บทที่ 17 ไม่เหลือให้ข้าเลยหรือ?
หลังจากวุ่นวายมาทั้งวัน ฉินเฟิงก็ได้พักผ่อนก่อนเวลา
และในเช้าตรู่วันถัดมา ก่อนรุ่งสาง เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของนายน้อยตระกูลฉินก็ดังกังวานไปทั่วทั้งจวนหลัง
ฉินเสี่ยวฝูคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นจึงรีบเข้าไปในบ้านพร้อมกับไม้ในมือและตะโกนว่า “เสี่ยวเซียงเซียง เจ้ากำลังหลอกกินเต้าหู้*[1] นายน้อยอีกแล้วหรือ! หน้าไม่อาจจริง ๆ”
คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ*[2]
เสี่ยวเซียงเซียงมีหรือจะไม่รู้ว่า ‘กินเต้าหู้’ นั่นหมายถึงอะไร นางหน้าแดงทันที “เจ้า… เจ้าดูถูกความบริสุทธิ์ของผู้อื่นได้อย่างไร!”
ฉินเฟิงเดินไปเดินมาในห้อง เขากระทืบเท้าและสาปแช่งเป็นครั้งคราวราวกับว่ากำลังโกรธมาก
ฉินเสี่ยวฝูอดไม่ได้ที่จะระแวง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนยั่วยุฉินเฟิงเสียตั้งแต่เช้าตรู่ เขาเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “นายน้อย ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ”
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง เขาโกรธมาก “ให้ตายเถอะ ข้าเกลียดการผิดนัดที่สุดในชีวิต ข้าเท่านั้นที่ผิดนัดคนอื่นได้ คนอื่นจะผิดนัดต่อข้าไม่ได้!”
เฉิงฟาคนทรยศนั่น ควรจะส่งเงินหนึ่งแสนตำลึงมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้!
นี่ก็ผ่านมาหนึ่งวันแล้ว กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลย เจ้าหมอนั่นไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด
“กล้าที่จะเบี้ยวนัดข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าฉินเฟิง ต้องการแค่เงิน ไม่ต้องการชีวิต? มีอย่างนี้ที่ไหน”
นายน้อยตระกูลฉินโกรธมาก เขาพับแขนเสื้อขึ้นเผยท่อนแขน กำลังจะไปหาเรื่องที่จวนเฉิง
โชคดีที่ฉินเสี่ยวฝูกับเสี่ยวเซียงเซียง รั้งผู้เป็นนายทั้งด้านซ้ายและขวาไว้
ฉินเสี่ยวฝูเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “นายน้อย ท่านลืมเรื่องเมื่อวานไปแล้วหรือ? มันอันตรายเกินไปที่จะออกไปตอนนี้”
เสี่ยวเซียงเซียงพยักหน้า กล่าวรัวว่า “พวกคนชั่วที่กล้าก่อคดีฆาตกรรมกลางถนน ใครจะไปรู้ว่าพวกมันจะทำอะไรได้อีก”
โกรธก็ส่วนโกรธ แต่ฉินเฟิงตระหนักดีถึงหลักการ ‘บุ่มบ่ามได้ ประมาทได้’ บุรุษอกสามศอกบุ่มบ่ามได้ ประมาทได้!
แต่ในตอนที่บุ่มบ่ามและประมาทต้องบ้าบิ่น
ทว่าเขาไม่สามารถกลืนความคับข้องใจนี้ไปได้
หลังจากคิดไปคิดมา ดวงตาของฉินเฟิงก็สว่างขึ้น ในเมื่อหลี่รุ่ยต้องการชีวิตจึงส่งมือสังหารมาโจมตี หากเขาออกจากจวนและพาบอดี้การ์ดติดตามไปด้วยก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?
