บทที่ 154 ใช้น้อยชนะมาก
ขณะที่อารมณ์ของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเริ่มอึมครึม ก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นข้างพระกรรณ
“มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมแต่เป็นตายก็ปฏิเสธที่จะเข้ารับราชการ ไม่รู้จะเรียกเขาว่าคนฉลาด หรือว่าคนโง่ดี”
เมื่อมองไปตามเสียงก็เห็นองค์หญิงใหญ่นั่งอยู่ที่ด้านล่าง นางยิ้มกว้างมองดูฉินเฟิงบนกำแพง แล้วเอ่ยแฝงความนัย “ถ้าเจ้าเด็กคนนี้สามารถเลื่อนบรรดาศักดิ์รับตำแหน่งขุนนางได้ อนาคตของเขาย่อมไร้ขีดจำกัด น่าเสียดาย เขาเลือกจะเป็นคนธรรมดาสามัญ ถึงแม้จะมีพรสวรรค์พิเศษแล้วอย่างไร ฉินเฟิงได้ตัดลู่ทางอนาคตของตัวเองไปเสียแล้ว… เฮ้อ สี่ชนชั้นบัณฑิต เกษตรกร กรรมกร และพ่อค้าวาณิชย์ เจ้าเด็กนั่นละทิ้งหนทางขุนนางแต่เลือกเป็นพ่อค้าต่ำต้อย สายตาตื้นเขินนัก”
หลังจากได้ยินมาถึงตรงนี้ พระพัตร์ของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น
เมื่อนึกถึงการปฏิเสธที่จะ ‘รับตำแหน่งขุนนาง’ ของฉินเฟิงที่เคยเอ่ยไว้อย่างหนักแน่น ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ยิ้มอย่างรู้เท่าทัน และแอบทอดถอนพระปัสสาสะ “เด็กคนนั้นคาดการณ์ถึงวันนี้มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธเส้นทางในราชสำนัก หนีห่างออกไปหลายพันลี้… ตัดลู่ทางอนาคตที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนั่นปกป้องลู่ทางชีวิตของตัวเอง! เจิ้นไม่ควรกลัวคนธรรมดากระมัง?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเหลือบมองหลี่จ้านที่อยู่ข้าง ๆ แล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ถาม “ขันทีหลี่ เจ้ารับใช้เจิ้นมาหลายปี เจ้าเคยเข้าใจความคิดของเจิ้นหรือไม่?”
หลี่จ้านไม่เข้าใจจุดประสงค์ในคำถามของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า “กะ…กราบทูลฝ่าบาท พระทัยฮ่องเต้ไม่อาจคาดเดาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงแย้มพระโอษฐ์ และไม่เอ่ยอันใด เพียงแต่มองไปที่ฉินเฟิงอย่างลึกซึ้ง
บ่าวเฒ่าที่รับใช้มาหลายสิบปียังไม่สามารถเข้าใจพระทัยฮ่องเต้
แต่เจ้าหนูบางคนกลับเข้าใจพระทัยฮ่องเต้อย่างสมบูรณ์
ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นแค่คนธรรมดาสามัญ อัจฉริยะระดับนี้คงไม่อาจเก็บไว้ได้
นอกสนามเงียบงัน แม้ว่าการบรรยายบนโต๊ะทรายจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงงุนงง ไม่อาจระงับความตกใจได้อยู่เป็นเวลานาน
เมื่อครู่นี้หมากบนโต๊ะทรายมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีการใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ มากมาย
ดูไม่เหมือนเด็กรุ่นเยาว์สองคนกำลังประลองกันสักนิด แต่เหมือนขุนพลสองคนผู้มากประสบการณ์ต่อสู้อยู่ในสนามรบมานานหลายปีกำลังชิงไหวชิงพริบกันอยู่มากกว่า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทุกคนถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา
นายกองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะทรายใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น พลางจ้องมองโต๊ะทรายไม่วางตา “นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเหลียง นี่เป็นครั้งแรกที่มีการแข่งขันดุเดือดเช่นนี้… สิ่งที่เรียกว่าศึกตัดสินคนรุ่นใหม่ก่อนหน้า เมื่อเทียบกับการต่อสู้ครั้งนี้ก็เหมือนของเด็กเล่น!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน
เกาอวี้หลานกำหมัดแน่น ใบหน้าไม่น่ามองอย่างยิ่ง แม้ว่าภายในใจจะไม่ยอมจำนน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการประลองครั้งนี้น่าตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริง ๆ “หรือเจ้าฉินเฟิงสมควรตายนั่นจะเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน? ไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องนี้เลย! “
ความเข้าใจด้านการทหารของหลี่หนิงฮุ่ยโดยพื้นฐานแล้วเป็นศูนย์ เมื่อนางพบว่ากองทัพของสวีโม่ได้รับชัยชนะ หลี่หนิงฮุ่ยก็ประหลาดใจมาก นางจึงกระซิบเสียงเบา “พี่หญิง ฉินเฟิงชนะได้อย่างไรกัน? นี่มันสามร้อยต่อหนึ่งพันเชียวนะ หรือว่าฉินเฟิงใช้วิธีการสกปรกบางอย่าง?”
