บทที่ 158 ทั้งรักทั้งชัง
ในฐานะโอรสผู้สืบเชื้อสายของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง องค์ชายรองยังคงรู้สึกเหมือนกำลังเดินบนน้ำแข็งบาง ๆ หากไม่ใช่เพราะตัดสินใจเองไม่ได้ เขาคงจะย้ายออกจากวังหลัง และสร้างจวนใหม่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่กับความกลัวเช่นนี้ทุกวัน
เมื่อกวาดตาดูบรรดาเชื้อพระวงศ์ นอกเหนือจากไท่โฮ่วก็มีเพียงองค์หญิงใหญ่เท่านั้นที่กล้าพูดกับฮ่องเต้เช่นนี้ แม้แต่ท่านอ๋อง ฮองเฮา หรือกุ้ยเฟย ต่างก็แทนตัวเองว่า ‘กระหม่อม’ หรือ ‘หม่อมฉัน’
ความสัมพันธ์พี่น้อง การเกิดเป็นสตรี รวมถึงการเป็น ‘ม่าย’ ทำให้องค์หญิงใหญ่ได้รับข้อยกเว้นพิเศษมากมายนับไม่ถ้วน
แม้ว่าองค์หญิงใหญ่จะพูดถึงประเด็นที่อ่อนไหวที่สุด ฮ่องเต้ก็จะไม่เก็บมาใส่พระทัย
เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายทั้งสอง องค์หญิงใหญ่ได้เตือนฮ่องเต้อย่างเป็นนัยว่า ขั้นอำนาจต่าง ๆ ในวังหลังวางแผนที่จะเข้าแทรกแซงในศึกชิงบัลลังก์แล้ว ตอนนี้การสานสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่หรือผู้ครองฐานันดรศักดิ์ก็จัดการได้เกือบทั้งหมด เหลือเพียงตระกูลฉินเท่านั้นที่เป็นอีกหนึ่งตัวแปร
ตระกูลฉินกลายเป็นสนามรบระหว่างองค์ชายรองกับองค์ชายเจ็ด
แต่บังเอิญว่าตระกูลฉินภักดีต่อฮ่องเต้เท่านั้น หากองค์ชายทั้งสองยื่นมือยาวเกินไป ก็เท่ากับเป็นการแตะต้องผลประโยชน์ของฮ่องเต้ แต่ถ้าไม่เอื้อมมือออกไป ก็เท่ากับเป็นการให้โอกาสอีกฝ่าย และพลาดโอกาสอันดี
หากก้าวเข้าไปอีกก็จะแตะต้องเกล็ดย้อนมังกร แต่หากถอยกลับก็อาจพลาดโอกาส
เรื่องนี้ช่างการตัดสินใจที่ยากลำบาก และเกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย
ศึกชิงบัลลังก์ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถต่อสู้เพื่อมันได้
องค์ชายรองแอบสังเกตปฏิกิริยาของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง เมื่อยืนยันได้ว่าพระองค์ไม่ได้ติดใจเอาความกับเรื่องมอบแผ่นป้ายแสดงความยินดีแก่ฉินเฟิง จึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พอหันกลับมามององค์ชายเจ็ด ก็พบว่าใบหน้าขององค์ชายเจ็ดก็ดูซีดเซียวไปเล็กน้อยเช่นกัน ในใจจึงได้กลับมาสงบ
องค์ชายรองหัวเราะเยาะเบา ๆ องค์ชายเจ็ดมักจะแสร้งทำเป็น ‘ว่าที่ฮ่องเต้ผู้หลักแหลม’ แต่จริง ๆ แล้ว ในใจของอีกฝ่ายก็ไม่ต่างจากตัวเขาเลย!
ในสายตาขององค์ชายรอง ความใจกว้างและความมีน้ำใจของน้องเจ็ดล้วนเป็นไปอย่างหน้าซื่อใจคด!
เวลาพักช่วงสิ้นสุดด่านการต่อสู้แบบประจัญหน้า ขณะที่ด่านกลยุทธ์ทางทหารยังไม่เริ่มต้น
องค์ชายรองถือโอกาสลุกขึ้นยืน แล้วเดินตรงไปที่กำแพงเมือง
เมื่อเห็นเช่นนี้ องค์ชายเจ็ดก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามไป
หารู้ไม่ว่าองค์หญิงใหญ่กำลังมองดูอยู่ แต่พระนางก็เพียงยกยิ้ม และไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ฉีหยางจวิ้นจู่นั่งอยู่ด้านหลังองค์หญิงใหญ่ยังคงความเย่อหยิ่งเช่นเคย แม้ว่านางจะชื่นชมความสามารถทางทหารของฉินเฟิงจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่นางกลับไม่เต็มใจที่จะยอมรับความเก่งกาจของนายน้อยฉิน จึงพูดขึ้นด้วยหน้าตาบูดบึ้ง “สามารถชนะด่านทลายขบวนทัพได้ ถือว่าคนต่ำช้าอย่างเจ้าโชคดี”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ต่ำช้า’ เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉีหยาง แม้ว่าฉินเฟิงจะมีชื่อเสียงไม่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับที่จะต้องดูถูกเขาเช่นนี้กระมัง?”
