บทที่ 146 ต่อยตีหน้าหมู่บ้าน
ใกล้กับขอบสนาม ฉินเฟิงนั่งสบาย ๆ อยู่บนเก้าอี้หวาย มีผลไม้แห้งหลายชนิดวางอยู่ทางด้านซ้ายมือ และมีธงเล็ก ๆ สีแดงกับสีน้ำเงินอยู่ทางด้านขวา
เมื่อเห็นฉีอวี้ชนะการประลองอย่างง่ายดาย ฉินเฟิงที่ตื่นเต้นมาครึ่งค่อนวัน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง “แค่นี้เองหรือ? ไม่ต่างจากการต่อยตีหน้าหมู่บ้าน ไม่มียุทธวิธีเลยสักนิด แค่อาศัยความดุดันและโหดเหี้ยมเท่านั้น หากลงสนามรบจะไม่ถูกศัตรูทุบตีจนสงสัยในชีวิตเอาหรือ?”
สวีโม่ที่สวมเกราะหนักติดอาวุธครบครันยืนอยู่ข้าง ๆ พลางยิ้มขื่นออกมา “ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันในระยะประชิด มิใช่เพราะต้องการแสดงออกถึงความดุดันและโหดเหี้ยมของพวกเขาหรอกหรือ? โทษพวกเขาไม่ได้หรอก”
หลินฉวีฉีผู้อยู่อีกด้านหนึ่ง แม้จะไม่เข้าใจเรื่องการทหาร แต่ก็สามารถมองความลับเบื้องหลังออก เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม้ว่าหน่วยลาดตระเวนจะดูยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง แต่ก็ยังอ่อนประสบการณ์เกินไปในแง่การทำสงคราม”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกเหมือนถูกขัดความสุข เขาคว้าถั่วลิสงหนึ่งกำมือโยนเข้าไปในปาก แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่น่าแปลกใจที่กองทัพชายแดนต้าเหลียงเราจะถูกเป่ยตี๋โจมตี ถ้าทุกคนยังอยู่แค่ในระดับนี้ ไม่สู้ผูกหมาสองสามตัวไว้ที่ชายแดนยังจะดีเสียกว่า”
หลินฉวีฉีขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยค้าน “พี่ฉิน ใส่ใจกับสถานะของเจ้าด้วย วาจาหยาบคายนัก! เจ้าก็เป็นปัญญาชน อย่าได้เอ่ยวาจาดูถูกไร้มารยาทเช่นนั้น”
ฉินเฟิงยักไหล่ “มารยาทกับผีน่ะสิ!”
หลินฉวีฉีโมโหจนหน้าแดงหูแดง แต่เขาจะทำอะไรฉินเฟิงได้ บนโลกนี้มีเพียงฉินเทียนหู่กับพวกคุณหนูเท่านั้นที่สามารถจัดการบุรุษผู้นี้
สวีโม่ก็ไม่พอใจอยู่บ้างเช่นกัน เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม “แม้การต่อสู้ครั้งนี้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่พี่ฉินพูด อย่างน้อยบุรุษแห่งต้าเหลียงเราก็มีความกล้าหาญที่ไม่มีใครเทียบได้”
ฉินเฟิงแคะจมูก และพูดประชดด้วยท่าทางประหลาด ต่อให้เจ้าตัวกำลังกินอยู่ก็ไม่สามารถหยุดปากเสีย ๆ ได้เลย “พี่สวี สงครามไม่ใช่แค่การสู้ทะเลาะวิวาท มันคือการต่อสู้แบบกลุ่ม ไม่ว่าจะกล้าหาญเพียงใด หากถูกโยนลงไปในสนามรบก็จะจมหายไปในพริบตา บุรุษแห่งแคว้นต้าเหลียงมีความกล้าหาญ และไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับนักรบเป่ยตี๋แบบตัวต่อตัว แล้วอย่างไรเล่า? หากต้องสู้แบบกลุ่มไม่ใช่ว่าจะถูกเป่ยตี๋ทุบตีจนแม้แต่แม่ยังจำไม่ได้หรอกรึ?”
อย่างไรสวีโม่ก็เป็นทหาร เขาหน้าเปลี่ยนสีเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวสลับกัน เขาต้องการจะหักล้าง แต่ไม่สามารถหาเหตุผลที่จะหักล้างได้ ท้ายที่สุดแล้ว ความเสียหายในการสู้รบกับเป่ยตี๋ของต้าเหลียงก็เป็นข้อโต้แย้งที่เห็นได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะการป้องกันอันแข็งแกร่งของเมืองแถบชายแดน เกรงว่าต้าเหลียงคงถูกเป่ยตี๋ตีแตกไปนานแล้ว
การประลองครั้งที่สองได้เริ่มต้นขึ้น
ไม่เหนือจากที่คาดหมาย เป็นการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวที่ดุเดือดอีกครั้ง และทั้งสองฝ่ายก็เละเป็นโจ๊ก หากเป็นการต่อสู้ของคนน้อยกว่าหนึ่งร้อยคนจะเกิดความโกลาหลก็ช่วยไม่ได้ แต่ขนาดมีกอง กำลังถึงสามร้อยคน แล้วยังละเทะไม่เป็นท่าเช่นนี้อีกได้หรือ?
