บทที่ 165 กลยุทธ์การทหาร
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงมีทางท่าราวเบิกเมฆเห็นตะวัน*[1] กระโดดขึ้นลงด้วยความตื่นเต้น ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ลุกขึ้นยืน พลางตรัสถามด้วยเสียงต่ำ “ฉินเฟิง เจ้ามีกลยุทธ์รับมือแล้วหรือ!”
ในพริบตานั้น ความสนใจของทุกคนก็รวมอยู่บนร่างของนายน้อยตระกูลฉิน
หากฉินเฟิงสามารถแก้ปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางทหารของทัพต้าเหลียงได้ นามของเขาจะต้องถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน!
ใบหน้าของฉินเฟิงฉายชัดไปด้วยความสุข และความตื่นเต้น “ต้าเหลียงขาดแคลนม้าศึกที่ยอดเยี่ยม หากสามารถผูกขาดอุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์ม้าได้ก็จะทำกำไรได้มหาศาล!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ พระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็มืดลงทันที พระองค์ทรงตรัสเสียงต่ำ “ทหาร! ลากชายคนนี้ออกไปโบยสามสิบไม้! ไม่สิ ห้าสิบไม้!”
ฉินเทียนหู่ตกใจ เขารีบพุ่งตัวออกมา และคุกเข่าร้องขอความเมตตาอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ ฉินเฟิงเป็นปัญญาชนร่างกายปวกเปียก เขาจะสามารถทนรับการทรมานเช่นนี้ได้อย่างไร อย่าว่าแต่สามสิบไม้ ต่อให้เป็นยี่สิบไม้ เขาก็อาจจะตายได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำร้องขอความเมตตา ฉินเทียนหู่ก็หันไปมองฉินเฟิง และตวาดด้วยความโกรธ “เจ้าเด็กตัวเหม็น เจ้ากล้าล้อเลียนฝ่าบาทเพียงนี้ ขวัญกล้าเทียมฟ้านักนะเจ้า!”
พระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงดูขุ่นเคือง หายากนักที่จะทรงพิโรธเช่นนี้ “ปัญญาชนหรือ เจิ้นคิดว่าเขาเป็นแค่พ่อค้าหน้าเลือด! เจิ้นกังวลต่อความยากลำบากทางทหารของต้าเหลียง แต่บุรุษผู้นี้เพียงต้องการหาเงิน ไร้เหตุผลนัก! ตระกูลฉินของเจ้าชอบหาเงินนักใช่หรือไม่? เจิ้นจะได้ออกพระราชโองการ ห้ามไม่ให้ตระกูลฉินทำการค้าขายเสียเลย!”
ห้ามทำการค้าขาย?!
แบบนี้ไม่สู้ฆ่าฉินเฟิงให้ตายไปเลยเถอะ!
จู่ ๆ ฉินเฟิงก็คร่ำครวญเสียงดัง “อยุติธรรม! ไม่ช้าก็เร็วต้าเหลียงจะต้องฝึกทหารม้า กระหม่อมเพียงแค่อยากทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ เพื่อแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท หากไม่มีทหารม้า ต้าเหลียงก็เป็นแค่เสือเขี้ยวหัก แม้ว่าคนป่าเถื่อนต่างแดนดูเหมือนจะยอมสวามิภักดิ์ แต่ก็ไม่ได้ยอมอย่างศิโรราบ”
“ทหารราบสามพันนายสู้กับทหารม้าห้าพันนายไม่ใช่หรือ? กระหม่อมขอถามก่อนว่า ขอเพียงเป็นยุทโธปกรณ์แบบเบา ไม่สวมเกราะหนัก ล้วนถือเป็นทหารราบเบาใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะตอบ แม่ทัพทหารม้าก็ชิงถามตัดหน้า “หรือว่าเจ้าคิดจะเปลี่ยนทหารราบเบาเป็นพลธนูทหารราบที่เจ้าใช้ในด่านทลายขบวนทัพก่อนหน้านี้อย่างนั้นหรือ?”