เกาอวี้หลานอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “การบรรยายบนโต๊ะทรายไม่มีทางผิดหรอก ฉินเฟิง… ยอมประสบความพ่ายแพ้หลายครั้งเพื่อแลกกับชัยชนะของกลยุทธ์โดยรวม เขาควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ไว้ในกำมือ บุตรหลานแห่งเมืองหลวง… ล้วนไม่มีใครทำได้เช่นเขา”
ไม่คาดคิดว่าเกาอวี้หลานจะประเมินฉินเฟิงไว้สูงเพียงนี้ หลี่หนิงฮุ่ยป้องปากอย่างสะเทือนใจ
เหล่าลูกหลานที่วางเดิมพันอย่างหนักว่ากองทัพของสวีโม่จะพ่ายแพ้ เดิมทีควรจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม
ลูกหลานหลายคนไม่สนใจเกี่ยวกับเงินเล็กน้อยที่พวกเขาต้องสูญเสียไปเลยสักนิด แต่กลับเริ่มชื่นชมพวกสวีโม่และฉินเฟิงแทน
“มหัศจรรย์! ความรู้ด้านยุทธวิธีแบบนี้ไม่มีทางปลูกฝังออกมาได้หากไร้ประสบการณ์การสู้รบหลายสิบปี! แม้ว่าพฤติกรรมของเจ้าสารเลวฉินเฟิงจะน่าชิงชัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะ!”
“สวรรค์! อาศัยกลยุทธ์ชดเชยความเสียเปรียบของตนเอง ทหารสามร้อยคนกวาดล้างทหารรักษาพระราชวังชั้นยอดจำนวนหนึ่งพันคน นี่… นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว… หรือว่าฉินเฟิงได้รับการถ่ายทอดบทเรียนจากฉินเทียนหู่?”
“ทหารราบเกราะหนักยืนอยู่ตรงกลาง ตัดแนวหน้าของกองทัพหนิงหู่ออกไป พลธนูราบกับพลธนูม้าจัดการกับทหารม้าเกราะหนักของหนิงหู่ สกัดกั้นข่าวสาร ขัดขวางการถ่ายทอดคำสั่งของกองทัพฝั่งตรงข้าม เมื่อทหารราบเกราะหนักทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน พลธนูม้ายังคงก่อกวน แล้วพลธนูทหารราบก็บุกโจมตีแนวหลังของกองทัพหนิงหู่ ในที่สุดทหารราบเกราะหนักก็ถูกกำจัดออกไปแลกกับความอยู่รอดของพลธนูม้ากับพลธนูราบ จากนั้นด้วยอาวุธที่เหนือกว่า พวกเขาจึงสามารถล้อมทหารราบเกราะหนักของกองทัพหนิงหู่ได้… “
“แม้ว่าจะเป็นเพียงการประลองเล็ก ๆ แต่ก็เห็นได้ว่าความเข้าใจในยุทธวิธี และการศึกษาข้อมูลทหารของฉินเฟิงนั้นเข้าขั้นยอดเยี่ยม!”
ทหารผ่านศึกที่เกษียณจากสนามรบขมวดคิ้ว บางครั้งแววตาก็ชื่นชม และบางครั้งก็สงสัย “การจัดวางยุทธวิธีนี้ประณีตจริง ๆ แต่ยิ่งชนะโดยการพลิกแพลงพลทหาร… พลธนูราบต่อต้านทหารม้าของศัตรูก่อน แล้วจึงบุกโจมตีด้านหลัง พวกเขาเป็นพลธนูราบแบบไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นกองสอดแนมชั้นยอด! นี่เป็นประเด็นใหญ่ที่สุดที่น่าพูดถึง”
ขุนพลค่ายทหารแห่งหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เอามือไพล่หลัง พลางพยักหน้าด้วยแววตาเคร่งขรึม “ไม่เลว ๆ แก่นแท้ของการต่อสู้ครั้งนี้คือทหารราบเกราะหนักสามารถรักษาความมั่นคง และยึดครองศูนย์กลางของสนามรบได้ ซึ่งตัวแปรที่ใหญ่ที่สุดก็คือพลธนูม้า! ตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่รับราชการทหาร ข้าไม่เคยเห็นพลธนูม้าที่ทรงพลังขนาดนี้มาก่อน”
ดวงตาของทหารผ่านศึกเต็มไปด้วยความร้อนแรง “มีข่าวลือมานานแล้วว่าฉินเฟิงจะสร้างกองทัพด้วยตัวเอง เป็นไปได้หรือไม่ว่า… พลธนูม้าพวกนี้เป็นต้นแบบของกองทัพ? หากมีทหารที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ก็คงจะเอาชนะเป่ยตี๋ได้ไม่ยากเป็นแน่!”
