บทที่ 178 ผู้สูงศักดิ์เดินทางกลับเมืองหลวง
หนิงหู่และสวีโม่คิดว่าฉินเฟิงพบกับนักฆ่า ดังนั้นจึงถือดาบพุ่งเข้าไปหา แต่เมื่อเห็นว่าเป็นหลิ่วหงเหยียนก็ถอยกลับไป
ไหนว่าแบ่งปันความเป็นความตาย ความมั่งคั่งและเกียรติยศกันไงเล่า?! ไหนว่าจะยอมเสียสละเพื่อเพื่อน? พวกเจ้าเป็นคนแบบนี้เองรึ?!
หลิ่วหงเหยียนมีสีหน้าดุร้าย นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้าเป็นเพียงขุนนางระดับสูงคนอื่น ๆ มา เจ้าจะออกไปซ่อนตัวและผ่อนคลายก็ช่างเถอะ แต่นี่บิดาและบุตรสาวของตระกูลเซี่ยมา ‘เยี่ยมบ้าน’ ทว่ากลับไม่เห็นสามี นี่นับเป็นอันใดกัน? หากพูดกันออกไปจะไม่ทำให้คนหัวเราะเอารึ เจ้าจะให้บิดาและบุตรสาวตระกูลเซี่ยเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?!”
ฉินเฟิงรู้สึกคับข้องใจ นี่จะโทษเขาได้หรือ? ใครเคยถามความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับการสานสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินและเซี่ยบ้าง? การแต่งงานแบบคลุมถุงชนก็ต้องมีข้อจำกัดบ้างสิ!
ฮูหยินเอกคนสำคัญของตระกูลฉิน ด้วยตำแหน่งสูงขนาดนี้จะให้คนนอกมาเอาไปได้อย่างไร? อย่างน้อยก็ต้องเลือกจากเหล่าพี่หญิงถึงจะถูก!
หรือแม้ว่าจะต้องเลือกคนนอกเท่านั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่มีความสุภาพเรียบร้อยและอ่อนโยน หากปล่อยให้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ เด็กสาวหัวรุนแรงคนนั้นเข้าปกครองตระกูลฉิน แล้วฉินเฟิงจะยังมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา “พี่หญิงรอง! ท่านช่วยคุยกับท่านพ่อให้ยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ได้หรือไม่ ท่านอยากมองข้าถูกเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เหยียบย่ำหรือ? สตรีนางนั้นดุร้ายมาก ข้าเคยได้บทเรียนมาแล้ว”
ฉินเฟิงตัวสั่นเมื่อเขานึกถึงแส้หนังอันเล็กของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกลัวเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์มาก ความโกรธของหลิ่วหงเหยียนก็หายไปครึ่งหนึ่ง นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “เจ้าเด็กตัวเหม็น มิใช่ว่าเจ้าไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตามาตลอดหรือ? ไฉนเจ้าถึงกลัวจนกลายเป็นแบบนี้ เพราะแค่ได้ยินเรื่องการแต่งงานเล่า? ถ้าเจ้ากลัวเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์นัก ข้าก็จะให้เจ้าแต่งงานกับนางให้ได้! ถึงตอนนั้นมีคนควบคุมเจ้า ดูสิว่าเจ้าจะประพฤติตัวเหลวไหลอย่างไรได้อีก?”
นี่นางเป็นคนแบบไหนกัน?!