“น่าเบื่อ น่าเบื่อเกินไปแล้ว!” ฉินเฟิงหมดความสนใจกับการประลองในสนามทันที เขาหมุนเก้าอี้หวายไปรอบ ๆ และหันหน้าไปทางตลาดที่คึกคักด้านนอก ชายหนุ่มเริ่มพิจารณาสาวใหญ่ สาวน้อยทั้งหลาย
ชมสาวงามยังน่าสนใจกว่าดูการต่อยตีหลายเท่า…
สวีโม่กับหลินฉวีฉีมองหน้าและถอนหายใจออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็ม ๆ ในที่สุดก็ถึงตาของสวีโม่
เสียงคมชัดของฉินเทียนหู่ดังก้องในสนาม “การประลองครั้งสุดท้ายจะเป็นการประลองระหว่าง สวีโม่ผู้บัญชาการหน่วยลาดตระเวน และเฉิงจางผู้ร่วมประลองที่ได้รับการแนะนำโดยกรมคลัง”
ในที่สุดฉินเฟิงก็พุ่งความสนใจกลับไปที่สนาม เมื่อมองไปยังกองทัพของสวีโม่ที่กำลังเดินขบวนลงสนามอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ในที่สุด ฉินเฟิงก็เผยรอยยิ้มปลาบปลื้ม “หลังจากการฝึกฝนมาทั้งคืน ในที่สุดก็เห็นผลลัพธ์อยู่บ้าง ลำบากสวีโม่แล้ว”
หลินฉวีฉีมองไปที่กองทัพของเฉิงจาง และรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง “ได้ยินมาว่าเฉิงจางเคยฝึกฝนอยู่ในกองทหารรักษาพระราชวัง มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม ทหารสามร้อยนายภายใต้บังคับบัญชาของเขา ล้วนเป็นทหารชั้นยอดที่ถูกดึงตัวมาจากกองทหารรักษาการณ์ เกรงว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้จะเป็นการต่อสู้อันดุเดือดยิ่ง”
ฉินเฟิงเหยียดหยามความคิดเห็นของหลินฉวีฉี เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าสวีโม่ไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะเฉิงจางได้ แม่ทัพที่ได้รับการคัดเลือกก็ควรจะเปลี่ยนคนแล้ว ประสบการณ์ของกองทหารรักษาพระรางชวังงั้นหรือ? ทหารชั้นยอดของกองทหารรักษาการณ์แล้วอย่างไร? เหอะ ๆ! พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นแค่หมอนปักลาย*[1] บุรุษที่กินดีอยู่ดีกลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ไฉนเลยจะมีกำลังในการต่อสู้ให้พูดถึง”
กองทหารทั้งหมดที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวงล้วนเป็นหัวกะทิในหัวกะทิ ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะต้องปกป้องความมั่นคงของอำนาจราชวงศ์ อย่างไรก็ตามในมุมมองของฉินเฟิง พวกเขากลับดูด้อยกว่า อย่างน้อยก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับกองทหารรักษาชายแดนที่มีประสบการณ์ผ่านเลือด ผ่านไฟสงครามมาได้ และแน่นอนว่าในสนามรบมีตัวแปรมากมาย ย่อมไม่อาจสรุปภาพรวมได้โดยง่าย
ฉินเฟิงยืนขึ้น และตะโกนบอกสวีโม่ “เวลาหนึ่งถ้วยชา!”
ความหมายก็คือ ต้องโค่นกองทัพเฉิงจางให้ได้ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ออกจากการประลองด้วยตัวเองซะ
เสียงตะโกนนี้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นด้วย
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมองไปตามเสียง และในที่สุดก็ทอดพระเนตรเห็นฉินเฟิง ทันใดก็อดไม่ได้ที่จะทรงพระสรวล “ทำไมเจ้าเด็กตัวแสบคนนั้นถึงไปยืนบนกำแพงได้? เวลาหนึ่งถ้วยชาหรือ? หมายความว่ากระไร? หรือต้องการกำหนดผลลัพธ์ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา? ดูท่าจะอวดดีไปหน่อยกระมัง!”
