจู่ก็ก้าวลงจากบันไดไปแล้ว
เมื่อเห็นฉีหยางจวิ้นจู่ปรากฏตัว ฉินเฟิงพลันสาปแช่งในใจ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “จวิ้นจู่นะจวิ้นจู่ ข้าแค่มาสายไปหน่อยไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านต้องใส่ร้ายข้าเช่นนี้ด้วยเล่า? ดังคำพูดที่ว่าวีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม ถ้าเรื่องคืนนี้กระจายออกไป ภายภาคหน้าท่านจะให้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์มีหน้าพบปะผู้คนได้อย่างไร”
ฉีหยางจวิ้นจู่เบะริมฝีปาก พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “มาสายไปหน่อยอย่างนั้นรึ! เจ้าไม่รู้รึว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว?! หากช้าอีกเพียงหนึ่งถ้วยชา ข้าก็จะกลับจวนแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องรับผลที่ตามมาอย่างสาสม!”
“นอกจากนี้ การที่เจ้าจะต้องปกป้องความบริสุทธิ์เพื่ออวิ๋นเอ๋อร์ มันมิใช่เรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วรึ? คนไม่รู้มาได้ยินเข้าคงจะคิดว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่!”
“นับเป็นโชคดีของเจ้าที่หยุดยั้งตัวเองไว้ได้ ไม่เช่นนั้น….ข้าจะตัด ‘สิ่งนั้น’ ของเจ้าทิ้งไปเสีย!”
โหดร้ายชะมัด!
ฉินเฟิงพลันรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก “จวิ้นจู่ ท่านให้ข้ามาที่ทะเลสาบแสงจันทร์กลางดึกเช่นนี้เพื่อการใด? ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะกลับไปนอนต่อ ข้าตามท่านพ่อไปว่าราชการเช้า ตอนนี้ข้ายังง่วงอยู่เลย”
เมื่อเห็นท่าทางเอ้อระเหยลอยชายของฉินเฟิง ฉีหยางจวิ้นจู่พลันโมโหขึ้นมาดื้อ ๆ
ในฐานะจวิ้นจู่ผู้สูงศักดิ์ เพียงเอ่ยปากสักคำ บรรดาบุตรหลานขุนนางในเมืองหลวงใครบ้างจะไม่รีบวิ่งมาเอาอกเอาใจ? แต่เจ้าฉินเฟิงผู้นี้เอาแต่บ่นอยู่ได้ น่าโมโหนัก!
ฉีหยางจวิ้นจู่เบิกนัยน์ตาโต “หากเจ้ากล้าบ่นอีก ข้าจะดึงลิ้นเจ้าออกมาเสีย !”
ขณะพูด นางก็เดินวนรอบตัวฉินเฟิง
ก่อนจะเอื้อมมือออกไปตบไหล่เขาอย่างกะทันหัน
แม้ว่าจะไม่ได้ออกแรงเลยก็ตาม
แต่ทันทีที่ฝ่ามือของนางแตะไหล่ฉินเฟิง นายน้อยฉินพลันรู้สึกราวกับว่าถูกของร้อน แข้งขาพลันอ่อนแรง ล้มฟุบลงกับพื้น
ฉีหยางจวิ้นจู่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นท่าทางขลาดกลัวของฉินเฟิง นางแต่พึมพำอยู่ในใจ
แปลกชะมัด!
ทั้ง ๆ ที่เจ้ากล้าต่อยหลินเฟยโม่แท้ ๆ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ขี้ขลาดขนาดนี้เล่า?
หึ! ช่างเป็นคนสองมาตรฐานจริง ๆ
แต่จะว่าไปแล้ว
ผู้ชายคนนี้…
ก็น่าสนใจดี อย่างน้อยก็น่าสนใจมากกว่าบุตรหลานขุนนางส่วนใหญ่
ฉีหยางจวิ้นจู่กลั้นยิ้ม และพูดด้วยท่าทีดูถูก “ฉินเฟิงช่วงนี้เจ้าเก่งขึ้นไม่เบานะ ฮ่องเต้ทรงตรัสชมเจ้าเพียงไม่กี่คำ เจ้าก็ถือว่าตัวเองเป็นคนโปรดที่ไม่มีใครแทนที่ได้แล้วหรือ? หึ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่มีที่ให้เจ้าได้ทำตัวเหิมเกริม!”
