บทที่ 162 กลยุทธ์ไร้ยางอาย
ความกังวลในพระเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงหายไป อดไม่ได้ที่จะตรัสชื่นชมเสียงดัง “เพื่อความสุขสงบ ต้องเดินหน้าต่อแม้มีอุปสรรค พูดได้ดี คำพูดของฉินเฟิงไม่ผิด ในสนามรบวัดกันที่ผลลัพธ์เท่านั้นไม่ใช่ขั้นตอน ชนะได้ถึงจะเป็นฝ่ายถูก แม้ว่าต้าเหลียงของเราจะเห็นคุณค่าของมนุษย์ ดูถูกการใช้กลวิธีดังกล่าว แต่คนป่าเถื่อนนอกกำแพงเมืองกลับไม่คิดเช่นนั้น”
ขุนนางบุ๋นบู๊ทุกคนในที่เกิดเหตุรู้ดีว่า คำพูดที่ทำให้คนหวาดกลัวของฉินเฟิง ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ทางทหารที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
เพียงจุดนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความสามารถทางทหารของบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมแล้ว
บรรดาขุนนางที่มีข้อสงสัยต่างก็หยุดเคลื่อนไหว กระทั่งแม่ทัพทหารม้ากับแม่ทัพเวยอู่ ทั้งสองก็ยังยอมนั่งลงอย่างไม่พอใจนัก แม้ว่าพวกเขาจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่พวกเขายอมรับกลยุทธ์ของฉินเฟิงด้วยใจที่เปิดกว้าง และแอบจดจำวิธีนี้เอาไว้ในใจ เพื่อทดลองปฏิบัติในภายภาคหน้า
ฉินเทียนหู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หมายมั่นว่ากลับจวนไปจะทรมานเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้อย่างรุนแรง ต้องคาดคั้นให้ได้ว่าไปเอากลยุทธ์เหล่านี้มาจากไหน!
ภายใต้คำแนะนำของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง ฉินเทียนหู่ประกาศผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว “กลยุทธ์ของหลินหรงสามารถใช้ได้ แต่หาใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุด”
หลินหรงไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งลง
ในเวลานี้ เหลือเพียงสวี่โม่และหนิงหู่เท่านั้น
อย่าว่าแต่ขุนนางที่อยู่ที่นี่ แม้แต่ฉินเฟิงก็ยังมีความคาดหวัง อยากจะดูว่าพ่อเสือน้อยตัวนี้จะคิดคำตอบแบบไหนออกมาหลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน
ในที่สุดหนิงหู่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ แต่ไม่ได้รีบร้อนที่จะส่งมอบคำตอบของเขา เพียงยกมือโค้งคำนับฮ่องเต้ และพูดขึ้นว่า “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจขอเปลี่ยนกฎได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะทรงตอบ หย่งอันโหวอย่างหนิงเหวินอวี่ก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขารีบลุกขึ้นยืนพลางตะโกน “ช่างกล้าจริง ๆ! พิธีชำระอาภรณ์ปฏิบัติเช่นนี้มาแต่โบราณ กฎระเบียบจะปล่อยให้เจ้าเปลี่ยนได้อย่างไร?”
หนิงหู่ก้มศีรษะลง และเอ่ยเสียงเบา “ในด่านประจัญหน้าทลายกระบวนทัพก่อนหน้านี้ กระหม่อมยอมรับว่าแพ้แล้ว ไม่ว่าการต่อสู้หรือกลยุทธ์ทางทหารของกระหม่อมจะดีแค่ไหนก็ไม่ดีเท่านายน้อยฉิน กระหม่อมแค่อยากจะรู้ว่าห่างชั้นจากนายน้อยฉินมากแค่ไหน หากให้กระหม่อมเป็นฝ่ายโจมตี และให้นายน้อยฉินเป็นฝ่ายตั้งรับ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถมองเห็นความห่างชั้นระหว่างเราสองคนได้อย่างชัดเจน ทั้งยังสามารถดำเนินการแข่งกลยุทธ์ตามเดิมได้ เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวพ่ะย่ะค่ะ”
หย่งอันโหวตกตะลึงพลางพึมพำอยู่ในใจ คนผู้นี้ยังเป็นบุตรชายที่กล้าหาญแต่โง่เขลาของเขาอยู่หรือไม่?
เพิ่งอยู่กับฉินเฟิงไม่นาน เขาก็เปลี่ยนเป็นคนฉลาดขึ้นแล้ว?
หลังจากได้ยินคำพูดของหนิงหู่ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ทรงปลื้มปีติเป็นอย่างมาก “ย่อมได้!”