ฉินเทียนหู่มีใบหน้ามืดทะมึน ในใจคิดว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ยังอ่อนหัดนัก สองกองทัพเผชิญหน้ากัน การสู้รบด้วยคนสามร้อยคนจะระบุผู้ชนะในเวลาหนึ่งถ้วยชาได้อย่างไร
หลี่ซวี่ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขาอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “นายน้อยฉินมีความทะเยอทะยานจริง ๆ ต้องการเอาชนะเฉิงจางภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา ไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือ หรือแค่คิดทึกทักไปเอง”
หลี่ซวี่มั่นใจอย่างน้อยแปดส่วน ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถเอาทหารชั้นยอดของกองทหารรักษาการณ์ไปเปรียบเทียบกับทหารของหน่วยลาดตระเวนได้
ฝ่ายแรกคือกองทัพที่แท้จริงซึ่งติดอาวุธพรั่งพร้อมและฮึกเหิม ส่วนฝ่ายหลังเป็นเพียง ‘หน่วยลาดตระเวนรักษาความปลอดภัย’ จะสู้กันได้อย่างไร?
ในตอนนี้เองสวีโม่ก็นำกองทัพเข้าสู่การต่อสู้ พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่หนักหน่วงและหนักแน่น
เสียงหัวเราะในที่เกิดเหตุรอบ ๆ หยุดลงกะทันหัน
หลี่ซวี่ลุกขึ้นยืนตรง แววตาพลันขุ่นข้อง “ชุดเกราะหนัก! มีอย่างที่ไหนกัน ฉินเฟิงผู้นี้กำลังโกงอยู่ชัด ๆ! ทูลฝ่าบาท ฉินเฟิงใช้ประโยชน์จากกรมกลาโหม แอบยักยอกชุดเกราะหนักให้กับหน่วยลาดตระเวน ขอฝ่าบาททรงลงโทษเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเพียงโบกพระหัตถ์ และเอ่ยอย่างเย็นพระทัย “เฉิงจางเองก็จัดวางมือลอบยิงธนูมากกว่าสิบคนในกองทัพมิใช่รึ? ไม่เป็นไรหรอก”
ใบหน้าของหลี่ซวี่แดงก่ำ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนั่งลง พร้อมด้วยความโกรธที่สุมอยู่เต็มอก
ในเวลานี้องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังสวีโม่ก็รู้สึกกดดันขึ้นมา และเริ่มพูดคุยกันเสียงเบา
“แม้ว่าเราจะได้เปรียบจากชุดเกราะหนัก แต่คู่ต่อสู้ก็เป็นทหารชั้นยอดของกองทหารรักษาการณ์ หากต้องต่อสู้ขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าคงยากที่จะรับมือแน่”
“ไอหยา แม้ว่ามันจะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อความทะเยอทะยานของผู้อื่น แต่ความแตกต่างของความแข็งแกร่งนั้นใหญ่เกินไปจริง ๆ กองทหารรักษาการณ์ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่บุกรุกวังหลวง ส่วนพวกเราต้องเผชิญหน้ากับกองโจรในเมือง คู่ต่อสู้มีความแตกต่างกัน ดังนั้นระดับการฝึกฝนก็ไม่อาจเทียบกันได้”
“หากเราแพ้ เราจะอธิบายให้นายน้อยฉินฟังอย่างไร?”
เมื่อได้ยินการสนทนาจากด้านหลัง สวีโม่ก็กัดฟัน เขาตวาดด้วยใบหน้าดำทะมึน “หุบปากให้หมด! ใครก็ตามที่บั่นทอนขวัญกำลังใจของกองทัพจะถูกลงโทษทันที!”
หลังจากสวีโม่ตะโกนเช่นนี้ เสียงรบกวนจากด้านหลังก็เงียบลงในที่สุด
แม้ว่าสวีโม่จะรู้สึกกดดันอย่างหนัก แต่เพื่อให้ได้ตำแหน่งแม่ทัพมา เขาไม่อาจถอยกลับได้ เขาตะโกนเสียงเย็น “รักษาฝีเท้าให้มั่น ใครก็ตามที่กล้าเล่นลูกไม้ ข้าจะถลกหนังมันผู้นั้นหลังสิ้นสุดการประลอง!”
องครักษ์รีบรุดเข้าหากัน เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยร่างกายเครียดเกร็ง
เมื่อเห็นว่ากองทัพสวีโม่รู้สึกประหม่าเพียงใด เฉิงจางก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “เหอะ ๆ ถุงสานจากฟาง*[2] พวกนี้น่ะหรือจะทลายขบวนทัพของข้าภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา? นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลย!”
[1] หมอนปักลาย หมายถึง ดูดีแต่ไม่มีความสามารถ
[2] ถุงสานจากฟาง หมายถึง คนโง่เขลา ไม่เป็นโล้เป็นพาย
MANGA DISCUSSION