แม้ว่าฉินเฟิงจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเมืองหลวง แต่เขาก็เป็นคนที่ใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์ พอคิดว่าตนเองจะถูกลงโทษด้วยแส้หนังเส้นเล็ก ๆ ของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ในอนาคต ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง
ชายหนุ่มถอนหายใจ ทำได้แค่ปล่อยทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ เขาแอบเหลือบมองหลิ่วหงเหยียน และถามด้วยเสียงต่ำ “พี่หญิงรอง ท่านมาหาข้ามีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิ่วหงเหยียนก็ปล่อยมือ แล้วถอนหายใจเบา ๆ ไม่รู้ว่านางควรจะมีความสุขหรือจนใจดี
“เดิมทีวันนี้ยุ่งมากพอแล้ว พ่อค้าพวกนั้นยังเติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพร พากันตบเท้าเข้าแถวมารายงานสถานการณ์การค้าขาย ทำข้ายุ่งแทบตายแล้ว”
“พ่อค้าน้ำตาลรายใหญ่เริ่มจำหน่ายแล้ว ตามอัตราส่วนหุ้นที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาเริ่มทำกำไรได้ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้รับเงินทั้งหมดสองพันตำลึงเงิน นอกจากนี้ พ่อค้าน้ำตาลที่กระจัดกระจายในท้องถิ่น เมื่อทราบข่าวก็เริ่มมายังเมืองหลวงเพื่อซื้อลิขสิทธิ์การจัดจำหน่าย หากอาศัยการผลิตน้ำตาลในปัจจุบันของเราเพียงอย่างเดียว เกรงว่าจะไม่สามารถจัดหาสินค้าให้พ่อค้าน้ำตาลในท้องถิ่นได้ ดังนั้นข้าจึงบอกปัดไปทั้งหมด”
ฉินเฟิงพยักหน้า เป็นเรื่องจริงที่อุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน ด้วยผลผลิตและสินค้าในมือของฉินเฟิงขณะนี้ เขาสามารถให้ความสำคัญกับพ่อค้าน้ำตาลของเมืองหลวงได้เท่านั้น พ่อค้าในพื้นที่ท้องถิ่นทำได้เพียงแค่ต้องรอก่อน
นี่คือเหตุผลที่ฉินเฟิงกระตือรือร้นจะไปยังพื้นที่ผลิตอ้อยบริเวณชายแดน เพื่อที่เขาจะค้นหาช่องทางการจัดหาวัตถุดิบที่มั่นคง
ท้ายที่สุด ไม่ว่าอุตสาหกรรมน้ำตาลในเมืองหลวงจะพัฒนาไปแค่ไหน แต่ฐานลูกค้าก็ยังเล็กเกินไป ต้องควบคุมอุตสาหกรรมน้ำตาลของดินแดนทั่วทั้งต้าเหลียงให้ได้ จึงจะขึ้นเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด ตอนนี้แม้มีเนื้อชิ้นใหญ่วางอยู่ตรงหน้า เขาก็ทำได้เพียงแค่เฝ้าดูเท่านั้น
แม้ปากหลิ่วหงเหยียนจะบอกว่า ‘ยุ่ง เหนื่อย และรำคาญ’ แต่ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางก็เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจมากขึ้นเรื่อย ๆ นางเอ่ยต่ออย่างมีความสุข “นอกจากนี้ รายได้ของหอสุราธารหยกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ถูกคำนวณออกมาแล้ว มีรายได้ทั้งหมดหนึ่งแสนตำลึงเงิน”
หนึ่งแสน?!
ฉินเฟิงสะดุ้งโหยง มองไปที่หลิ่วหงเหยียนอย่างไม่เชื่อสายตา “ทำไมถึงมากมายขนาดนี้?”
มุมปากของหลิ่วหงเหยียนยกขึ้นเล็กน้อย ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นของนางไว้ได้ “ถ้าจะพูดให้ถูกคือรายได้จากเมื่อวานถึงวันนี้ต่างหาก เจ้าเปล่งประกายในพิธีชำระอาภรณ์ ขุนนางไม่น้อยในราชสำนักล้วนทำบัตรที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ บอกว่าสงวนไว้ใช้สำหรับงานเลี้ยงในอนาคต แต่ความจริงแล้วก็ต้องการใช้โอกาสนี้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลฉินนั่นแหละ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ฉินเฟิงเข้าใจ แต่เขาไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องเงินนี้มากนัก กลับกังวลเกี่ยวกับหอเซียนเมามายมากกว่า นายน้อยฉินจึงถามทันที “หอเซียนเมามายเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อกล่าวถึงหอเซียนเมามาย ดวงตาของหลิ่วหงเหยียนก็ฉายแววชื่นมื่น “แม้ว่าจะยังไม่ปิดตัวลง แต่ก็ประคับประครองได้อีกแค่สองสามวันเท่านั้น เรียกได้ว่าหน้าประตูกางตาข่ายจับนกได้ ลูกค้าประจำในอดีตหันมาหาหอสุราธารหยกของเราหมด เดิมทีข้ากังวลว่าหอเซียนเมามายจะสร้างปัญหา แต่ที่แปลกคือ หอเซียนเมามายนั้นสงบเสงี่ยมมาก”