ฉินเฟิงนั่งอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น เขาเงยมองฉีหยางจวิ้นจู่ด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “จวิ้นจู่ ท่านหมายความว่าอย่างไร? ไฉนข้าถึงฟังไม่รู้ความ?”
ฉีหยางจวิ้นจู่ยกขาเตะก้นฉินเฟิงพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังกล้าเถียงอีก! ก่อนข้าจะไปที่ค่ายของเจ้าวันนี้ เจ้าได้ทุบตีหลินเฟยโม่มิใช่หรือ? หลินเฟยโม่เป็นถึงหลานชายของกุ้ยเฟย หรือว่าเจ้าไม่เห็นกุ้ยเฟยอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ?!”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงก็พอจะจับต้นชนปลายได้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าฉีหยางจวิ้นจู่เชิญเขามาที่นี่กลางดึก นอกเหนือจากเพื่อทดสอบกันแล้ว คาดว่าคงต้องการระบายความโกรธให้หลินเฟยโม่ด้วย
หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าไท่เป่ากับกุ้ยเฟยไม่เต็มใจที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเด็ก ๆ
ประการแรก เพราะนี่เป็นช่วงเวลาของการศึก ฉินเฟิงได้รับมอบหมายจากฮ่องเต้ให้ทำหน้าที่สำคัญ การโจมตีฉินเฟิงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี หากภายภาคหน้าการศึกเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมา ถึงตอนนั้นก็เป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงภัยไม่ให้มาถึงตัว
ประการที่สอง มีสายตามากมายจับจ้องมายังฉินเฟิง นอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็ยังมีองค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายเจ็ด ตอนนี้คาดว่าแม้แต่กุ้ยเฟยก็ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นศัตรู ใครเป็นมิตร
แต่สิ่งที่ทำให้กุ้ยเฟยกลัวที่สุดคงจะเป็นคำว่า ‘เงิน’
ในช่วงที่ผ่านมา ฉินเฟิงมีส่วนร่วมในการเติมเต็มท้องพระคลัง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนประจักษ์แจ้ง
หากใครโจมตีเขาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ นั่นก็อาจจะทำให้แคว้นสูญเสียค่าใช้จ่ายทางการทหารจำนวนมากได้ ถึงเวลานั้นก็ยากจะอธิบายให้ฮ่องเต้เข้าพระทัยแล้ว
หลังจากไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดจนชัดแจ้ง ภายนอกฉินเฟิงแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก แต่ในใจกลับสงบนิ่งราวกับสุนัขแก่
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาไม่ประสงค์ดีของฉีหยางจวิ้นจู่ นายน้อยฉินก็ร้องไห้คร่ำครวญ “เห็นได้ชัดว่าหลินเฟยโม่เป็นคนร้าย จวิ้นจู่โปรดตัดสิน ข้าต่างหากที่เป็นเหยื่อ!”
“วันนี้หลินเฟยโม่บุกเข้าไปในค่ายโดยไม่สนใจอะไร พูดจาดูหมิ่นพี่หญิงรองของข้า ข้าแค่พูดกับเขาสองสามคำ เขาก็ระดมกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ กองทัพค่ายตะวันออก กองทัพค่ายตะวันตกมาจัดการกับข้า ถ้าหากว่าท่านโหวน้อยไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องข้า เกรงว่าชีวิตน้อย ๆ นี้คงไม่เหลือแล้ว”
ฉีหยางจวิ้นจู่ย่อมไม่เชื่อคำโกหกของฉินเฟิง!
ทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่านายน้อยฉินเป็นคนที่ไม่ยอมขาดทุน?
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าหลินเฟยโม่เป็นคนถูกทุบตีจนจมูกช้ำหน้าบวม มาตอนนี้ เจ้าคนไร้ยางอายอย่างฉินเฟิงกลับทำตัวเหมือนเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ
ทว่าก่อนหน้านี้ ฉีหยางจวิ้นจู่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการระดมกองทหารที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวงมาบ้าง
นั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย หากไม่ระวังให้ดีก็อาจโดนตั้งข้อหา ‘ลอบสังหารคนในราชวงศ์’ ได้
ฉีหยางจวิ้นจู่เงยหน้าขึ้นมองที่บันได แล้วถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หลินเฟยโม่ เป็นเช่นนั้นหรือ?”
