บทที่ 179 แย่งผู้หญิงข้ารึ?
เนื่องจากวันนี้ตระกูลฉินจัดงานเลี้ยง และมีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย หลิ่วหงเหยียนจึงบรรจงแต่งกายเล็กน้อย
เดิมทีนางก็งดงามอยู่แล้ว
และในยามนี้คุณหนูรองตระกูลฉินงดงามยิ่งกว่านางฟ้านางสวรรค์เสียอีก!
เสื้อคลุมสีน้ำเงินสลับขาว ผมดำสยายปกคลุมแผ่นหลัง ผมหน้าม้ายาวลงมาเล็กน้อย เป็นสัญลักษณ์ของหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน ประกอบกับแก้มสีชมพูเรื่อ และผิวขาวราวกับหิมะที่อ่อนนุ่มนั่น แลดูเหมือนภาพสตรีงามที่ชวนให้หัวใจหยุดเต้นโดยแท้
ดวงตาของหลินเฟยโม่ฉายความประหลาดใจเต็มไปหมด “คุณหนูผู้นี้คือใคร?”
เฉินเฉิงกับหลี่ว์เชียนอยู่ในแวดวงบุตรหลานเมืองหลวง ชำนาญทักษะการสังเกตคำพูดและอารมณ์ของผู้คน พวกเขาย่อมเข้าใจในทันที
หลี่ว์เชียนยิ้มอย่างร้ายกาจ ไม่สนใจฉินเฟิงที่ดูไม่มีความสุข เขาชี้นิ้วไปที่หลิ่วหงเหยียน พลางพูดแนะนำอย่างรวดเร็ว “นายน้อยมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานจึงไม่น่าแปลกใจที่จะไม่รู้จัก แม่นางผู้นี้เป็นลูกสาวบุญธรรมของฉินเทียนหู่ เสนาบดีกรมกลาโหม เป็นพี่สาวคนรองของฉินเฟิง นามสกุลของนางคือหลิ่ว ชื่อของนางคือหง และฉินเทียนหู่เป็นคนมอบคำว่าเหยียนแก่นาง”
หลินเฟยโม่พึมพำกับตัวเอง “หลิ่วหงเหยียน? สมกับชื่อจริง ๆ ความงามที่ทำให้มึนเมา ไม่เลว!”
ขณะพูด หลินเฟยโม่ก็ก้าวไปที่ประตูค่าย
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ เฉินเฉิงกับหลี่ว์เชียนมองหน้ากัน แล้วยกยิ้ม
เฉินเฉิงแอบสะใจอยู่คนเดียว
การบังคับผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำตาลของฉินเฟิงก่อให้เกิดความโกลาหลกับกิจการของเมืองหลวงมาสักพักแล้ว
ในเมื่อเจ้าหมอนี่สามารถผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำตาลได้ ภายภาคหน้าก็จะสามารถผูกขาดกิจการอื่น ๆ ได้อีก
ดังสุภาษิตที่ว่า ตัดเส้นทางการเงินก็เหมือนกับการสังหารบิดามารดา
แต่ภูมิหลังของเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ จึงจนปัญญาที่จะแก้แค้น
แวดวงเจ้าของกิจการในเมืองหลวงจึงทำได้เพียงแค่กล่ำกลืนความโกรธลงไปเท่านั้น
แต่ตอนนี้ ทันทีที่มีข่าวว่าหลินเฟยโม่กลับมาเมืองหลวง เฉินเฉิงก็ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มการค้าเมืองหลวงให้แบกรับภารกิจสำคัญในการ ‘จัดระเบียบแนวทางการดำเนินกิจการ’ ด้วยการใช้เงินจำนวนมากโดยไม่คำนึงถึงต้นทุน กินดื่มสนุกสนานร่วมกับหลินเฟยโม่อยู่หลายวัน ในที่สุดถึงได้พาตัวหลินเฟยโม่มาที่ค่ายแห่งนี้ได้
ปัจจุบันนอกเหนือจากเชื้อพระวงศ์ หากยังมีบุตรหลานคนใดในเมืองหลวงที่สามารถควบคุมฉินเฟิงได้ คน ๆ นั้นก็คงเป็นหลินเฟยโม่
ตราบใดฉินเฟิงกล้าที่จะขัดแย้งกับหลินเฟยโม่ แม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้!
เฉินเฉิงแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นนายน้อยฉินฉินถูกหลินเฟยโม่เหยียบย่ำจนตาย!
ในเวลานี้หลินเฟยโม่ได้มาถึงประตูค่ายแล้ว
เมื่อเขากำลังจะก้าวเข้าไปข้างใน ฉินเสี่ยวฝูที่รออยู่ตรงประตูเพราะคำสั่งของฉินเฟิงก็เอื้อมมือหยุดเขาไว้กะทันหัน แล้วกล่าวว่า “ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ผู้ไม่มี่ส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า!”
ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือ?
ดวงตาของหลินเฟยโม่แน่วแน่ เขามองฉินเสี่ยวฝู แล้วพูดอย่างสบาย ๆ “ตบปากสามสิบที แล้วดึงลิ้นออกมา”
ทันทีที่สิ้นประโยค บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบวิ่งไปข้างหน้า ผลักฉินเสี่ยวฝูล้มลงไปที่พื้น บ่าวรับใช้คนหนึ่งยกมือขึ้น แล้วตบปากตนสนิทของฉินเฟิงอย่างแรง
เพียะ!
เสียงดังฟังชัด
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ค่ายที่เต็มไปด้วยเสียงของการต่อสู้ทุบตีเงียบไปครู่หนึ่ง และทุกสายตาก็จับจ้องไปยังทิศทางของประตู
ฉินเสี่ยวฝูอาศัยฐานะ ‘บ่าวคนสนิทของฉินเฟิง’ ทำตัวเป็นคนหยิ่งผยองในแวดวงบ่าวรับใช้ของเมืองหลวงอยู่พักหนึ่ง
คาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทุบตีเขาโดยไม่สนใจหน้านายน้อยตระกูลฉิน
ฝ่ามือนั้นเกือบจะทำให้ฟันหน้าของฉินเสี่ยวฝูหลุด เด็กหนุ่มตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งเสียงร้องเหมือนสุกรถูกเชือด “นายน้อยช่วยข้าด้วย ข้าจะถูกคนทุบตีจนตายแล้วขอรับ!”
เฉินเฉิงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “ไอ้สารเลว! ตาสุนัขของเจ้าบอดหรืออย่างไร ถึงได้กล้าล่วงเกินนายน้อยหลิน!”
และตอนที่บ่าวรับใช้กำลังจะยกฝ่ามือตบลงไปอีกครั้งนั่นเอง
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็แว่วมาให้ได้ยิน
เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง
ก็เห็นฉินเฟิงกำลังพุ่งเข้ามาหา และขณะที่ยังอยู่ห่างออกไปราวสามจั้ง ชายหนุ่มก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ยกเท้าถีบเข้าที่ใบหน้าบ่าวรับใช้ที่ตบปากฉินเสี่ยวฝู
บ่าวรับใช้คนนั้นล้มลงไปกองกับพื้น
ฉินเฟิงยื่นมือออกไปจับหลังคอของฉินเสี่ยวฝู ยกอีกฝ่ายขึ้นมา ชี้นิ้วไปทางบ่าวรับใช้ที่อยู่รอบ ๆ แล้วยกยิ้มเล็กน้อย “ตบบ้องหูพวกมันให้หมดทุกคน”
ฉินเสี่ยวฝูรู้สึกน้อยใจที่ต้องเสียเปรียบ แต่เมื่อมีฉินเฟิงเป็นผู้สนับสนุน เขาก็ไม่ลังเล ยกมือขึ้นตบหน้าบ่าวรับใช้ที่อยู่ตรงข้ามเขา แต่ผลก็คือข้อมือถูกคว้าไว้ทันทีที่เหวี่ยงมันลงไป
บ่าวรับใช้คู่กรณีเบิกตากว้าง “ข้าเป็นบ่าวรับใช้ของนายน้อยหลิน เจ้ากล้าดียังไง!”
ฉินเสี่ยวฝูไม่เคยพบกับคนโหดเหี้ยมเช่นหลินเฟยโม่มาก่อน แม้ว่าเขาจะอับอาย แต่เขารู้สึกกลัวเล็กน้อย ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ดังนั้นเขาจึงหันไปมองฉินเฟิง
ฉินเฟิงยกขาขึ้น เตะก้นของฉินเสี่ยวฝู แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้านี่ไม่ได้เรื่องเลย! ถูกทุบตีแล้วยังไม่กล้าสวนมันอีก! ตบมันไป ถ้าไม่ตบให้ปากของคนพวกนี้บวมเป่งก็ไม่ต้องกินข้าวเย็น!”
ฉินเสี่ยวฝูพูดด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก “นายน้อย ไม่ใช่ว่าข้าขี้ขลาด แต่มีคนมากเกินไป … “
ทันทีที่เขาพูดออกไป สวีโม่ที่อยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงเย็นชา “คนเยอะรึ?”
องครักษ์หลายสิบนายที่ติดตามมารีบวิ่งไปข้างหน้า ผลักบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างหลินเฟยโม่ลงไปที่พื้น
ฉินเสี่ยวฝูฉีกยิ้มเหมือนคนถ่อยได้ใจ ทั้งต่อยและเตะบ่าวรับใช้เหล่านี้อยู่พักหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน ฉินเฟิงมองหลินเฟยโม่ขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นใคร ถึงกล้ามาสร้างปัญหาที่ถิ่นข้า”
ดังคำที่ว่า ตีสุนัขก็ยังต้องมองเจ้าของ
หลินเฟยโม่เดิมก็ไม่ได้สนใจฉินเฟิง แต่เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้ของตนถูกทุบตี เขาก็มองไปที่ฉินเฟิงด้วยท่าทางเย็นชา “ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว ไสหัวออกไป!”