ฉินเฟิงส่ายหน้าไปมา และสรุปประเด็น “อย่าว่าแต่พลธนูทหารราบ แม้ว่าทหารสามพันนายนี้จะกล้าหาญพอ ๆ กับท่านโหวน้อย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้าทหารม้าของข้าศึกห้าพันนาย ก็นับว่าไม่มีกำลังรบแม้แต่น้อย”
“ทหารดีอยู่ที่ความเร็ว การสู้รบดุเดือดในสนามย่อมไร้ผลตราบใดที่ความเร็วไม่เท่ากับทหารม้า ในการประลองก่อนหน้านี้ เหตุผลที่พลธนูทหารราบสามารถต่อสู้กับทหารม้าได้ ก็เพราะว่าความเร็วของทหารม้าไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่”
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงตื่นตัวขึ้นมาก แม่ทัพทหารม้าก็หยุดพูด และรอฟังคำตอบของชายหนุ่ม
เพื่อรักษาตัวตนของเขาในฐานะ ‘พ่อค้า’ ฉินเฟิงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เผยท่าทางจริงจังที่ยากจะได้เห็น “เมื่อเผชิญกับกองกำลังที่มีอำนาจ กลอุบายใด ๆ ล้วนอ่อนแอไร้กำลัง”
“ขบวนทัพเกราะหนัก ดาบม่อเตา ง้าวยาว หรือเคียว และยุทธวิธีอื่น ๆ จะยื้อเวลาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับทหารม้าที่มีประสบการณ์ ก็จะยังคงมีเพียงจุดจบเดียวคือถูกสังหาร”
“ปัญหานี้ไร้ทางแก้! ไม่อย่างนั้น ถ้าทหารราบสามารถเอาชนะทหารม้าได้ ไฉนต้าเหลียงของเราจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะไม่มีทหารม้าด้วย?”
ในสมัยโบราณ ทหารม้าเทียบเท่ากับรถถัง โดยเฉพาะกองทหารม้าขนาดใหญ่ซึ่งถือเป็นหายนะสำหรับกำลังพลทุกประเภท
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเดิมก็ไม่มีความหวังมากนัก และเมื่อได้ยินข้อสรุปของฉินเฟิง พระองค์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แล้วค่อย ๆ ประทับลงบนพระที่นั่ง
แต่ในตอนที่บรรยากาศกำลังย่ำแย่ลงนี้
ฉินเฟิงยังไม่ได้หยุดพูด เขาเอ่ยต่อยาวเหยียด “มีเพียงสี่รูปแบบเท่านั้นที่สามารถเอาชนะทหารม้าได้
“รูปแบบแรกคือ การโจมตีอย่างยากลำบาก รูปแบบที่สอง พึ่งพาชัยภูมิ รูปแบบที่สาม รวมพลออกรบ รูปแบบที่สี่คือ การใช้ทหารม้าเอาชนะทหารม้า
“แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับต้าเหลียงในยามนี้ หากต้องการแก้ไขปัญหาที่ใกล้เข้ามา มีเพียงใช้จุดแข็งหลีกเลี่ยงจุดอ่อนเท่านั้น”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดฉินเฟิงก็ให้มาตรการตอบโต้ที่สร้างสรรค์ พระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ดูดีขึ้น พระองค์ทรงตรัสถามทันที “เลี่ยงจุดอ่อน เจิ้นก็รู้ว่า คือพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับทหารม้า แล้วจุดแข็งเล่าคืออะไร?”
ฉินเฟิงรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเริ่มจริงจังก็ไม่กล้าที่จะชักช้า จึงโพล่งออกไปว่า “การรบแบบกองโจรพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “พูดต่อไป!”
ฉินเฟิงสูดหายใจเข้าลึก มีสีหน้าสงบนิ่งอย่างยากที่จะได้เห็น “ยามนี้กองกำลังต้าเหลียง แม้ว่าจะสามารถพึ่งพาเมืองชายแดนเพื่อแยกจากเป่ยตี๋ได้ แต่ก็ยังมีพื้นที่รกร้างว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุดนอกเมือง ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการใช้ทหารม้าบุกเข้ามาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เราจึงควรดำเนินกลยุทธ์อย่างการเสริมสร้างแนวป้องกันเมือง ปกป้องเมืองสำคัญรักษาเสถียรภาพของแนวชายแดนต้าเหลียงให้แข็งแกร่งขึ้นมา เมื่อแนวหน้ามั่นคงแล้ว จึงจะสามารถส่งกองกำลังไร้สังกัดออกไปจู่โจมแบบกองโจรได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘กองกำลังไร้สังกัด’ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ไม่พอใจทันที “บุรุษต้าเหลียงของเจิ้น จะถูกเรียกว่ากองกำลังไร้สังกัดได้อย่างไร”
ฉินเฟิงอธิบายอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท กองกำลังไร้สังกัดในที่นี้ หาใช่คำที่เสื่อมเสียพ่ะย่ะค่ะ
“ความองอาจของทหารราบแห่งต้าเหลียงเราเป็นที่รู้จักทั่วใต้หล้า ทหารราบเองเป็นจุดอ่อนของต้าเหลียงแต่ก็เป็นข้อได้เปรียบด้วย วิธีการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้เป็นกลยุทธ์ที่จะเพิ่มจุดแข็งของเรา สงครามครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วก็คือสงครามแห่งการบั่นทอนกำลัง มาดูกันว่าใครจะบั่นทอนกำลังได้มากกว่ากัน”
“กลยุทธ์ของเป่ยตี๋นั้นเรียบง่ายชัดเจน มีข้อได้เปรียบในสนามรบแนวหน้า ตราบใดที่กองทัพของเราออกจากเมืองเพื่อต่อสู้ในสนาม ย่อมมีแต่จะแพ้มากชนะน้อย เนื่องจากกองทัพเราไม่กล้าออกจากเมืองไปรับศึก เป่ยตี๋จึงอาศัยความเร็วของทหารม้าก่อกวนชายแดน เผา ฆ่า ปล้นสะดม กระทำเรื่องเลวทรามต่ำช้า แม้ว่ากองทัพเราจะรักษาแนวหน้าไว้ได้ แต่ก็ไม่สามารถดูแลการดำรงชีวิตของผู้คนที่อยู่โดยรอบได้ หากเวลาล่วงเลยนานเข้า ราษฎรย่อมหมดกำลัง แคว้นย่อมหมดอำนาจ และหากอำนาจแคว้นหมดสิ้น จะมีพลังในการต่อสู้ได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยังคงนิ่งเงียบ ท้ายที่สุดคำพูดของฉินเฟิงก็สะท้อนถึงสถานการณ์ปัจจุบันของต้าเหลียงได้เป็นอย่างดี
สู้แบบซึ่ง ๆ หน้า ยากที่จะได้เปรียบ ในเมื่อไม่กล้าออกจากเมือง เป่ยตี๋จึงเข้ามาคุกคามถึงชายแดนต้าเหนียงอย่างต่อเนื่อง บั่นทอนพลังของแว่นแคว้น
ฉินเฟิงพักหยุดหายใจ แล้วพูดต่อ “การต่อสู้ที่ดุเดือดกับเป่ยตี๋ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีแน่ แต่เป็นกลยุทธ์ชั้นเลว กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับต้าเหลียงของเราคือ การตอบโต้เชิงรับ! แบ่งกองทัพออกเป็นสามระดับ ระดับแรกให้เฝ้าเมืองคอยระวังแนวหน้า ระดับที่สอง ประกอบด้วยกองทหารกลุ่มเล็กกระจายตัวไปประจำการในหมู่บ้านและเมืองตามชายแดน คอยช่วยเหลือหมู่บ้านที่ไร้กำลังต่อต้านข้าศึก”
“ในเมื่อเป่ยตี๋ส่งทหารม้ามาก่อกวน ย่อมต้องเป็นทหารม้ากลุ่มเล็กกระจายตัวเพื่อก่อกวน ไม่มีทางที่จะส่งทหารม้ากลุ่มใหญ่รุกล้ำลึกเข้ามาในดินแดนต้าเหลียงได้ ดังนั้น กองกำลังกลุ่มเล็กจึงสามารถต้านทานการโจมตีของทหารม้าไหว”
“ระดับที่สามสำคัญที่สุด เป็นทั้งกลยุทธ์ และยังเป็นการประยุกต์ใช้ทางยุทธวิธี!
“ฝึกทหารชั้นยอดจำนวนมาก แบ่งสามถึงห้าคนเป็นหนึ่งหมู่ ยี่สิบถึงสามสิบเป็นหนึ่งหมวด หนึ่งร้อยถึงสองร้อยเป็นหนึ่งกอง อีกทั้งยังต้องติดยุทโธปกรณ์แบบเบาและยังต้องติดอาวุธยันซี่ฟัน แล้วแบ่งกลุ่มโจมตี ออกปฏิบัติการคุกคาม ปล้นสะดม ลอบโจมตี ค่อย ๆ ใช้คนจำนวนน้อยบั่นทอนความแข็งแกร่งและขวัญกำลังใจทหารเป่ยตี๋”
“เป่ยตี๋อาศัยสงครามหล่อเลี้ยงสงคราม ตราบใดที่เราสามารถปกป้องความเป็นอยู่ของผู้คนบริเวณชายแดน หยุดเป่ยตี๋จากการปล้นพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ ประกอบกับการใช้สงครามกองโจรค่อย ๆ บั่นทอนกำลังอีกฝ่ายไปทีละนิดทีละน้อย เป่ยตี๋อาศัยแค่เสบียงภายใน ย่อมยื้อเอาไว้ได้ไม่นาน”
หลังจากได้ยินคำพูดอันยาวเหยียดของฉินเฟิง อย่าว่าแต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง แม้แต่แม่ทัพที่อยู่ตรงนั้นก็ตกตะลึกอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน
ตามความเข้าใจโดยธรรมชาติของพวกเขา หากต้องการเอาชนะศัตรูก็มีแต่การรวมพลออกกรำศึก เพื่อตัดสินแพ้ชนะเท่านั้น
การรบแบบกองโจรเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย
พระเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกลับมาเป็นประกายอีกครั้ง แม้ว่าจะยังสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับการสู้และกลยุทธ์ของฉินเฟิง แต่ก็สามารถเข้าใจแนวคิดโดยรวมได้
[1] เบิกเมฆเห็นตะวัน หมายถึง หลังจากความยากลำบากผ่านพ้นก็กลับสู่ความปกติสุข
MANGA DISCUSSION