บทที่ 155 เชลยศึกแทบเท้า
ชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้เรียกได้ว่า มีความหมายอย่างยิ่งต่อสวีโม่
ไม่เพียงแต่เขาได้สิทธิ์ไปเป่ยตี๋เท่านั้น แต่เขายังพิสูจน์ให้ทุกคนในเมืองหลวงเห็นว่า ลูกหลานของขุนนางไม่ได้เป็นเพียงถุงสุราห่อข้าวที่รอความตายเพียงอย่างเดียว ยังมีคนที่ยินดีเดิมพันทุกอย่างเพื่อสร้างคุณงามความดีอยู่ และจากนี้ต่อไปสวีโม่ก็จะสามารถเชิดหน้าได้อย่างผึ่งผาย ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้ใด!
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฉินเฟิงมอบให้
สวีโม่มองไปยังกำแพงด้วยสายตาร้อนแรงหาใดเปรียบ และพบว่าฉินเฟิงกำลังนั่งสบาย ๆ อยู่บนเก้าอี้หวาย ไขว้ขาพลางยิ้มตาหยี ขณะที่พิจารณาหนิงหู่ซึ่งถูกมัดมือมัดเท้าอยู่ตรงหน้าเขา
หนิงหู่หน้าแดงหูแดง ความอัปยศอดสูที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพุ่งโถมเข้าใส่เต็มหัวใจ
เขาจะพ่ายแพ้ก็แล้วไปเถอะ แต่การถูกจับมัดทั้งเป็น และกลายเป็นเชลยแทบเท้าของฉินเฟิงแบบนี้มัน…
ในเวลานี้หนิงหู่อยากจะมุดดินหนีใจจะขาด
“ฉินเฟิง นี่เจ้าคิดจะทำกระไรกันแน่? นี่เป็นการแข่งขันเบื้องพระพักตร์ เจ้าบังอาจปฏิบัติต่อข้าเหมือนเชลย? เจ้ากล้าสร้างความอับอายอย่างนี้ได้อย่างไร?”
ความรู้สึกของหนิงหู่นั้นซับซ้อนมาก ด้านหนึ่งเขารู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของฉินเฟิงในหอสุราเมื่อวานนี้ แต่ในทางกลับกัน เขาก็ไม่พอใจฉินเฟิงที่รังแกกันมากเกินไปแล้ว
ตอนนี้ หลินฉวีฉีซึ่งทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ส่งข่าว’ ชั่วคราวก็ได้กลับมาอยู่ข้างกายฉินเฟิง
เมื่อเห็นหนิงหู่ถูกมัดและคุกเข่าอยู่บนพื้น หลินฉวีฉีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า เขาจึงรีบกระซิบเตือนฉินเฟิง “พี่ฉิน ทำไมเจ้ายังไม่รีบปลดเชือกให้ท่านโหวน้อยเล่า? การประลองนี้เป็นแค่การแข่งขัน แต่เดิมก็ไม่ใช่สนามรบจริง ดังนั้นพี่ฉินควรลงไม้ลงมืออย่างพอเหมาะพอควร เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ไปกระตุ้นความแค้นของหย่งอันโหวนะ”
ฉินเฟิงโบกมือ บอกเป็นนัยให้หลินฉวีฉีว่า ไม่จำเป็นต้องกังวล ในขณะเดียวกันก็ไล่ทหารองครักษ์ทั้งหลายที่อยู่ข้างกายออกไป
เมื่อไม่มีคนนอกบนกำแพง ฉินเฟิงก็เข้าประเด็น นายน้อยฉินพิจารณาใบหน้าหนิงหู่ที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พลางพูดขึ้นว่า “ท่านโหวน้อย ท่านบัญชาการกองทหารรักษาพระราชวังชั้นยอดจำนวนหนึ่งพันคน แต่ถูกกวาดล้างด้วยทหารเพียงสามร้อยนายของสวีโม่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไร?”
ในฐานะทายาทแม่ทัพ ว่าที่แม่ทัพในอนาคตที่ได้รับการอบรมจากตระกูลหนิงอย่างเข้มข้น วันนี้เขากลับถูกฉินเฟิงทุบตี และทำให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่ตนเองได้เปรียบในด้านจำนวนคน และยุทโธปกรณ์ สำหรับหนิงหู่ความพ่ายแพ้ครั้งนี้สร้างความอัปยศอดสูเป็นอย่างยิ่ง
ใบหน้าของหนิงหู่ซีดเผือด เขากัดฟันตอบกลับ “ข้าทักษะอ่อนด้อย ไม่มีอะไรจะเอ่ย!”
ฉินเฟิงหยิบอ้อยที่เคี้ยวอยู่ครึ่งค่อนวันขึ้นมาเคาะไหล่ของหนิงหู่ แสยะยิ้ม แล้วแสดงท่าทาง ‘ผู้อาวุโส’ พลางสั่งสอนว่า “ดังคำกล่าว จงรู้จักความอับอายแล้วเปลี่ยนเป็นความกล้าหาญ! ข้าให้เจ้าสรุปบทเรียนความล้มเหลว เจ้ากลับดึงหน้าใส่ข้า ไอ้หนู เจ้าวอนโดนทุบใช่หรือไม่?”