เขาจำได้ว่า พี่หญิงสี่ของร่างนี้ มีทักษะป้องกันตัวเป็นเลิศ…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นทันที เขาผลักทั้งสองคนแล้ววิ่งออกไป พลางคร่ำครวญด้วยความเศร้าโศก “พี่หญิงสี่ น้องชายของท่านถูกรังแก ท่านต้องช่วยข้าตัดสิน”
ลานเล็ก ๆ ของจิ่งเชียนอิ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของฉินเฟิงโดยมีเรือนของหลิ่วหงเหยียนคั่นกลาง วิ่งมาไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว
รูปแบบเรือนของจิ่งเชียนอิ่งนั้นมีเอกลักษณ์ ไม่มีที่ใดในต้าเหลียงเหมือนที่นี่ เป็นสถาปัตยกรรมของที่ใดก็ไม่อาจทราบได้ จิ่งเชียนอิ่งเห็นมันระหว่างท่องยุทธภพ แค่มองก็รู้สึกชื่นชอบ
หลังจากกลับจวนจึงปรับเปลี่ยนเรือนอยู่อาศัยของตนจนเป็นเช่นนี้
ชายคากว้างขวาง มีโถงทางเดิน ด้านล่างประตูถูกรื้อออกเปลี่ยนเป็นบานเลื่อน ด้านหลังประตูเป็นโถงว่าง พื้นอาคารทั้งหมดทำด้วยไม้กระดาน
ฉินเฟิงจำได้อย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่สถาปัตยกรรมในสมัยต้าถังหรอกหรือ
ในเวลานี้จิ่งเชียนอิ่งกำลังนั่งอยู่ใต้ชายคา นางหลับตาพริ้ม พักผ่อนจิตใจ โดยมีกระบี่เหมันต์อยู่ข้างกายห่างแค่ปลายนิ้ว
ผมที่เดิมปล่อยสยายถูกมัดเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง
เสื้อสีขาวสว่าง กระโปรงสีแดงสด ดูเหมือนดอกกุหลาบกลับหัว รูปลักษณ์โดยรวมกล้าหาญแต่ก็ไม่ขาดความงามเช่นสตรี
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นของฉินเฟิง จิ่งเชียนอิ่งไม่ตอบสนองและไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
นายน้อยตระกูลฉินรีบวิ่งขึ้นไปบนโถงทางเดินอย่างเร่งรีบ เขาคุกเข่าลงข้าง ๆ จิ่งเชียนอิ่งและทำหน้าอดสูเสียยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ*[3] “พี่หญิงสี่ เฉิงฟาสารเลวนั่นเป็นหนี้ข้าแล้วไม่ยอมจ่ายคืน ท่านต้องช่วยข้าตัดสิน”
จิ่งเชียนอิ่งยังคงปิดเปลือกตา นางคว้ากระบี่เหมันต์ ใช้เป็นไม้กระบองแทงเข้าที่สีข้างของฉินเฟิง และกล่าวเบา ๆ “อยู่ห่าง ๆ จากข้า”
“พี่หญิงสี่ ข้าเป็นน้องชายของท่าน!” ชายหนุ่มรู้สึกน้อยใจมาก
“ถ้าไม่ใช่น้องชาย ข้าคงฆ่าเจ้าไปแปดร้อยครั้งแล้ว ก่อนจะตกน้ำ เจ้าก็ไม่ทำการทำงาน ทั้งวันเอาแต่ไปทำเรื่องชั่วช้า หลังจากตกน้ำ เจ้าก็บ้า ๆ บอ ๆ ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ ทำให้ตระกูลฉินอับอาย”
“รีบออกไป อย่ามายุ่งกับข้าที่นี่”
แม่เจ้า บุคลิกเย็นชาของพี่หญิงสี่ สมกับคำร่ำลือจริง ๆ!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในความทรงจำของร่างเดิม นางถึงเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด…
ฉินเฟิงกัดริมฝีปาก เขาไม่มีทางเลือก เพื่อเงินแล้ว เขาต้องหน้าด้านไร้ยางอายงัดทุกวิถีทางมาใช้!
“ไอ้สารเลวเฉิงฟา ดูผิวเผินเขาแค่เป็นหนี้ข้า แต่ที่จริงเขากำลังหยามหน้าท่าน รู้ทั้งรู้ว่าท่านมีวรยุทธ์เก่งกาจ วิชากระบี่เป็นหนึ่งในใต้หล้า ถึงกระนั้นเขาก็ยังกล้าต่อกรกับข้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เห็นท่านในสายตา”
“ข้าไม่ได้ไปทวงเงินแต่ไปเพื่อระบายความแค้นให้ท่าน!”
“ถึงพี่หญิงไม่ช่วยข้า ข้าก็ต้องไปเอง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง ก็ถือซะว่าสมน้ำหน้าข้าก็แล้วกัน ข้าได้เป็นน้องชายท่านในชีวิตนี้ คุ้มค่าแล้ว”
ฉินเฟิงพูดราวกับจะไปผดุงความยุติธรรม แต่จิ่งเชียนอิ่งกลับตะคอกเสียงเบาเสียก่อน
นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แววตาของนาง บอกได้ไม่ชัดว่าเป็นความรังเกียจหรือทำตัวไม่ถูกกันแน่ “ในแง่ของความไร้ยางอาย เฉิงฟายังห่างชั้นจากเจ้านัก เจ้ามันเจ้าเล่ห์เพทุบาย ดีที่เจ้าไม่ได้รับราชการ ไม่อย่างนั้นต้าเหลียงของข้าคงมีขุนนางโฉดชั่วเพิ่มมาอีกหนึ่งคนเป็นแน่”
“อะไรนะ พี่หญิงคิดว่าข้ามีศักยภาพที่จะเป็นขุนนางชั่วร้ายงั้นรึ ว้าว ขอบคุณสำหรับคำชม!”
ดวงตาของฉินเฟิงเปล่งประกายสดใส การเป็นขุนนางชั่วร้ายนับว่าเป็นเรื่องดี ขุนนางชั่วร้ายในใต้หล้ามีผู้ใดไม่มีชีวิตสุขสบายเล่า?
