บทที่ 147 เข้าสู่รอบตัดสิน (2)
ความกระตือรือร้นของสวีโม่จางหายไป เอ่ยขอคำชี้แนะอย่างรู้สึกผิด “ข้อได้เปรียบของเกราะหนักนั้นดีกว่ามาก หรือว่าจะมีคนที่สามารถทำลายขบวนทัพได้หรือ”
ฉินเฟิงเอียงศีรษะพลางถูมืออย่างครุ่นคิด “ขบวนทัพเกราะหนักไม่กลัวทหารม้า แต่จำเป็นต้องมีเป็นกองทัพขนาดใหญ่ในการต่อสู้ หากจำนวนคนน้อยเกินไปขบวนทัพย่อมไม่แข็งแรงพอ ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของทหารม้าได้ นอกจากนี้ยังไม่ถูกกับธนูเจาะเกราะอีก และความไม่คล่องตัวของทหารราบหุ้มเกราะหนักก็ยากที่จะสู้กับทหารที่มีอาวุธยาวเกินหนึ่งจั้ง แล้วก็…”
ก่อนที่ฉินเฟิงจะพูดจบ สวีโม่ก็ขัดจังหวะ และพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีความมั่นใจแล้ว”
ฉินเฟิงตบไหล่ของสวีโม่ พูดอย่างจริงใจ “สนามรบพลิกผันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ศัตรูจะเปลี่ยนยุทธวิธีตามสถานการณ์ของเรา ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยน แต่เราไม่เปลี่ยน ไม่เท่ากับว่าวิ่งไปตายหรือ ข้าคาดว่าผู้เข้าชิงตำแหน่งแม่ทัพคนถัดไปจะต้องพยายามทะลวงเกราะอย่างแน่นอน”
“ต่อไปได้เวลาเปลี่ยนประเภทพลแล้ว!”
ฉินเฟิงยื่นบันทึกที่เตรียมไว้ล่วงหน้าให้กับสวีโม่ บอกให้เขาเปลี่ยนประเภทพลตามสัดส่วนข้างต้น
ตราบใดที่ไม่ใช่พลธนูและพลทหารม้าสองอย่างนี้ ประเภทพลอื่น ๆ ต่างมีกลวิธีที่เกี่ยวข้องพลิกผันกันได้
การประลองครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น
“กองทหารของสวีโม่ ปะทะ กองทหารของหลี่ฉี!”
เพื่อจัดการกับเกราะหนัก กองทหารของหลี่ฉีจึงเปลี่ยนสัดส่วนกองกำลังชั่วคราว สี่ในห้าของกองทหารถูกเปลี่ยนเป็นทหารราบโดยมีอาวุธเป็นง้าวยาว เหลือทหารราบเบาจำนวนเล็กน้อยไว้คอยกำบัง
หลี่ฉีมีความมั่นใจอย่างมาก ความหยิ่งผยองฉายชัดทั่วใบหน้า “พลง้าวยาสามารใช้ประโยชน์จากความยาวของอาาวุธทะลวงเกราะหนักได้อย่างสมบูรณ์แบบ สวีโม่จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”
เมื่อทหารฝ่ายสวีโม่เข้าสู่การต่อสู้ รอยยิ้มของหลี่ฉีก็แข็งค้างบนใบหน้า
กองทัพของสวีโม่ซึ่งแต่เดิมประกอบด้วยพลเกราะหนัก ตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลเกราะหนักร้อยนายก่อขบวนทัพ มีพลธนูร้อยนายทางปีกซ้าย และทหารราบเกราะเบาร้อยนายทางปีกขวา
หลี่ฉีตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “พลทหารราบฟังคำสั่ง โจมตีสังหารพลธนูให้เร็วที่สุด!”
