บทที่ 180 วางท่าเก่งนัก
ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร!
ฉินเฟิงยิ้มเยาะในใจ ไม่ว่าสถานะของบุคคลนี้จะสูงส่งแค่ไหน จะสามารถสูงไปกว่าองค์ชายรองได้หรือ?
ในระหว่างพิธีชำระอาภรณ์ ขนาดองค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดก็ยังต้องเข้ามาพูดคุยกับข้า ข้าต้องบอกพวกเจ้าด้วยหรือไม่?
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงไม่ตอบ ดวงตาของเฉินเฉิงก็ยิ่งฉายแววดูถูกมากขึ้น “ข้าว่าเจ้าคงไม่รู้นามของนายน้อยท่านนี้เป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าเองว่านี่คือ นายน้อยหลินเฟยโม่!”
หลินเฟยโม่?
เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน!
ฉินเฟิงใช้นิ้วก้อยแคะขี้หูโดยไม่สนใจหลินเฟยโม่แม้แต่น้อย เขามองเฉินเฉิงด้วยรอยยิ้ม “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าเป็นบุตรชายของหัวหน้ากลุ่มการค้าเมืองหลวงใช่หรือไม่? บิดาของเจ้าซื้อสิทธิ์การขายเกล็ดน้ำตาลหนึ่งปีจากข้าเมื่อไม่นานมานี้นี่ เช่นนี้เจ้าก็กลับจวนไปบอกบิดาของเจ้าเถิดว่า ข้าไม่ชอบขี้หน้าเจ้าเอาเสียเลย ดังนั้นค่าธรรมเนียมจึงเพิ่มขึ้นอีกสามหมื่นตำลึงเงิน!”
เฉินเฉิงผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โกรธจนหัวเราะ “สามหมื่นตำลึงเงิน! ทำไมเจ้าไม่ไปปล้นข้าเสียเลยเล่า!”
ฉินเฟิงเช็ดนิ้วก้อยบนตัวเฉินเฉิง เผยรอยยิ้มราวกับสายลมในวสันตฤดู “เงินหาได้ง่ายขนาดนี้ ทำไมข้าต้องไปปล้นชิงด้วยเล่า ไม่อย่างนั้น เพิ่มเป็นสี่หมื่นตำลึงเงินดีหรือไม่?”
ทันใดนั้น เฉินเฉิงก็กำหมัดและกัดฟันแน่น “แล้วแต่เจ้า! คนแซ่ฉิน เจ้าทำให้นายน้อยหลินขุ่นเคือง ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะได้ใจไปได้อีกนานแค่ไหน! รอเจ้าตายแล้ว อย่าว่าแต่เกล็ดน้ำตาลเลย แม้แต่น้ำตาลทรายขาวก็ยังเป็นของกลุ่มการค้าเมืองหลวง หึ ๆ เกรงว่าเจ้าคงจะไม่รู้กระมัง ในฐานะหัวหน้ากลุ่มการค้า บิดาของข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับใต้เท้าหลี่แห่งกรมคลัง และเจ้าหน้าที่ศาลไท่ฝู่*[1]”
ศาลไท่ฝู่เป็น ‘หนึ่งในเก้าศาล’*[2] มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติ คลังเสบียง และการค้าขาย
กรมคลังและศาลไท่ฝู่มีความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกัน พูดตามตรงก็คือ ฮ่วนเซี่ยงโพรงเดียวกัน
ในขณะนี้เอง หลี่ว์เชียนที่ทำเป็นเคร่งขรึมก็แสร้งทำเป็นหวังดี และเตือนว่า “ฉินเฟิง ถ้าเจ้าขอโทษนายน้อยหลินตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปนัก”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ฉินเฟิงก็เบนความสนใจไปที่หลี่ว์เชียน ภายใต้การจ้องมองของทุกคน และโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว นายน้อยฉินยกมือขึ้นยีผมบนศีรษะของหลี่ว์เชียน
หลี่ว์เชียนชะงักไปครู่หนึ่ง ต่อมาก็รู้สึกราวกับว่าได้รับความอับอายอย่างสุดซึ้ง จึงตวาดเสียงเกรี้ยว “ฉินเฟิง! ข้าเตือนเจ้าด้วยความหวังดีแต่เจ้ากลับดูถูกข้า! เรื่องนี้จะไม่มีทางจบลงด้วยดีแน่!”