ฉีหยางนั่งลงบนพื้น ยกมือกอดอก พลางแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ “หึ เขาไม่มีทั้งตำแหน่งขุนนาง ไร้ฐานันดรศักดิ์ หรือแม้แต่ฉายาในทางที่ดี ไม่ต่างจากคนต่ำต้อย! เขาเป็นคน จวิ้นจู่อย่างข้าก็เรียกเขาว่าคนต่ำช้า นี่เป็นแค่การเรียกตามข้อเท็จจริง อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้เกลียดเขาที่สุดหรอกหรือ? วันนี้ทำไมถึงได้ปกป้องเขาเสียเล่า? หรือว่าเจ้าชอบเขาเข้าแล้ว?!”
ทันทีที่สิ้นประโยค หน้าของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็แดงเรื่อด้วยความเขินอาย เบือนหน้าหนี พลางพูดอย่างตื่นตระหนก “ไร้สาระ! ใครจะไปชอบคนโลเลเช่นเขากัน?”
ในขณะที่ปฏิเสธ เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็มองไปที่กำแพงโดยไม่รู้ตัว
อารมณ์ของนางซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะคุณชายเสเพลชื่อฉาวโฉ่ในแวดวงบุตรหลานขุนนาง ผู้คนควรจะดูหมิ่นเขา
แต่คนผู้นี้ดันมีความสามารถหาใครเทียบได้
แม้แต่เซี่ยปี้บิดาของนางก็ยังชื่นชมความสำเร็จในการดูแลกิจการของชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง
ผลงานทางด้านวรรณกรรมของเขาก็อยู่ในระดับแนวหน้าของแวดวงปัญญาชนในต้าเหลียง
นอกจากนี้ความฉลาดเฉลียวและทักษะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนภาพหน้าไม้ หรือดาบด้ามยาวก็ล้วนเป็นอาวุธล้ำหน้า ที่ขุนนางหัวทึบของกรมโยธาไม่อาจคิดค้นขึ้นมาได้
ยามนี้แม้แต่ความสามารถทางการทหารก็ยังโดดเด่นอย่างมาก
ใช้น้อยชนะมาก ใช้ความอ่อนแอเอาชนะผู้แข็งแกร่ง ทหารลาดตระเวนสามร้อยนายเอาชนะกองทหารรักษาพระราชวังชั้นยอดนับพัน หากย้อนดูในบันทึกจากราชวงศ์ในอดีตแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร
หากไม่กล่าวถึงพฤติกรรมเหมือนคนอันธพาลของเขา
ฉินเฟิงถือเป็นชายหนุ่มที่มีทักษะทั้งบุ๋นบู๊โดยแท้ เขาเป็นสามีที่สมบูรณ์แบบในจินตนาการของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ทีเดียว
สัญญาการแต่งงานที่องค์หญิงใหญ่มาดหมายไว้นั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่…
ท่าทางเหมือนนักเลงของคนผู้นี้ทำให้เขาดูไร้ค่า ในจุดนี้ทำให้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ลำบากใจเป็นอย่างมาก
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นด้านหลังคุณหนูเซี่ยอย่างกะทันหัน
“อวิ๋นเอ๋อร์ ช่วยข้าหน่อย”
ร่างของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ชะงัก และรีบหันไปมอง ในหัวใจของนางพลันสั่นไหว
ฉินเฟิงที่ควรจะอยู่บนกำแพงเมือง ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังนางโดยไร้สุ้มเสียง เผยใบหน้ายิ้มแย้มดูขี้เล่นตามประสา ร่างของเขาอยู่ใกล้เสียจนอีกนิดจะแนบติดกับหน้าของนางแล้ว
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์รีบถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว กลัวฉินเฟิงเหมือนกลัวเสือก็ไม่ปาน พลางนางพูดอย่างประหม่า “เจ้า… เจ้าคนสมควรตาย เจ้าวิ่งมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เสียงร้องตกใจนี้ดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ อีกหลายคนรอบตัวทันที
เมื่อเห็นฉินเฟิงที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น ฉีหยางจวิ้นจู่ก็ตกใจเช่นกัน นางหยิบผลไม้ขึ้นมา แล้วเขวี้ยงออกไปทันที “เจ้าอยากให้คนตกใจจนหัวใจวายรึ!”