เดิมทีฉินเฟิงอยากรีบกลับจวนไปออกกำลังกาย แต่เมื่อเห็นว่าหนิงหู่มีลูกไม้น่าสนุก เขาก็ให้ความสนใจทันที ชายหนุ่มไม่รีบร้อนที่จะกลับจวนอีก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเสือน้อย โปรดออมมือด้วย ข้าเป็นเพียงสามัญชนไม่เคยได้รับการบ่มเพาะทางการทหารมาก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่ทัพทหารม้ากับแม่ทัพเวยอู่ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าดำหน้าแดง
หนิงหู่หายใจเข้าลึก ๆ หยิบกลยุทธ์ที่เขาเขียนไว้อย่างเร่งรีบขึ้นมา และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “หากข้ามีพลทหารแสนนายจะแบ่งออกเป็นแปดกองพัน ตั้งค่ายแปดทิศ นอกจากกองพันที่ตั้งค่ายหลัก อีกเจ็ดกองพันที่เหลือให้มีทหารหนึ่งหมื่นนาย ปิดล้อมเมืองโดดเดี่ยวโดยไม่โจมตี ตัดความเป็นไปได้ที่เมืองโดดเดี่ยวจะส่งทหารไปรวบรวมเสบียง แม้จะเป็นเมืองชายแดนที่สำคัญ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เก็บสำรองไว้ก็คงอยู่ได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ นายน้อยฉินจะรับมืออย่างไร?”
สงครามในยุคนี้ อาจกินเวลานานถึงหนึ่งปีครึ่ง ติดอยู่ในเมืองนานถึงครึ่งปีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ฉินเฟิงเอียงศีรษะ แสร้งทำเป็นครุ่นคิด จากนั้นก็ตบต้นขา “เป็นคนก็ต้องหาทางแก้ไขปัญหา หากไม่มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร ข้าปลูกมันเองก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงหู่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ขนาดของเมืองโดดเดี่ยวนั้นสอดคล้องกับจำนวนทหารรักษาการณ์จำนวนแปดพันนาย ไม่อาจขาดทหารเฝ้ายาม หรือทิ้งทหารประจำการไว้เพียงเล็กน้อยได้ คาดว่าพื้นที่ของเมืองโดดเดี่ยวแห่งนี้จะไม่ใหญ่โตนัก ต่อให้รื้อบ้านเรือนหรือโกดังทั้งหมด เกรงว่าที่ดินก็ไม่เพียงพอสำหรับเพาะปลูก หากสามารถเพาะปลูกเองได้จริง แล้วจะมีสถานการณ์เมืองโดดเดี่ยวถูกปิดล้อมได้อย่างไร”
ขุนนางที่อยู่รอบ ๆ ชื่นชมคำพูดของหนิงหู่เป็นอย่างมาก และกล่าวหาว่าฉินเฟิงเป็นคนเพ้อฝัน
แม่ทัพที่อยู่ในสถานที่จัดงาน มีอารมณ์ซับซ้อน
ถ้าจะบอกว่าฉินเฟิงไร้ความรู้ทางทหาร แล้วก่อนหน้านี้นายน้อยฉินจะสามารถคิดกลยุทธ์ทางทหารที่ยอดเยี่ยมเสมอได้อย่างไร?
แต่ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะทางการทหาร แล้วไยเขาจึงพูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกมาเล่า?
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงสนใจการโต้แย้งระหว่างทั้งสองเป็นอย่างมาก ทรงตรัสถามอย่างรวดเร็วว่า “คำพูดของหนิงหู่นั้นสมเหตุสมผล หากสามารถปลูกพืชพันธุ์ได้เอง ใต้หล้านี้จะมีสถานการณ์เมืองโดดเดี่ยวถูกล้อมได้อย่างไร และต้าเหลียงของเจิ้นไยจะยังต้องหาทุกวิถีทางขนส่งเสบียงไปยังชายแดนโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย?”
เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของทุกคน ฉินเฟิงก็ยิ้มมีเลศนัย “ถ้าแค่เปลี่ยนพื้นที่ในเมือง ที่นาก็ไม่พอปลูกจริง ๆ นั่นแหละ แต่ใครบอกว่าทุ่งนาต้องอยู่บนพื้นดินเท่านั้นเล่า ข้าจะปลูกข้าวบนท้องฟ้า”
หลี่ซวี่หลุดหัวเราะ พูดอย่างขบขัน “ฉินเฟิง หรือว่าเจ้าอาการกำเริบอีกแล้ว? ข้าอยากเห็นนักว่า เจ้าจะปลูกข้าวบนท้องฟ้าได้อย่างไร!”