เมื่อเผชิญกับการคุกคามของหลี่ว์เชียน ฉินเฟิงก็ฉีกยิ้ม พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “โอ้ ไม่เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะขอให้บิดาข้าทุบตีบิดาของเจ้าเป็นอย่างไร?”
ใบหน้าของหลี่ว์เชียนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ อับอายจนโกรธแค้น “บังอาจ! บิดาของข้าเป็นถึงรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่นะ!”
ฉินเฟิงยักไหล่ “แล้วอย่างไร? รองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ไม่ใช่ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เสียหน่อย มีอะไรให้โอ้อวดกัน บิดาเจ้าเป็นขุนนางขั้นสี่ชั้นพิเศษ บิดาข้าเป็นขุนนางขั้นสองชั้นพิเศษ ห่างชั้นกันตั้งสี่ขั้น หากบิดาเจ้าเห็นพ่อของข้า คงไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าด้วยซ้ำ!”
“ก็แค่รองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ต่อให้เป็น ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ก็แค่ขุนนางขั้นสาม ข้าขอถามเจ้าหน่อย นี่มีอะไรให้อวดนักหนา?”
ใบหน้าของหลี่ว์เชียนเดี๋ยวแดงเหมือนโลหิต เดี๋ยวซีดเหมือนกระดาษ
ศาลต้าหลี่และกรมอาญาประกอบกันเป็นหน่วยตุลาการสูงสุด ขุนนางในราชสำนักต่างก็ต้องไว้หน้าศาลต้าหลี่ แต่เจ้าฉินเฟิงอาศัยว่าบิดาเป็นเสนาบดี จึงไม่เห็นศาลต้าหลี่อยู่ในสายตา ช่างไร้เหตุผลนัก!
หลี่ว์เชียนโกรธมาก เขาคำรามเสียงต่ำ “คนแซ่ฉิน เจ้าได้รับพระราชทานเข็มขัดทองคำไม่ใช่หรือ? มีเพียงศาลต้าหลี่เท่านั้นที่สามารถพิพากษาเจ้าได้ เจ้าอย่าได้ตกมาอยู่ในมือของข้าเชียว!”
เมื่อเห็นว่าหลี่ว์เชียนอยากจะพิพากษาตนเอง ฉินเฟิงจึงปฏิบัติตามหลักการ ‘ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นรากฐานของความสุข’ เขาเอ่ยด้วยความจริงใจ “อยากจะพิพากษาข้าหรือ ง่ายจะตายไป ข้าจะชกเจ้าในตอนนี้ แล้วเราไปเจอกันที่ศาลต้าหลี่ดีหรือไม่?”