หลินฉวีฉีที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว และยิ้มอย่างขมขื่น
น้ำเสียงนี้ ลักษณะท่าทางนี้ อากัปกริยานี้…
ผู้ใดล้วนทราบว่าฉินเฟิงกับหนิงหู่เป็นบุตรหลานแห่งเมืองหลวงทั้งคู่ก็แล้วไปเถอะ แต่หากผู้ที่ไม่รู้มาเห็นคงคิดว่าฉินเฟิงเป็นพ่อของหนิงหู่ไปแล้ว!
หนิงหู่อับอายและโกรธมาก เขายิงฟันใส่ฉินเฟิง “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ทำไมข้าต้องสรุปบทเรียนให้เจ้าฟังด้วย? ต่อให้ข้าจะสรุป ข้าก็ต้องสรุปให้ท่านพ่อข้าฟังไม่ใช่เจ้า”
ฉินเฟิงผายมือออก แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าช่วยไม่ได้ “ถ้าไม่ได้จริง ๆ เจ้าก็รับข้าเป็นพ่อทูนหัวสิ ข้าจะยอมเสียเปรียบสักหน่อยก็ได้”
เดิมทีหนิงหู่ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟอยู่แล้ว และเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ระเบิดอารมณ์ทันที ท่านโหวน้อยตวาดเสียงเกรี้ยว “คนแซ่ฉิน อย่าให้มันมากเกินไปนัก! ข้าจดจำไมตรีในหอสุราเมื่อวานนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถกำเริบเสิบสานทำให้ข้าขายหน้าได้ ถ้าบีบบังคับกันเกินไป ข้าจะทำให้เจ้าเลือดสาดกระเซ็นแน่!”
แม้จะเผชิญหน้ากับหนิงหู่ที่เดือดดาล แต่ฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด เขาเพียงยืนขึ้นอย่างโซเซ บิดเอว แล้วหยิบอ้อยขึ้นมา จากนั้นก็ฟาดมันลงบนหน้าผากของหนิงหู่อย่างกะทันหัน
พลั่ก!
เสียงดังฟังชัด
ชานอ้อยกระเด็นไปสี่ทิศ
หนิงหู่รู้สึกแค่ว่าหัวของเขามีเสียงวิ้ง ๆ โชคดีที่เป็นอ้อย หากถูกแทนที่ด้วยแท่งไม้ หัวของเขาคงถูกแยกออกเป็นสองซีกแล้ว
หลินฉวีฉีสะดุ้ง และรีบแย่งอ้อยครึ่งหนึ่งที่เหลือจากมือของฉินเฟิงไปทันที “พี่ฉิน เจ้ากำลังทำอะไร? อย่างไรนี่ก็คือท่านโหวน้อย พูดว่าจะตีก็ตีได้อย่างนั้นหรือ? อีกทั้ง…”
หลินฉวีฉีเหลือบมองขุนนางบุ๋นและบู๊ที่อยู่ภายในสนาม รวมถึงฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงที่อยู่ไกลออกไป โชคดีที่ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจบนกำแพงมากนัก ไม่เช่นนั้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้คงสร้างหายนะอย่างแน่นอน
ทันทีที่พูดจบ หลินฉวีฉีก็นำทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวฉินเฟิงซึ่งอาจกลายเป็นอาวุธได้ออกไปเก็บ
ฉินเฟิงไม่สนใจหลินฉวีฉีที่กระวนกระวาย ภายใต้การจ้องมองอย่างโกรธเกรี้ยวของหนิงหู่ เขาถอดรองเท้าข้างหนึ่งออกแล้วหยิบมันขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “มาเลย พูดคำขู่ให้ข้าฟังอีกครั้งสิ ข้ารึจะจัดการเจ้าไม่ได้! ขู่ข้าเรอะ! ข้าจะดูว่าเจ้าจะรับได้กี่ฝ่าเท้า”
ใบหน้าของหนิงหู่เดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว สองดวงตาเต็มไปด้วยความเดือดดาลอย่างไร้สิ้นสุด เขาอยากจะกินฉินเฟิงทั้งเป็นใจจะขาด “ถ้าเจ้าแน่จริงก็ปลดเชือกออก!”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ ฉินเฟิงก็แกว่งรองเท้า แล้วฟาดออกไป
เพียะ!
