บทที่ 163 ฉลาดแต่แกล้งโง่
เมื่อเห็นว่าหนิงหู่ทุ่มหมดหน้าตัก ฉินเฟิงก็แสร้งทำเป็นรู้สึกผิด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าจำคำถามได้หรือไม่ เมืองโดดเดี่ยวไร้ทัพเสริม ไม่มีการกำหนดว่าจะต้องรักษาไว้นานแค่ไหน คาดว่าเมืองนี้คงมีคุณค่าทางยุทธศาสตร์น้อย ถูกละทิ้งไปนานแล้ว เพื่อบุกโจมตีทหารรักษาการณ์แปดพันนาย เจ้ายินดีที่จะเสียพลทหารนับหมื่นงั้นหรือ? นี่เป็นข้อตกลงที่ดี เช่นนั้น เชิญเจ้าโจมตีได้เลย”
ใบหน้าของหนิงหู่เดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เขาชื่นชมกลยุทธ์ทางทหารของฉินเฟิง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ เขาโยนกลยุทธ์ที่เคยร่ำเรียนมาก่อนหน้านี้ทิ้งไปทั้งหมด โพล่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะใช้กลยุทธ์เด็ดก่อนหน้านี้ของเจ้า สงครามเชื้อโรค!”
ดวงตาของฉินเฟิงเป็นประกาย หยัดกายลุกขึ้นยืนชี้ไปที่หนิงหู่ พลางพูดอย่างตื่นเต้น “นี่เจ้าพูดเองนะ! ข้ากำลังกังวลเกี่ยวกับการขาดปุ๋ยของที่นาในเมืองอยู่เลย ศพเหล่านี้เป็นปุ๋ยชั้นดี ช่วยให้ข้ายื้อเวลาได้อีกสักระยะหนึ่งแล้ว”
หนิงหู่รู้สึกแน่นหน้าอก ตะโกนอย่างไม่ย่อท้อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะทำให้แหล่งน้ำสกปรก ดูวิว่าเจ้าจะทำอย่างไรได้อีก”
พอได้ยินว่าหนิงหู่จะไม่โยนศพเข้ามาแล้ว เมื่อไม่มีปุ๋ย ฉินเฟิงก็ดูสิ้นหวัง เอ่ยพูดเสียงเบา “เจ้าจะทำให้แหล่งน้ำสกปรกอย่างไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ ข้าสามารถใช้ของทั่วไปเช่นถ่าน ทราย และสำลีกรองสิ่งสกปรกออกจากน้ำได้ หากยังไม่ได้ผล แย่ที่สุดก็แค่ขุดบ่อบาดาลลึกเกินสิบจั้ง ในเมืองมีทหารมากมายคอยผลัดเวรกัน มีอะไรยากหรือ?”
“โอ้ จริงสิ เกรงว่าเจ้าคงไม่รู้ว่า ถึงแม้ชั้นน้ำใต้ดินจะเชื่อมต่อถึงกัน แต่ก็เป็นอิสระจากกัน เจ้าสามารถทิ้งน้ำผิวดินไป แล้วใช้น้ำบาดาลได้”
อย่าว่าแต่หนิงหู่ไม่รู้เลย ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็มีสีหน้างุนงง
ในยุคสมัยนี้ บ่อน้ำส่วนใหญ่ลึกแค่สามถึงสี่จั้ง หรืออย่างมากลึกหกถึงเจ็ดจั้งก็มีน้ำออกมาได้แล้ว
บ่อน้ำลึกกว่าสิบจั้งหรือ? ไม่มีใครเคยขุดมาก่อนหรอก ก็มันหาได้จำเป็นต้องขุดลึกเพียงนั้น ยิ่งกว่านั้นที่ทุกคนรู้คือ น้ำบาดาลล้วนเป็นน้ำจากแหล่งเดียว คำโต้แย้งของฉินเฟิงที่ว่าชั้นน้ำใต้ดิน ‘เป็นอิสระจากกัน’ พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
เมื่อเห็นความสงสัยของทุกคน ฉินเฟิงจึงแบมือออกสองข้าง “ถ้าใครไม่เชื่อจะเดิมพันกับข้าก็ได้ เรามาเริ่มขุดบ่อน้ำกัน ดูซิว่าน้ำใต้ดินถูกแบ่งออกเป็นชั้น ๆ และเป็นอิสระจากกันจริงหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้แต่ขุนนางใหญ่ก็ยังก้มหน้าลง
พึงรู้ไว้ว่า เมื่อใดที่พูดถึงการเดิมพัน ฉินเฟิงไม่เคยแพ้!