ขณะที่พูดฉินเฟิงก็ยกกำปั้นขึ้น
หลี่ว์เชียนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ใช่คนโง่งม หากถูกต่อยจริง ๆ จนเลือดกำเดาไหลก็คงถูกต่อยอย่างเปล่าประโยชน์ เพราะศาลต้าหลี่คร้านเกินกว่าจะให้ความสนใจกับข้อวิวาทของเหล่าบุตรหลานผู้ดีในเมืองหลวง
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้พิพากษาแท้จริงของศาลต้าหลี่ก็คือ ‘ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่’ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่อันใด หามีความหมายไม่
แม้เห็นเฉินเฉิงกับหลี่ว์เชียนถูกฉินเฟิงทำให้อับอายจนหน้าแดงและโกรธแค้น แต่หลินเฟยโม่ก็ยังคงสงบนิ่ง
เฉินเฉิงกับหลี่ว์เชียนต่างก็ปิดปากอย่างรู้ความ ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับนายน้อยหลิน
หลิ่วหงเหยียนที่เฝ้าดูจากระยะไกลกังวลมาก เมื่อนางเห็นว่าฝูงชนที่ประตูค่ายไม่แยกย้ายกันไปเสียที นางจึงเข้ามาตรวจดูอย่างวางใจไม่ลง ด้วยกลัวว่าเจ้าตัวแสบฉินเฟิงอาจจะโมโหจนปะทะกับคนในราชวงศ์เข้า
ในตอนที่เห็นหลินเฟยโม่ หลิ่วหงเหยียนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าของนางก็ซีดลงทันที
คุณหนูรองตระกูลฉินรีบคว้าตัวฉินเฟิง ก่อนจะพูดด้วยความตื่นตระหนก “ฉิน… ฉินเฟิง เจ้ารีบบอกข้ามา เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ไร้มารยาทต่อนายน้อยหลินใช่หรือไม่?”
คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหงเหยียนจะรู้จักหลินเฟยโม่คนนี้จริง ๆ
ฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ และเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลิ่วหงเหยียนก็พอจะสรุปได้ว่า ภูมิหลังของบุคคลนี้ไม่ธรรมดาแน่แล้ว
อาจเป็นอ๋องต่างสกุล?
ไม่ถูกต้อง! หลังจากสถาปนาราชวงศ์ต้าเหลียง อ๋องต่างสกุลล้วนล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
พระญาติของราชวงศ์?
ไม่ถูก! หากมีเชื้อราชวงศ์ต้าเหลียงก็ต้องแซ่หลี่สิ
หรือจะเป็นบุตรชายของสามมหาเสนาบดี?
ไม่ถูกต้อง… เกาซง บุตรชายของมหาเสนาเกาก็หาได้มีฤทธิ์เดชอันใด ตอนนั้นที่หอสุราธารหยก เขายังตกใจจนฉี่ราดอยู่เลย ต่อให้เป็นบุตรชายไท่ฟู่หรือไท่เป่า*[3] ก็คงไม่ได้ห่างชั้นกับตระกูลฉินขนาดนั้น
ฉินเฟิงคิดจนหัวหมุนก็ยังคิดไม่ออกว่าหลินเฟยโม่คนนี้เป็นใครมากจากไหนกันแน่ จึงล้มเลิกความสนใจ แต่อย่างไร ในเมื่อวันนี้มีเรื่องกันแล้วก็ต้องมีบทสรุป
ฉินเฟิงจับไหล่หลิ่วหงเหยียนด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างก็ลูบแผ่นหลังนางเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “พี่หญิงรอง ท่านไม่ต้องกังวล ข้ากับนายน้อยหลินสนทนากันอย่างมีความสุข ถ้าไม่เชื่อท่านก็ดูสิ ถ้าเราขัดแย้งกัน คงทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงแล้ว”
หลิ่วหงเหยียนมองหลินเฟยโม่อย่างสงสัย นางมองไม่เห็นความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกัน หลินเฟยโม่ก็มองหลิ่วหงเหยียนราวกับฉินเฟิงเป็นเพียงอากาศ พลันเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ “แม่นางหลิ่ว ถ้าเจ้าตามข้ากลับไปเจียงหนาน แม้ว่ายากที่จะได้รับสถานะ แต่ด้วยความงามของเจ้าก็อาจได้เป็นอนุภรรยา และได้รับความโปรดปรานจากข้าไปตลอดชีวิต เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้า ข้าจะปล่อยฉินเฟิงไป”
ฮะ?!