ฉินเฟิงไม่ได้ตำหนิขุนนางพวกนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความคิดนี้ล้ำยุคล้ำสมัยมากเกินไป ในยุคนี้ยังไม่มีแนวคิดแบบนี้ จึงพูดอย่างใจเย็น “ในเมืองนี้ไม่ขาดแคลนไม้ และแม้ว่าจะขาดแคลนไม้ แต่บ้านเรือนหรือเกวียนไม้ก็สามารถรื้อออก นำไปสร้างเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมหลาย ๆ กล่อง แล้วแบ่งเป็นสามหรือสี่ชั้นได้ จากนั้นก็ใส่ดินลงในกล่องไม้ แล้วปลูกพืชพันธุ์ไว้ในนั้นเหมือนกระถาง ด้วยวิธีนี้ การปลูกพืชให้เพียงพอในพื้นที่จำกัดยังเป็นเรื่องยากอยู่อีกหรือ?”
“แม้จะบอกว่าดินอาจไม่อุดมสมบูรณ์เพียงพอจนทำให้ข้าวขาดสารอาหารหล่อเลี้ยง แต่วิธีนี้ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เพียงพอสองถึงสามฤดูกาล หลังจากนั้นต่อให้ดินจะแห้งแล้งไม่มีสารอาหารแล้ว อย่างไร เสบียงที่ผลิตโดยวิธีนี้ก็สามารถช่วยพยุงเมืองโดดเดี่ยวต่อไปได้อีกสองถึงสามปี ถึงตอนนั้น แม้ว่ากำลังเสริมจะคลานไปก็คงคลานไปถึงเมืองโดดเดี่ยวแล้วกระมัง?”
ตามที่ฉินเฟิงคาดไว้ ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา เสียงถกเถียงอย่างดุเดือดก็ดังขึ้น
“เป็นไปไม่ได้! ถ้าปลูกได้จริง ทหารคงนำวิธีนี้ไปใช้นานแล้ว!”
“ใครบอกว่าไม่ได้ ตราบใดที่เจ้าดูแลมันอย่างดี การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารหาใช่เรื่องยาก นอกจากนี้ นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาสำหรับเมืองที่ถูกตัดเส้นทางขนส่งเสบียง หากมีการส่งเสบียงที่เพียงพอ ใครจะไปใช้วิธีนี้กันเล่า ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ไม่มีทางให้เลือกนักหรอกนะ!”
“ไม่ผิด หากเราสามารถประคองไปได้สองถึงสามปี สถานการณ์ของสงครามจะเปลี่ยนไปอย่างมาก! หลายเมืองถูกทำลายจนผู้คนบาดเจ็บล้มตายก็เพียงเพราะขาดเวลาสองถึงสามปีที่กล่าวมา”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หันไปตรัสถามแม่ทัพเวยอู่ “วิธีนี้ใช้ได้หรือไม่?”
แม่ทัพเวยอู่ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดถึงได้พยักหน้าแรง ๆ “ถ้าเพียงแต่หารือเกี่ยวกับปัญหาการถูกล้อมเมือง ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวังก็สามารถทำได้ และ…”
แม่ทัพเวยอู่กัดฟัน เมื่อตัดสินใจแล้วก็พูดอย่างเคร่งขรึม “วิธีการปลูกข้าวในกล่องไม้นี้ คุ้มค่าแก่การบันทึกไว้ในตำราทางทหาร เพื่อเตรียมการสำหรับเหตุฉุกเฉินในอนาคต”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ทรงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
วลี ‘คนฉลาดแกล้งโง่’ เหมาะที่จะใช้กับฉินเฟิงที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น…
ในใต้หล้านี้ มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่สามารถทำให้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงเบิกบานพระทัยได้
ในความคิดของหนิงหู่ กลยุทธ์รับมือของฉินเฟิงนั้นถือว่าเหนือความคาดคิด แต่ก็สมเหตุสมผล ดังนั้นชายหนุ่มจึงพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วการโจมตีด้วยไฟเล่า?”
ฉินเฟิงยักไหล่ และโพล่งออกมา “เจ้าจะโจมตีก็เอาสิ บ้านเรือนทั้งหมดในเมืองถูกรื้อถอนไปทำกล่องเพาะปลูกหมดแล้ว เหลือบ้านเรือนเท่าที่จำเป็นเพียงไม่กี่หลัง อย่าว่าแต่การโจมตีด้วยไฟจะไม่สามารถลุกลามเผาไหม้ได้เลย เพราะแม้ว่าไฟไหม้จะลุกลามก็ดับได้ไม่ยาก”
หนิงหู่ขมวดคิ้วอย่างไม่ยอม “เช่นนั้น ข้าจะโจมตีด้วยกำลัง! ต่อให้สูญเสียมากกว่าศัตรูหลายเท่า แต่ตราบใดที่สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ได้ การเสียสละที่จำเป็นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้!”
MANGA DISCUSSION