จิ่งเชียนอิ่งถอนหายใจ ไม่มีอะไรสามารถจัดการน้องชายไร้ความสามารถผู้นี้ได้แล้วจริง ๆ
ปกติแล้ว ไม่ว่าคำพูดของนางจะแหลมคมเพียงใด ถ้าพูดใส่ฉินเฟิงก็เหมือนกับกรีดลงบนฝ้ายหนานุ่ม ไร้เรี่ยวแรง
นางสงสัยมาตลอดว่าทำไมท่านพ่อที่เป็นคนซื่อตรงและเด็ดเดี่ยวมาชั่วชีวิต ถึงให้กำเนิดบุตรชายเช่นนี้ได้?
…เพื่อที่จะไล่เจ้าเด็กคนนี้ไปให้เร็วที่สุด จิ่งเชียนอิ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประนีประนอม “เรียกยามในจวนไปสองสามคนก็ใช้ได้แล้ว”
ยามในจวนจะไปพอกระไร? มิเช่นนั้นเขาคงไม่บากหน้ามาหานางถึงที่นี่หรอก
ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากเขาตกอยู่ในอันตราย พี่หญิงสี่ไม่ลังเลที่จะลงมือ อย่างไรก็ตาม นางคงจะไม่ช่วยเขาทวงหนี้อย่างแน่นอน
ฉินเฟิงหันศีรษะมองไปยังชูเฟิง สาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลและกำลังหัวเราะเยาะเขา
ราวหมาป่าเห็นเหยื่อ…
นางนี่แหละ!
“พี่หญิงสี่ ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้เถิด ให้ข้ายืมชูเฟิงสักหนึ่งวัน” ฉินเฟิงพูดอย่างระมัดระวัง
จิ่งเชียนอิ่งพยักหน้า “นอกเสียจากว่าข้าตายแล้ว”
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ถุย ๆๆ อับโชค พี่หญิงสี่ของข้ามีอายุยืนยาว พี่หญิงสี่ ข้าไม่ยืมเปล่า ๆ พูดให้ชัดเลยแล้วกัน ข้าเช่าหนึ่งวัน”
“โอ้?”
แม้ว่าจิ่งเชียนอิ่งจะไม่ได้สนใจเรื่องเงินมากนัก แต่นางก็รู้ว่าเด็กคนนี้ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ถ้าเขาได้เงินคืน ไม่แน่ว่าไม่นานก็คงใช้จนหมด
จิ่งเชียนอิ่งมองน้องชาย ตามหลักการแล้ว เอาเงินเขามาย่อมประหยัดเงินของตระกูล
“เจ้าจะจ่ายเท่าไหร่?”
เมื่อเห็นว่ามีความหวัง จู่ ๆ ฉินเฟิงก็กระฉับกระเฉงขึ้นมา เขาก้มศีรษะและครุ่นคิดเป็นเวลานาน ในที่สุดก็กัดฟันพูด “สิบตำลึงเงิน!”
“ไสหัวไป!”
จิ่งเชียนอิ่งหยิบกระบี่เหมันต์ขึ้นมา นางกำลังจะเตะก้นไอ้เด็กเจ้าปัญหานี่
ชายหนุ่มตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว และรีบยกมือขึ้นเพื่อขอความเมตตา ด้วยใบหน้าอมทุกข์ “เช่นนั้น ท่านคิดว่าเท่าไหร่?”
จิ่งเชียนอิ่งถามต่อโดยไม่ตอบ “เฉิงฟาเป็นหนี้เจ้าเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนที่เกือบจะโดนเตะก็นิ่งงัน จิ่งเชียนอิ่งหมายความว่าอะไร เห็นได้ชัดว่าประสงค์ร้าย!
พี่หญิงสี่ ท่านไม่สนใจโลกภายนอกไม่ใช่หรือ? ทำไมจู่ ๆ ถึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเช่นนี้!
ฉินเฟิงถอนหายใจและพูดอย่างไม่เต็มใจนัก “หนึ่งแสนตำลึงเงิน”
คุณหนูสี่ตระกูลฉินวางกระบี่และหลับตาลงช้า ๆ “ชูเฟิง ออกไปกับนายน้อย นำเงินหนึ่งแสนตำลึงของข้ากลับมาด้วย”
“อะไรนะ?!”
ฉินเฟิงผงะพลางคร่ำครวญเสียงดัง “พี่หญิงสี่ ท่านทำเกินไปแล้ว เงินตั้งหนึ่งแสนตำลึงเงินจะไม่เหลือให้ข้าเลยหรือ”
[1] กินเต้าหู้ : ลวนลาม
[2] คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ : อยู่กับคนแบบไหนก็กลายเป็นคนแบบนั้น
[3] รันทดอดสูเสียยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ : มีที่มาจากเรื่อง “แค้นโต้วเอ๋อ” เล่าถึงนางเอกที่ถูกใส่ความว่าฆ่าคนตายและถูกศาลตัดสินประหารชีวิต ก่อนตายนางอธิฐานขอให้ฟ้าดินเป็นพยานว่า หากนางบริสุทธิ์ขอให้เลือดของนางพุ่งขึ้นฟ้า หิมะตกในฤดูร้อน และขอให้เมืองนั้นแห้งแล้งไปสามปี แล้วทุกสิ่งก็เป็นจริงตามที่นางลั่นวาจาไว้
MANGA DISCUSSION