ตราบใดที่ชายผู้นี้เอ่ยปากขอเดิมพัน ก็ถือว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
บุคคลที่ตื่นเต้นที่สุดในที่นี้คือฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอย่างไม่ต้องสงสัย ความคิดเห็นของฉินเฟิงนำมาซึ่งแนวคิดที่น่าตกตะลึง และใช้งานได้จริง หากนำมาใช้ กองทัพต้าเหลียงจะต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน!
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทอดพระเนตรไปทางหลี่จ้านที่เหงื่อซึมหน้าผาก เขากำลังตวัดพู่กันเขียนอย่างเร่งรีบ “เจ้าจดทุกสิ่งที่ฉินเฟิงพูดทันหรือไม่”
หลี่จ้านปาดเหงื่อ แต่ไม่กล้าหยุดเขียน “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมเขียนไว้ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงพอพระทัยนัก ตรัสย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หลังจากพิธีชำระอาภรณ์แล้ว ยุทธศาสตร์ทางทหารเหล่านี้จะถูกส่งไปยังกรมกลาโหม ให้กรมกลาโหมบันทึกไว้ในหนังสือทางการทหาร และส่งมอบให้กับกองทหารที่ประจำการตามเมืองต่าง ๆ เพื่อศึกษา ห้ามให้รั่วไหลแก่คนนอกเด็ดขาด อย่างน้อยกลยุทธ์ทางการทหารนี้จะทำให้ต้าเหลียงได้เปรียบในสงคราม!”
แม้ว่าแม่ทัพเวยอู่และแม่ทัพทหารม้าจะไม่ชอบหน้าฉินเฟิง แต่พวกเขาก็ชื่นชอบกลยุทธ์ทางทหารของนายน้อยฉินเป็นอย่างมาก
แม่ทัพเวยอู่มีใบหน้าที่เย็นชา แต่น้ำเสียงของเขาออกจะตื่นเต้นเล็กน้อย “แม้ว่าชายผู้นี้จะหยิ่งยโส แต่เขาก็เปี่ยมไปด้วยความรู้ ต้าเหลียงมีคนผู้นี้อยู่ก็เหมือนดั่งพยัคฆ์ติดปีก”
แม่ทัพทหารม้าถอนหายใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “แม้ว่าเราจะมีมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกับใต้เท้าฉิน แต่เพื่อประโยชน์ของต้าเหลียง เราควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ความบาดหมางของตระกูลฉินและพวกกรมคลังก็ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันไป เราสองคนแค่รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่ออกปากพูด ไม่ออกแรงจะดีกว่า”
คำพูดประโยคนี้ตรงใจแม่ทัพเวยอู่พอดี เขาจึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
อารมณ์ของหนิงหู่เปลี่ยนจากโกรธแค้นเป็นหมดหนทาง ท้ายที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ก้มหัวคำนับฉินเฟิง พลางกล่าว “นายน้อยฉินปราดเปรื่อง หนิงหู่รู้สึกละอายนัก”
ภายใต้การจับจ้องของทุกคน ฉินเฟิงหยัดกายลุกขึ้น เดินเข้าไป แล้วโอบรอบคอของหนิงหู่ พลางหัวเราะร่า “เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยความเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ จากนี้ไปเจ้ากับสวีโม่ต้องรักกันไว้ สร้างความดีความชอบให้แก่ต้าเหลียงร่วมกัน”
ฉินเฟิงพยายามชักชวนหนิงหู่กับสวีโม่อย่างจงใจ ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง
ประการแรก เพราะฮ่องเต้ทรงมีหน่วยสอดแนมที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าอยากจะซ่อนเร้นปิดบังก็คงปิดไม่มิด ในทางกลับกัน จะนำมาซึ่งความหวาดระแวง และความรังเกียจของฮ่องเต้เสียเปล่า ๆ
ประการที่สอง ฉินเฟิงเป็น ‘คนบ้า’ เขาเลยเลือกที่จะชูธงคนบ้าไว้สูงอย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
ข้อพิจารณาประการที่สามเป็นจุดสำคัญที่สุด ฉินเฟิงต้องการให้ทุกคนรู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์ถาวรเท่านั้น
เดิมทีฉินเฟิงกับหนิงหู่ทะเลาะกันอย่างดุเดือด แต่ก็ยังคลายความบาดหมางลงได้ จนกลายเป็นเพื่อนพี่น้องที่ดีได้มิใช่หรือ?