ความเจ็บน่ะไม่มาก แต่แบบนี้มันเหยียดหยามกันมากจริง ๆ
ดวงตาของหนิงหู่เต็มไปด้วยเส้นเลือด ฟันกรามสบแน่นจนส่งเสียง ‘กึกกักกึกกัก’ น่าหวาดกลัว พริบตาใดที่เขาหลุดจากเชือกไปได้ เขามั่นใจว่าจะจัดการให้ฉินเฟิงตายทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าในดวงตาของหนิงหู่ นอกจากฉินเฟิงจะไม่กลัวแล้ว เขายังมีรอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าอีกด้วย “เจ้ากลายเป็นเชลยแล้วยังแยกเขี้ยวขู่อีก? ใครให้เจ้าแยกเขี้ยวยิงฟัน! นายน้อยอย่างข้าเชี่ยวชาญในการขจัดความไม่พอใจทุกประเภทนักนะ จะบอกให้!”
เพียะ เพียะ เพียะ!
ฉินเฟิงตีหนิงหู่ที่หน้าผากติดกันไม่หยุด แม้ว่าจะไม่ได้ออกแรงนัก แต่ความถี่ที่ฟาดลงมาเร็วเกินไป ไม่นานก็ทำให้หนิงหู่มึนงงสับสน หลงทิศหลงทางไปหมด
ในตอนที่ฉินเฟิงกำลังจะออกแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อสั่งสอนเสือน้อยที่กำลังฉุนเฉียวให้เชื่อง หลินฉวีฉีก็แย่งรองเท้าของเขาไป และโยนมันลงจากกำแพงทันที
เมื่อไม่มีทางเลือกฉินเฟิงก็ได้แต่หยิบรองเท้าอีกข้างขึ้นมา ผลคือได้ยินหลินฉวีฉีร้องไห้ และขอร้องอย่างขมขื่น “พี่ฉิน ไม่สิ… ไม่ ท่านบรรพบุรุษ ท่านหยุดแสดงอภินิหารของท่านเถอะ! ถ้าถูกขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักพบเห็นฉากนี้เข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
ฉินเฟิงกลัวว่าจะทำให้หลินฉวีฉีตกใจจนเป็นบ้า เขาจึงเม้มริมฝีปาก เก็บมือ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หวายอีกครั้ง เมื่อมองไปที่หนิงหู่ซึ่งโกรธจัด เขาก็แสยะยิ้ม “หากไม่ใช่เพราะหลินฉวีฉีหยุดข้า ข้าจะให้เจ้าได้กินพื้นรองเท้าของข้าเสียให้อิ่ม”
“ในแง่ของความกล้าหาญ ไม่มีใครในเมืองหลวงสามารถเทียบเคียงเจ้าได้ ในฐานะบุตรชายของหย่งอันโหว เจ้าคุ้นเคยเกี่ยวกับการศึกษาการทหารและกลยุทธ์ทางทหารมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังคาดหวังกับเจ้า ไม่อย่างนั้น เจ้าที่ทำตัวขายขี้หน้าในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋องขนาดนั้น ไฉนเลยฮ่องเต้จะยอมให้เจ้าเข้าร่วมพิธีชำระอาภรณ์นี้อีก”
“เจ้าร้ายกาจถึงเพียงนี้ แล้วทำไมเจ้าถึงกลายเป็นเชลยเล่า?”
เมื่อเผชิญกับคำถามแทงใจดำของฉินเฟิง หนิงหู่อยากจะตายด้วยความอับอาย เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางพูดว่า “ชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติในสนามรบ! ตั้งแต่ข้าแพ้ ข้าก็ยอมรับแล้ว นี่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาสอนบทเรียนให้ข้าหรือไรกัน?”
ไม่ผิดจากที่ฉินเฟิงคาดไว้ ไอ้หนูนี่เป็นพวกกระดูกแข็ง แม้ว่าดวงตาของเขาจะแดงก่ำด้วยความอัปยศอดสู และคล้ายจะร่ำไห้ได้ทุกเมื่อ แต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะยอมศิโรราบ
เดิมทีฉินเฟิงวางแผนจะใช้พื้นรองเท้าทำให้เขาจำยอม
อย่างไรก็ตาม หลินฉวีฉียืนจ้องตาเขม็งอยู่ข้างกาย ดังนั้นนายน้อยเจ้าสำราญจึงต้องเปลี่ยนวิธีการ เขาหรี่ตา และเอ่ย “น้ำหนักของขวานใหญ่ที่สวีโม่ใช้นั้นถูกลดลงเป็นพิเศษ จึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหากทุบลงบนร่างกาย ส่วนลูกตุ้มที่เด็กเหลือขออย่างเจ้าใช้ทำให้หน่วยลาดตระเวนได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเดินทางไปเป่ยตี๋ เกรงว่าแม้แต่การเข้าไปเป็นคนของหน่วยลาดตระเวนก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หนิงหู่ก็ขมวดคิ้ว เสียงของเขาไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป อีกทั้งยังเย็นลงหลายส่วน “ดังนั้นเมื่อครู่ เจ้าจึงอาศัยจังหวะแก้แค้นข้า? เพื่อระบายโทสะแทนทหารพวกนั้นหรือ?”
MANGA DISCUSSION