หลินเฟยโม่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินลงบันไดมา เขามีสีหน้าเย็นชา ประสานมือเข้าด้วยกัน วางท่าทางเหมือนชายหนุ่มรูปงาม “ฉีหยาง เจ้าเชื่อข้าหรือเชื่อเขา? การระดมกองกำลังเป็นการกระทำที่อุกอาจ ข้าประพฤติตนอย่างระมัดระวังมาตลอด ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่”
เดิมทีฉีหยางจวิ้นจู่เข้าข้างหลินเฟยโม่
เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่เยาว์วัย
แต่หลังจากได้ยินคำแก้ตัวของอีกฝ่าย ความประทับใจของนางที่มีต่อเขาก็หายไปในทันที
เป็นเรื่องจริงที่หลินเฟยโม่อาศัยอยู่เจียงหนานมาเป็นเวลานาน แต่ฉีหยางจวิ้นจู่รู้เรื่องราวของเขาทุกอย่าง!
เขาอาศัยชื่อของเชื้อพระวงศ์รังแกผู้คนทั้งชายและหญิง เหยียบย่ำคนทั่วไปอย่างไม่ไยดีครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน!
เพียงแค่หลินเฟยโม่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเรื่องนี้ก็คงจบแล้ว
สุดท้าย หากมีฐานะเป็นถึงบุตรหลานขุนนาง ผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่เคยทำชั่ว?
แต่การโกหกหลอกลวง กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ เป็นเรื่องน่ารังเกียจนัก
ฉีหยางจวิ้นจู่มีสีหน้าเย็นชา นางตวาดเสียงเกรี้ยว “ข้าไม่เชื่อพวกเจ้าทั้งคู่! แต่ถึงอย่างไรเรื่องวันนี้จะต้องได้รับการตัดสิน เพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อราชวงศ์ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองบอกว่าตนเองเป็นเหยื่อ เช่นนั้นข้าจะกำหนดเส้นทางให้พวกเจ้าเอง!”
หลินเฟยโม่โค้งคำนับอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวขอบคุณออกมา “ฉีหยางว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”
ฉินเฟิงที่นั่งอยู่บนพื้นเห็นหลินเฟยโม่เปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อเผชิญหน้ากับฉีหยางจวิ้นจู่ เขากลับไม่มีท่าทางวางอำนาจเหมือนเมื่อตอนกลางวันแม้แต่น้อย
ถ้าพูดถึงเรื่องเลือกปฏิบัติ ฉินเฟิงรู้สึกว่าเขากับหลินเฟยโม่ก็คงพอ ๆ กัน
ฉีหยางจวิ้นจู่ไม่ลังเล นางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มสองคนที่อยู่ชั้นบน “มีองค์ชายทั้งสองเป็นพยาน ใครแพ้ก็อย่าปฏิเสธเสียเล่า!”
องค์ชายสองพระองค์?!
ฉินเฟิงรีบเงยหน้ามองตามขึ้นไปชั้นบนทันที
และเขาก็เห็นชายหนุ่มสองคนอยู่บนนั้น… ท่าทางดูไม่ธรรมดาจริง ๆ!
ชายในวัยยี่สิบต้น ๆ แต่งกายด้วยชุดสีขาว มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่รัศมีที่เปล่งออกมาจากร่างกายแข็งแกร่งอย่างมาก นั่นทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความเคร่งขรึม
อีกคนดูอายุค่อนข้างน้อย อาจจะประมาณสิบห้าหรือสิบหกปี แต่งกายด้วยชุดสีเหลือง มีใบหน้าที่ดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา ทว่าก็มีรัศมีขององค์ชายแผ่ออกมาอยู่หลายส่วน
คิดไม่ถึงว่าคืนนี้เพื่อ ‘ช่วยเหลือ’ หลินเฟยโม่แล้ว แม้แต่องค์ชายที่อาศัยอยู่ลึกในวังหลังก็ยังออกหน้า
แน่นอนว่าหลินเฟยโม่น่ะไม่เท่าไหร่
แต่คนที่ร้ายกาจจริง ๆ คือ กุ้ยเฟย ผู้ปกครองตำหนักทั้งหกต่างหาก!
MANGA DISCUSSION