ถือเป็นการเตือนใจขุนนางฝ่ายกรมคลังที่ทำตัวเป็นหญ้าบนยอดกำแพง*[1] ให้ละทิ้งด้านมืดกลับสู่ด้านสว่าง
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแค่นเสียงในใจ คร้านเกินกว่าจะสนใจลูกไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ของฉินเฟิง จึงตรัสให้ฉินเทียนหู่ประกาศผลทันที
ฉินเทียนหู่มีสีหน้าภาคภูมิใจ แต่ในฐานะขุนนางสำคัญของราชสำนัก เขาจึงระมัดระวังคำพูด และการกระทำอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าหากคลายความระมัดระวังจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตระกูล
แต่การมีบุตรชายอย่างฉินเฟิง ต่อให้ฉินเทียนหู่อยากจะถ่อมตนก็คงเก็บอาการไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาอิจฉาจากทุกทิศทุกทาง ฉินเทียนหู่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ
น้ำเสียงที่ประกาศผลจึงเปลี่ยนเป็นฮึกเหิม “ฉินเฟิง… อะแฮ่ม สวีโม่ชนะ!”
ผลลัพธ์นี้ สามารถพูดได้ว่า เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดได้ แม้แต่หลี่ซวี่ก็ยังยอมแพ้ เพราะจับผิดไม่ได้จริง ๆ
มีเพียงสวีโม่เท่านั้นที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
ตั้งแต่เริ่มด่านกลยุทธ์ เขายังไม่ทันได้เขียนสักตัวอักษร หรือพูดอะไรสักคำ แล้ว… ก็ได้รับชัยชนะมาแบบสับสนงุนงง?
ก่อนที่สวีโม่จะตอบสนอง ฉินเฟิงก็ได้ลากตัวหนิงหู่กลับมาด้วยแล้ว นอกจากนี้เขายังโอบไหล่ของชายหนุ่มพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “รอพิธีชำระอาภรณ์สิ้นสุดลง เราไปดื่มกันที่หอสุราธารหยกสักหน่อยดีหรือไม่ ลงบัญชีของข้าเอง”
ดวงตาของหนิงหู่เป็นประกาย “แบบนั้นก็ดี ไปเลย!”
ในตอนแรกสวีโม่ยังคงสับสน แต่เมื่อเขาพบว่า แม้แต่หนิงหู่ที่เป็นคนขวานผ่าซากก็ยังเชื่อมั่นในฉินเฟิงอย่างจริงใจ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที อย่างมากที่สุด ก็ค่อยขอคำชี้แนะยุทธศาสตร์ทางทหารจากฉินเฟิงทีหลัง สวีโม่จึงตอบตกลงอย่างยินดีเช่นกัน
หลี่ซวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยิ่งฉินเฟิงได้ใจมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความแค้นสุมอยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น
เขากราบทูลต่อฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโดยพลัน “ฝ่าบาท ฉินเฟิงก่อตั้งพรรคพวกต่อหน้าธารกำนัล ส่งผลร้ายแรง ไม่อาจปล่อยไปได้นะพ่ะย่ะค่ะ หากผู้อื่นปฏิบัติตาม ราชสำนักจะต้องไร้ความสงบสุขเป็นแน่”
พิธีชำระอาภรณ์นี้ประสบผลสำเร็จมาก ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำลังเบิกบานพระทัย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ซวี่ พระพักตร์ก็พลันเคร่งขรึม และตรัสขึ้นอย่างเย็นชา “ใต้เท้าหลี่ อย่าได้เข้มงวดกับผู้อื่น แต่ผ่อนปรนกับตนเอง ฉินเฟิงแบ่งพรรคพวก แต่เขาเป็นเพียงสามัญชนแล้วจะเป็นอะไรไป ตราบใดที่ไม่ได้อยู่ในหมู่ขุนนาง ก่อตั้งพรรคพวกล้วนไร้ปัญหา”
ทันทีที่สิ้นประโยค ใบหน้าของหลี่ซวี่ก็ซีดลงทันที
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำลังชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว*[2] บอกเป็นนัยให้หลี่ซวี่รามือ ฮ่องเต้ทรงทราบดีถึงเรื่องที่เขาได้กระทำ แต่เพราะเห็นแก่ที่เขาเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก และกังวลถึงความคิดของผู้อื่นจึงได้ยอมปล่อยไป หากตนยังดึงดันต่อ เกรงว่าจะเป็นการรนหาทางตายให้ตัวเองแล้ว
หลี่ซวี่นั่งลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าพูดอะไรอีก ขุนนางกรมคลังที่อยู่รอบ ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาขององค์ชายรอง เขาอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นชาในใจ หันกลับไปมองทางฉินเฟิง ดวงตาแน่วแน่ขึ้นหลายส่วน…
[1] หญ้าบนยอดกำแพง หมายถึง ผู้ที่เปลี่ยนความคิดไปตามสถานการณ์ ไม่มีจุดยืนของตัวเอง
[2] ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว หมายถึง แกล้งพูดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้กระทบกระเทือนฝ่ายหนึ่ง เพราะไม่สามารถพูดหรือทำได้โดยตรง คล้ายกับสำนวนไทย ตีวัวกระทบคราด
MANGA DISCUSSION