เมื่อออกคำสั่งไปเช่นนั้น ก็ปรากฏว่าพริบตาถัดมา พลทหารราบเกราะเบาของฝ่ายสวีโม่ ได้เรียงแถวสามชั้นคุ้มกันพลธนูอยู่ชั้นนอกแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ทหารราบเกราะหนักก็ได้ปิดกั้นเส้นทางการโจมตีของพลง้าวยาว แม้ว่าจะ ‘สละชีพ’ อย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้แก่พลธนูที่จะปล่อยลูกศรเจาะเกราะโจมตีพลง้าวยาว
ปลายลูกศรถูกทาด้วยผงหิน ตราบใดที่ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าอกหรือหน้าท้อง ก็ถือว่าตายในสนามรบ
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว จากระยะห่างนี้พลธนูต่อให้หลับตายิงก็ยังได้ ภายใต้ฝนลูกศรที่ต่อเนื่อง พลง้าวจำนวนมากก็ถูกกำจัดออกไป
ผลลัพธ์สุดท้ายคือทหารหุ้มเกราะหนักทั้งหมดของกองทัพสวีโม่ถูกสังหาร พลง้าวทั้งหมดของกองทัพหลี่ฉีก็ถูกสังหาร เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของทหารราบเกราะเบาและพลธนูของสวีโม่ ทหารราบเกราะเบาจำนวนเล็กน้อยที่เหลืออยู่ของฝ่ายหลี่ฉีก็ไม่มีโอกาสชนะได้อีกต่อไป
ดวงตาของฉินเทียนหู่ส่องประกาย ประทับใจต่อยุทธวิธีนี้อย่างมาก และทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับฉินเฟิงที่กระโดดโลดเต้นอยู่บนกำแพงเป็นแน่
ฉินเทียนหู่ตะโกนอย่างตื่นเต้น “ทหารฝ่ายสวีโม่ชนะ!”
การประลองรอบที่สามและสี่ตามมาติด ๆ
ภายใต้คำแนะนำของฉินเฟิง กองทัพของสวีโม่ได้เปลี่ยนรูปแบบแล้วรูปแบบเล่า ในการประลองครั้งที่สาม ทหารราบเกราะเบาทั้งหมดอาศัยความเร็วเพื่อบุกเข้าไปในขบวนทัพพลธนูของคู่ต่อสู้ และในการประลองรอบที่สี่ ก็เปลี่ยนกลับไปเป็นทหารราบเกราะหนักทั้งหมด ตั้งขบวนทัพกดดันทหารราบเกราะเบาของคู่ต่อสู้ให้จนมุม ล้อมไว้อย่างแน่นหนาจนอีกฝ่ายแพ้ราบคาบ
ใบหน้าของหลี่ซวี่มืดมนอย่างยิ่ง ได้แต่เฝ้าดูกองทัพของสวีโม่เข้าสู่รอบตัดสิน หากกองทัพของสวีโม่ชนะจริง ๆ ฉินเฟิงก็จะได้ตั้งหลักในกองทัพ ในอนาคตหากคิดจะโค่นล้มตระกูลฉิน เกรงว่าจะยากยิ่งขึ้นอีกขั้นแล้ว
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ไม่เพียงแต่มีความรู้ลึกซึ้งในด้านกลยุทธ์ทางการทหารเท่านั้น แต่ยังมีประสบการณ์เชิงปฏิบัติมากมาย เขาเป็นนายน้อยเจ้าสำราญที่ไหนกันเล่า เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารผ่านศึกที่เกษียณจากสนามรบต่างหาก!” หลี่ซวี่ไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็จำต้องยอมรับ
ขุนนางบุ๋นบู๊ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าทหารฝ่ายสวีโม่ที่เป็นกลุ่ม ‘ทหารไร้ความสามารถ’ จะผ่านเข้ามาถึงรอบตัดสินได้
แม่ทัพหลายคนเห็นบุตรหลานในตระกูลถูกคัดออกกับตาตนเอง ล้วนหน้าแดงด้วยความอับอาย
“อะไรกันนี่? สวีโม่เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน ไม่เคยต่อสู้ในสนามรบมาก่อน จะเจนจัดในยุทธวิธีขนาดนี้ได้อย่างไร?”
“เฮ้อ! สวีโม่ก็เป็นแค่เด็กหัวแข็ง กล้าหาญแต่ขาดไหวพริบ พวกท่านดูเอาสิ ไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กเหลือขอบนกำแพงเมืองหรอกหรือที่วางแผนลับหลัง”
“ฮ่า ๆๆ ช่างแปลกใหม่จริง ๆ… เจ้าเด็กคนนั้นกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างกับลิง ไม่มีความสุขุมมั่นคงสักนิด แต่เขารู้จักวางกลยุทธ์เป็นอย่างดีโดยแท้ เพราะอย่างไรเสีย ฉินเฟิงก็เป็นบุตรชายของฉินเทียนหู่ เสนาบดีกรมกลาโหม ดังคำพูดที่ว่าบิดาพยัคฆ์ไม่ออกบุตรสุนัขจริง ๆ”
ความสนใจของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมุ่งไปที่ฉินเฟิงบนกำแพง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ช่างเป็นศาสตร์แห่งการเดิมพันที่ดีจริง ๆ!”