เมื่อได้ยินคำชื่นชมจากทุกทิศทุกทาง หลิ่วหงเหยียนก็แก้มแดงก่ำ รู้สึกภูมิใจเกินคำบรรยาย
เสิ่นชิงฉือที่อยู่ด้านข้างผุดแววตาเหลือเชื่อ จิ๊ปากอย่างประหลาดใจ “ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าเจ้าหมอนั่นจะมีความสามารถขนาดนี้!”
เวลานี้เอง บุตรหลานขุนนางในชุดขาวร่างหนึ่ง สาวเท้าไปตรงหน้าคนตระกูลฉินแล้วคำนับ พลางเอ่ยอย่างตื่นเต้น และนอบน้อม “นายน้อยฉินเป็นอัจฉริยะ ข้าน้อยเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง! ได้ยินมานานแล้วว่า ฉินเฟิงได้รับการสั่งสองจากคุณหนูทุกคนในตระกูลฉิน คิดว่าคุณหนูทั้งหลายคงจะมีไหวพริบดีเหนือคนธรรมดาจริง ๆ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ บุตรหลานขุนนางหลายคนในบริเวณใกล้เคียงก็วิ่งเข้ามาประจบประแจงคุณหนูตระกูลฉินโดยไม่ยอมน้อยหน้า
“ความสามารถทางการค้าของฉินเฟิง คงจะได้รับการฝึกฝนจากคุณหนูหลิ่วเป็นแน่!”
“บทกวีของคุณหนูเสิ่น ‘เมาเงาบุปผา ม่านเมฆหมอกหนาทึบกังวลทั้งคืนวัน’ สั่นสะเทือนทั้งเมืองหลวง ที่ฉินเฟิงสามารถเขียนบทกวี ‘ออกด่าน’ มาได้ คงจะได้รับการกล่อมเกลาจากคุณหนูเสิ่น”
“กล่าวได้ว่าความสามารถในการบังคับบัญชาทางทหารที่ไม่เคยมีมาก่อนของฉินเฟิงก็คงได้รับการถ่ายทอดจากคุณหนูจิ่ง?”
เมื่อเผชิญกับการหลั่งไหลเข้ามาของบุตรหลานแห่งเมืองหลวง และการเยินยอโดยไม่มีที่มาที่ไปอย่างกะทันหัน คุณหนูทั้งสามจึงมองหน้ากันอย่างรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
พวกนางสั่งสอนฉินเฟิงอย่างเคร่งครัดจริง ๆ แต่จะพูดให้ถูกก็คือไม่ทุบตีก็ดุเขา แต่พรสวรรค์เหล่านี้ของฉินเฟิงไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางเลย พวกนางอยากจะอธิบาย แต่บุตรหลานเหล่านี้กลับเชื่อว่า เหล่าคุณหนูตระกูลฉินเป็นผู้สูงส่งอย่างยิ่ง และชื่นชมเลื่อมใสอย่างแรงกล้าไปเสียแล้ว
ไม่ต้องเอ่ยถึงหลิ่วหงเหยียนกับเสิ่นชิงฉือ แม้แต่จิ่งเชียนอิ่งที่มีนิสัยเย็นชาก็ยังรู้สึกกระดากใจเช่นกัน นางยกมือขึ้นเป็นครั้งคราวเพื่อเก็บทัดผมสีดำขลับ ด้วยรู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง
“กองทัพสวีโม่ชนะ!”
เสียงที่ตื่นเต้นหาใดเปรียบของฉินเทียนหู่พลันดังก้องไปทั่วสนาม
เสียงโห่ร้องยินดีพลันดังขึ้นตามมาติด ๆ เช่นกัน
ทหารกองพันเคลื่อนที่และกองพันเพลิง ยกอาวุธขึ้นสูง แล้วชูแขนกู่ตะโกน การชนะเลิศการแข่งขันก็เท่ากับได้รับโอกาสไปชายแดนเพื่อสร้างความชอบ แล้วจะไม่มีความสุขได้อย่างไร
สวีโม่และทหารของเขา เดินโซซัดโซเซล้มนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น แม้ว่าจะมีสภาพน่าเวทนาจนทนดูไม่ได้ แต่ใบหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สวีโม่อดไม่ได้ที่จะคำราม “ชนะแล้ว พวกเราชนะ!”
MANGA DISCUSSION