เหอะ!
ทำเป็นเสแสร้งอันใด!
องค์ชายรองยังไม่วางท่าเท่าเจ้าเลย!
ฉินเฟิงรู้ดีว่าบุคคลนี้ต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา แต่สายตาที่หลินเฟยโม่มองไปยังหลิ่วหงเหยียนเมื่อครู่นี้ยังเด่นชัดในความทรงจำของเขา ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไรก็ยิ่งหงุดหงิดและโมโหมากขึ้นเท่านั้น
ทุบตีบ่าวรับใช้ของข้า แล้วยังมามองผู้หญิงของข้าอีกอย่างนั้นรึ!
บัญชีแค้นนี้ ข้าจดไว้แล้ว!
ถ้าข้าไม่ทำให้เจ้าหมดท่า ข้าไม่ขอใช้แซ่ฉินต่อ!
เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเฟยโม่ที่หยิ่งยโส ฉินเฟิงก็ยกยิ้มร้ายกาจ
รอยยิ้มนี้ทำให้เฉินเฉิงสะดุ้งตัวโยน
เพราะทุกคนที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ ล้วนเป็นต้องถูกฉินเฟิงขูดรีด!
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินเฉิงก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้ง และกระทั่งแอบหัวเราะเยาะ คนที่ฉินเฟิงกำลังเผชิญหน้าด้วยคือหลินเฟยโม่เชียวนะ!
นายน้อยฉินสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อทั้งสองข้าง ก่อนจะหรี่ตาลง “จะให้ข้าออกไปรึ? ได้! จ่ายค่ายามาสิ อีกอย่าง ถ้าเจ้าอยากเยี่ยมชมอาณาเขตของข้า อย่างนั้นก็ต้องซื้อบัตรผ่านด้วย ข้าจะให้ราคาที่เป็นธรรมกับเจ้าเอง เอาล่ะ สักหนึ่งแสนตำลึงเงินเป็นอย่างไร!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเฉิงแทบจะหัวเราะออกมา ฉินเฟิงคนนี้ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตายอย่างไร! หยิ่งยโสในยามปกติก็แล้วไปเถิด แต่เขากลับไม่มองว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใดเนี่ยนะ!
หลี่ว์เชียนยังแบะริมฝีปาก ด่าทอฉินเฟิงในใจที่ไม่รู้ความ ไม่รู้จักแม้กระทั่งหลินเฟยโม่
หลินเฟยโม่ไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อราคาหนึ่งแสนตำลึงเงินเลย ดูเหมือนว่าเงินจำนวนเล็กน้อยนี้ช่างไร้ประโยชน์ต่อเขา
แต่หลังจากมองดูบ่าวรับใช้ที่ถูกตรึงอยู่กับพื้น และถูกทุบตีจนเลือดอาบใบหน้า ในที่สุดดวงตาที่สงบของหลินเฟยโม่ก็เผยร่องรอยของความโกรธขึ้นมา “ขนาดตัวข้าเองก็ยังจำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้าพูดกับข้าแบบนี้คือเมื่อใด เจ้าคือฉินเฟิงใช่ไหม? ยินดีด้วย เจ้าทำให้ข้าโกรธได้สำเร็จ!”
หลินเฟยโม่ไม่ลังเล เขาส่งสัญญาณด้วยหางตา จากนั้นสาวใช้คนสนิทก็เข้าใจทันที จึงหันหลังกลับ และวิ่งจากไป
เมื่อเห็นหลินเฟยโม่ส่งคนออกไป ดวงตาของฉินเฟิงก็สว่างขึ้น รีบยกนิ้วให้หลินเฟยโม่อย่างรวดเร็ว “รู้งานดีนี่ ไม่ได้นำเงินมามากพอก็เลยส่งคนกลับจวนไปเอา เอ็งนี่ไม่เลวเลยนะ!”
เอ็ง?
หลินเฟยโม่รวมถึงทุกคนต่างชะงักงัน ราวกับว่าไม่เคยคาดคิดว่าจะมีใครกล้าพูดกับพวกเขาเช่นนี้
เฉินเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ ทนไม่ไหวอีกต่อไป อดไม่ได้ที่จะพูดประชด “ฉินเฟิง ข้าจะพูดอะไรกับเจ้าให้เอาบุญ เจ้าดีแต่สร้างปัญหาไปวัน ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่า นายน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าคือผู้ใด?”
MANGA DISCUSSION