หลี่จ้านสับสน “ศาสตร์แห่งการเดิมพันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแค่นเสียงเบา ๆ มุมพระโอษฐ์ยกยิ้มมีเลศนัย “กลยุทธ์ของฉินเฟิงนั้นพลิกผันอยู่ตลอด แต่สิ่งที่ทรงพลังที่สุดคือ การกุมหัวใจของผู้คน ทุกครั้งเขาสามารถใช้จุดแข็งเพื่อโจมตีจุดอ่อนได้อย่างพอดิบพอดี นี่แสดงให้เห็นว่า เขาเข้าใจความคิดของผู้สมัครคัดเลือกแม่ทัพอย่างละเอียด!”
“การเล่นกับจิตใจของผู้บังคับบัญชามักจะมีบทบาทชี้ขาดในสนามรบ เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่ไปเรียนรู้ทักษะเหล่านี้มาจากที่ใดกัน? เมื่อเทียบกับเขาแล้ว เจิ้นดูเหมือนจะไร้ความสามารถไปเลย”
หลี่จ้านยิ้มเจื่อนร้อนรน “ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้ว ฝ่าบาทเป็นถึงมังกร แม้ว่าฉินเฟิงจะมีความสามารถ แต่เขาก็เป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชานะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทอดพระเนตรมองหลี่จ้าน แล้วตรัสอย่างไม่พอพระทัย “ยังต้องให้เจ้าพูดอีกรึ?”
หลี่จ้านสะดุ้ง ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าพูดอะไรอีก อารมณ์โกรธ และยินดีของฝ่าบาท เขารับใช้มานานหลายสิบปีก็ยังจับจุดไม่ถูก
คำเยินยอไม่ใช่คำที่จะพูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ หากกล่าวผิด อาจทำให้ทรงพิโรธเอาได้ง่าย ๆ
องค์ชายรองสังเกตปฏิกิริยาของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอย่างเงียบ ๆ จากนั้นจึงหันกลับมามององค์ชายเจ็ด และพบว่าองค์ชายเจ็ดกำลังมองดูฉินเฟิงบนกำแพงเมืองด้วยรอยยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าความคิดขององค์ชายเจ็ดก็เกี่ยวพันกับฉินเฟิงเช่นกัน
องค์ชายรองกระแอมในลำคอเบา ๆ แล้วพูดอย่างเย็นชา “น้องเจ็ด เจ้าคิดว่าฉินเฟิงเป็นอย่างไร”
องค์ชายเจ็ดรีบหลุบสายตา พูดตอบด้วยความเคารพ “ฉินเฟิงเป็นคนมีความสามารถที่ยากจะได้พบ ผู้ใดที่ได้เขาไปก็เหมือนกับพยัคฆ์ติดปีกพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาขององค์ชายรองฉายแววเย็นชา แสร้งทำเป็นไม่สนใจ “พูดเช่นนี้ หมายความว่าน้องเจ็ดก็ชื่นชมฉินเฟิงเช่นกันหรือ?”
องค์ชายเจ็ดไม่ทำตัวโดดเด่น และไม่เคยคิดแข่งขันกับองค์ชายรอง “ใคร ๆ ก็ชื่นชอบคนมีความสามารถ ผู้น้องจะสนใจในตัวฉินเฟิงก็ถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ได้ยินมาว่าฉินเฟิงมีจิตใจใฝ่สูง แม้ว่าน้องจะอยากคบเป็นสหาย แต่เกรงว่าจะมีใจแต่ไร้กำลัง”
สตรีผู้บรรเลงฉินเบะริมฝีปาก หันไปกระซิบกับแขกชุดขาวที่อยู่ข้าง ๆ “องค์ชายเจ็ดทรงเก็บงำเก่งนัก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในตัวเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่เขาก็ยังทำตัวเป็นองค์ชายไร้อำนาจ จิตใจลึกล้ำเกินหยั่งถึงจริง ๆ!”
แขกชุดขาวจ้องมองสตรีผู้บรรเลงฉินแวบหนึ่ง จากนั้นลดเสียงลง “ดูให้ดีว่าที่นี่ที่ไหน อย่าได้พูดให้มากความนัก!”
ตอนนี้เอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในสถานที่จัดงาน
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจเอ่ยโต้แย้ง กองทัพของสวีโม่สวมชุดเกราะหนัก อีกทั้งยังมียุทธวิธีที่พลิกผันหลากหลาย เขาจะต้องได้รับคำชี้แนะจากยอดฝีมือเป็นแน่ นี่ไม่ยุติธรรมกับผู้คัดเลือกแม่ทัพคนอื่น ๆ ไม่สู้เพิ่มความยากขึ้นสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางที่เอ่ยขัดขึ้นมา เป็นขุนนางตำแหน่งเล็ก ๆ จากกรมโยธา…
MANGA DISCUSSION