หลิ่วหงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที
เดิมทีนางเกรงกลัวสถานะของหลินเฟยโม่ แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้หยิ่งยโสเกินไป พฤติกรรมก็ไม่ต่างจากพวกบุตรหลานคนมีอำนาจคนอื่น ๆ นัก
ทว่าจากคำพูดไม่กี่คำของเขาก็ยังพอฟังออกได้ว่า เจ้าเด็กตัวเหม็นฉินเฟิงทำให้หลินเฟยโม่ขุ่นเคืองแล้วจริง ๆ
เฮ้อ!
เป็นไปตามคาด ไม่ได้มีอะไรน่าแปลกใจนัก
หลิ่วหงเหยียนหยิกเอวของฉินเฟิงเงียบ ๆ จนนายน้อยฉินต้องฉีกยิ้มเหยเกด้วยความเจ็บปวด แต่นางก็ไม่สนใจ แล้วคนงามก็หันไปโค้งคำนับหลินเฟยโม่ “ฉินเฟิงยังเด็กและโง่เขลา หากเขาทำให้นายน้อยหลินขุ่นเคือง ข้าหลิ่วหงเหยียนยินดีรับโทษแทน ขอให้นายน้อยหลินไว้ไมตรี ยกโทษให้น้องชายของข้าด้วย”
หลินเฟยโม่เลิกคิ้วขึ้น แล้วถามกลับว่า “เจ้าไม่เต็มใจหรือ?”
หลิ่วหงเหยียนรู้สึกรังเกียจในใจ แต่เนื่องจากแรงกดดัน นางจึงพยายามจะอธิบายอย่างอดทน แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยปาก หลินเฟยโม่ก็สังเกตเห็นแววตาของนางแล้ว จึงขัดจังหวะโดยพลัน
ดวงตาของหลินเฟยโม่สงบและแน่วแน่ เขาพูดขึ้นว่า “ของที่ข้าอยากได้ ข้าก็ได้ครอบครองเสมอ สำหรับสตรีก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเจ้าจะมีเสนาบดีกรมกลาโหมหนุนหลัง และไม่เต็มใจแค่ไหน แต่เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงใดได้ อีกสามวันข้าจะออกจากเมืองหลวง เจ้าต้องติดตามไปกับข้า!”
ไปกับผีมารดาเจ้าสิ!
ในใจฉินเฟิงโกรธเกรี้ยวมาก!
ชีวิตนี้มีคนสองประเภทที่เขาเกลียดมากที่สุด
หนึ่ง หน้าตาหล่อเหลากว่าเขา
สอง วางท่ามากกว่าเขา!
และแน่นอนว่าหลินเฟยโม่คนนี้ก็มีคุณสมบัติทั้งสองข้อ
ฉินเฟิงลากหลิ่วหงเหยียนไปหลบข้างหลัง ความโกรธเกรี้ยวรุนแรงขึ้น “หลินเฟยโม่ใช่ไหม? ฟัง! ข้าจะบอกเจ้าให้ วันนี้เจ้ามีปัญหาแล้ว! เจ้าสร้างปัญหาใหญ่แล้ว!”
[1] ศาลไท่ฝู่ (太府寺) : ในสมัยราชวงศ์ถังมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติ คลังเสบียง และการค้าขาย
[2] เก้าศาล (九寺) : หน่วยงานส่วนกลางของราชสำนักทั้งเก้า เก้าศาลในสมัยราชวงศ์สุยและถัง ได้แก่ ศาลจงเจิ้ง ศาลไท่ฉาง ศาลกวางลู่ ศาลหงลู่ ศาลซือหนง ศาลไท่ฝู่ ศาลเว่ยเว่ย ศาลไท่พู่ และศาลต้าหลี่
[3] ซันกง (三公) : มีด้วยกันสามตำแหน่งคือ ไท่ซือ (Grand Preceptor) ไท่ฟู่ (Grand Tutor) ไท่เป่า (Grand Protector) มีลำดับยศสูงสุด เป็นขุนนางขั้นหนึ่งชั้นเอก
MANGA DISCUSSION