ฉินเฟิงพยักหน้า เรื่องนี้เดาได้ไม่ยากนัก
พูดตรง ๆ จ้าวฉางฟู่คนนั้นเป็นเพียงคนงาน ไม่มีสิทธิ์มีเสียงตั้งแต่แรก
แม้หอเซียนเมามายจวนจะปิดตัวลงแล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้ พูดอย่างตรงไปตรงมา นี่คือการยอมจำนนขององค์ชายรอง
ยิ่งเมืองหลวงมีความสงบสุขมากเท่าใด องค์ชายรองก็จะยิ่งจับตาดูฉินเฟิงอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่าเขาจะเอาตัวออกห่างจากความวุ่นวายได้นานแค่ไหนระหว่างการต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์นี้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นายน้อยเจ้าสำราญก็มีความสุขได้จากการทำเงินเสมอ
ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว การพัฒนาค่ายฝึกซ้อมของฉินเฟิงอยู่ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องใช้เงิน
เนื่องจากบุตรหลานแห่งเมืองหลวงล้วนมีประสบการณ์กันแล้ว การโกงเงินพวกเขาจึงกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น
ลำพังหอสุราธารหยกและอุตสาหกรรมน้ำตาลเพียงสองเดียว อาจไม่สามารถรองรับค่าใช้จ่ายในอนาคตได้เพียงพอ
ในขณะที่การเตรียมการสำหรับการทำสงครามดำเนินไปอย่างเต็มที่ เขาก็ต้องพัฒนาธุรกิจอย่างจริงจังด้วย ไม่เช่นนั้นตัวเขาเองอาจจะล้มละลายก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น
ตอนที่ฉินเฟิงกำลังจะเตรียมการก็มีเสียงดังรบกวนความคิดของเขา
เมื่อมองไปตามเสียงก็เห็นคนและม้ากลุ่มหนึ่งเดินพลางพูดคุยและหัวเราะมาที่ค่ายฝึกซ้อม
พวกเขามีจำนวนถึงห้าสิบหรือหกสิบคน
นายน้อยทั้งสามที่มีท่าทางคล่องแคล่วมาถึงรั้วด้านหนึ่งของค่าย โดยบ่าวรับใช้คอยคุ้มครองจาก นายน้อยพวกนั้นชี้ไปที่ทหารช่างฝีมือใหม่ที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ข้างใน
นายน้อยที่สวมชุดผ้าไหมสีฟ้าทางด้านซ้าย เอามือซ้ายไพล่หลัง และถือพัดด้วยมือขวา เมื่อพบฉินเฟิงอยู่ท่ามกลางช่างฝีมือที่เหงื่อออกท่วมตัวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดูถูก เขาหันไปมองนายน้อยในชุดขาวที่อยู่ตรงกลาง และประจบประแจง “นายน้อยหลินท่านดูสิ ฉินเฟิงมาเบียดเสียดอยู่กับพวกคนชั้นต่ำ”
หลินเฟยโม่ระงับอารมณ์ความรู้สึก มองตามการชี้นำของเฉินเฉิง บุตรชายหัวหน้ากลุ่มการค้าเมืองหลวง และอดไม่ได้ที่จะแสดงความผิดหวังผ่านสายตา “ได้ยินมาว่าเป็นผู้มีความสามารถรอบด้านในเมืองหลวงที่เก่งทั้งงานช่าง กวีนิพนธ์ การเมืองการปกครอง และยุทธศาสตร์การทหาร เดิมทีข้าคิดว่าสง่างามดังต้นหยกเล่นลม แต่วันนี้พอเห็นตัวจริงแล้วทำให้ข้าค่อนข้างผิดหวังนัก”
เมื่อได้ยินความคิดเห็นนี้ เฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ไม่เสียเปล่าที่เขาใช้เงินจำนวนมากเชิญนายน้อยหลินที่เพิ่งกลับมาเมืองหลวงมาที่นี่
เฉินเฉิงแสร้งทำเป็นประสานมือโค้งคำนับ แล้วพูดว่า “เปรียบเทียบกับนายน้อยหลินแล้ว เจ้าฉินเฟิงนั่นก็แค่พวกซื้อชื่อเสียง”
หลี่ว์เชียนบุตรชายของขุนนางขั้นสี่แห่งศาลต้าหลี่ที่มากับพวกเขารีบพูดเสริม “พี่เฉินกล่าวได้ถูกต้อง ฉินเฟิงผู้นั้นชอบคบหากับคนธรรมดาสามัญมาโดยตลอด เขาจะเทียบกับนายน้อยหลินได้อย่างไร? หากเอามาเทียบ มิใช่ว่าจะเป็นการดูหมิ่นชื่อเสียงของนายน้อยหลินหรอกหรือ?”
เมื่อเผชิญกับคำเยินยอของทั้งสองคน หลินเฟยโม่ก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน
หลินเฟยโม่รู้สึกชินชากับคำประจำสอพลอเช่นนี้มานานแล้ว
สำหรับฉินเฟิงที่ตกเป็นจุดสนใจในช่วงนี้ เดิมทีหลินเฟยโม่ต้องการ ‘แลกเปลี่ยนความรู้’ กับเขา แต่เมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้กำลังมั่วสุมกับชนชั้นต่ำ และชนชั้นรากหญ้าในตลาด ด้อยค่าสถานะตนเอง หลินเฟยโม่ก็หมดความสนใจทันที
เขาจะผูกมิตรกับคนแบบนี้ได้อย่างไร?
หลินเฟยโม่กำลังจะหันหลังจากไป แต่แล้วเขาก็เห็นหลิ่วหงเหยียนจากหางตา จึงหยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว…
[1] เซ่าชิง (少卿) : ขุนนางขั้นสี่
MANGA DISCUSSION