ใบหน้าของฉินเฟิงยิ้มอย่างไม่สนใจ เขาหยิบลูกท้อขึ้นมาแทะอย่างไม่รังเกียจ “ที่แท้ฉีหยางจวิ้นจู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าน้อยตาไม่ดี เลยไม่ทันเห็นน่ะขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของฉีหยางจวิ้นจู่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ “คนทั้งคนเจ้าจะไม่เห็นได้อย่างไร? มีลูกตาเอาไว้หายใจรึ?”
หากเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์คือคนหัวรุนแรงแล้ว ฉีหยางจวิ้นจู่ก็คือคนปากคอเราะร้ายโดยแท้ นั่นทำให้ฉินเฟิงค่อนข้างปวดหัว
โชคดีที่องค์หญิงใหญ่มาคลี่คลายสถานการณ์ ปรามฉีหยางจวิ้นจู่ว่าอย่าส่งเสียงดังรบกวน จากนั้นพระนางก็ยิ้ม และหรี่ตามองฉินเฟิง “เจ้าเป็นเด็กที่ไม่รู้กฎเกณฑ์จริง ๆ สถานที่จัดพิธีชำระอาภรณ์เป็นสถานที่สำคัญ จะปล่อยให้เจ้ามาเดินเล่นไปทั่วได้อย่างไร”
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นตกใจ “โอ้ องค์หญิงก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
ปฏิกิริยาขององค์หญิงใหญ่นั้นคล้ายกับฉีหยางจวิ้นจู่อยู่บ้าง แต่พระนางเพียงกลอกตาไปทางฉินเฟิงแทนที่จะตำหนิชายหนุ่ม
ฉินเฟิงในตอนนี้ไม่มีเวลาสนใจใครมากนัก เขาเพียงเอ่ยขอร้องเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยใบหน้าประจบสอพลอ “รีบช่วยข้าหาม้านั่งสักสองตัวแล้วยกไปที่บนกำแพงเมืองหน่อย องค์ชายรองกับองค์ชายเจ็ดแวะมาพูดคุยกับข้า บนนั้นมีเก้าอี้หวายอยู่ตัวเดียว ข้านั่งไปแล้ว องค์ชายทั้งสองจะทำอย่างไรดี จะปล่อยให้ยืนพูดก็คงไม่ได้ใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็โมโหจนเกือบจะตบหน้าเขาสักฉาด
เจ้าฉินเฟิงเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ เจ้าจะไม่ยอมสละเก้าอี้หวายได้อย่างไร?
เจ้านั่งอยู่ แต่ให้องค์ชายทั้งสองยืน เจ้าก็ช่างกล้าที่จะพูด!
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกลอกตา แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเรียกข้าทำไม ข้ารำคาญเจ้าจะแย่แล้ว! บัญชีเก่าที่เจ้าโพนทะนาเรื่องของข้าไปทั่วทำชื่อเสียงข้าแปดเปื้อดก็ยังไม่ได้ชำระเลย”
ในใจฉินเฟิงพลันรู้สึกหดหู่ เรื่องผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ทำไมนางถึงยังกล่าวถึงมันอีก? จิตใจคับแคบเกินไปแล้ว
แต่ว่าตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องย้ายม้านั่งไปให้พวกองค์ชาย ดังนั้นฉินเฟิงจึงทำได้เพียงเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “ผู้คนที่นี่ ถ้าไม่ใช่คนใหญ่คนโตก็เป็นคนที่ไม่ชอบขี้หน้าข้า ไตร่ตรองดูแล้ว ความสัมพันธ์ของเราก็ถือว่ายังพอใช้ได้ ข้าไม่ตามหาเจ้าแล้วข้าจะไปตามหาใครเล่า?”
ใบหน้าของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง “ถุ้ย! เจ้าไร้ยางอายจริง ๆ ใครมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้า? เจ้าทำลายชื่อเสียงของข้า ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะตบเจ้าให้ตายแล้ว!”
ทันใดนั้นพระสุรเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้น
“บุตรีสกุลเซี่ย เจ้าไปช่วยเขาเถิด”
MANGA DISCUSSION