บทที่ 142 วิถีดาบคนบ้า
ฆ่าเกาซงหรือ? ล้อเล่นอะไรกัน! เขาเป็นถึงบุตรชายของมหาเสนา มองดูทั่วทั้งเมืองหลวงถือเป็นบุตรหลานชนชั้นสูง
ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินมาว่ามหาเสนาเกาเข้าสู่วัยชราแล้วถึงได้มีบุตรชายคนนี้ เขาย่อมมองว่าเกาซงเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า
หากเกาซงเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ เกาหมิงจะต้องแก้แค้นไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
ฉินเฟิงไม่ได้โง่ขนาดนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ เกาซงจะต้องได้รับผลของการกระทำ!
ทันใดฉินเฟิงก็หยิบมีดทำครัวออกมาจากห้องครัว โดยมีจี้อ๋องกับฉินเทียนหู่เป็นพยาน เขาแสร้งทำเป็นบ้า ปากเบี้ยว ตาเหล่ และปล่อยให้น้ำลายไหลออกมาจากมุมปาก เขามองเกาซงอย่างล่องลอยราวกับคนป่วย พลางเอื้อนเอ่ยคำถามที่ไม่ชัดเจนนัก
“ข้าไปทำอะไรให้นายน้อยเกาไม่พอใจอย่างนั้นหรือ? ทำไมเจ้าถึงรังแกใส่ร้ายข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า… เอ๊ะ เจ้าเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงอยากเอามีดมาแทงข้า”
ดวงตาของเกาซงตกตะลึง ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าฉินเฟิงสติไม่ดีเพราะตกน้ำ และมักจะสติฟั่นเฟือนบ่อยครั้ง
ยังไม่ต้องคิดว่าคนบ้าฆ่าคนแล้วต้องชดใช้ด้วยชีวิตหรือไม่ หากฉินเฟิงใช้ความบ้าคลั่งนี้แทงเกาซงจริง ๆ เขาก็คงไม่มีเวลาได้ร้องไห้เสียใจแล้ว
เกาซงมองดูมีดทำครัวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมัน เขาตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เสียงก็เริ่มสั่นเครือขึ้นมา “ฉินเฟิง เจ้า… อย่าเข้ามา ๆ เจ้าตั้งสติไว้ อย่ามาอาการกำเริบตอนนี้! ข้าเป็นบุตรชายมหาเสนา แม้ว่าเจ้าจะบ้า แต่ถ้าเจ้ากล้าฆ่าข้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ฉินเฟิงก็โกรธมาก ชายหนุ่มโบกสะบัดมีดทำครัวไปมา เดี๋ยวกระโดดขึ้น เดี๋ยวก็กระโดดลง “เจ้าทำให้ข้าตกใจ! ข้าตกใจมาก! ข้ารู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว”
เมื่อมองดูมีดทำครัวที่บินขึ้นลง เกาซงก็ตัวสั่นไปทั้งร่าง เขากลิ้งตัวคลานไปที่ประตู น่าเสียดายที่ประตูลงกลอนเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถเปิดออกได้
เกาซงทำได้แค่ทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง คร่ำครวญราวใจจะขาด “ช่วยด้วย ฆ่าคนแล้ว! ฉินเฟิงอาการกำเริบจะฆ่าคนในที่สาธารณะแล้ว เปิดประตูเร็วเข้า!”
“ข้าชื่อเกาซงเป็นบุตรชายมหาเสนาเกา หากใครมาช่วยข้า นายน้อยอย่างข้าจะให้รางวัลอย่างงาม เปิดประตูเร็วเข้า!”
ไม่ว่าเกาซงจะกรีดร้องดังเพียงใด ประตูก็ไม่ขยับเขยื้อน
เขาไม่รู้เลยว่านอกประตูนั้นเต็มไปด้วยผู้คน มือปราบจากศาลาว่าการกรมเมืองก็อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก สวีโม่นำทหารองครักษ์จากกองลาดตระเวน และกองทหารจากกรมกลาโหมมาล้อมประตูหอสุราไว้
แม้ว่าเสียงร้องโหยหวนของเกาซงจะดังเหมือนสุกรถูกเชือดอยู่ข้างในตลอดเวลา แต่ทุกคนก็ทำเป็นหูหนวก ไม่ได้โต้ตอบอะไร
ตอนที่เกาซงตะโกนร้องอย่างโหยหวนแต่ไร้การตอบรับ ฉินเฟิงก็โบกมีดทำครัวพุ่งมาทางเกาซงแล้ว
“อ๊าก!”
พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังลั่นจนน่าตกใจของเกาซง มีดทำครัวพุ่งผ่านหน้าเขา ปักเข้าที่แผงประตูเหนือหัวของนายน้อยเกาอย่างแม่นยำ…
แม้ว่าจะไม่ได้ถูกฟันแต่เกาซงก็ยังคงหวาดกลัวมาก เพื่อเอาชีวิตรอด เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป นายน้อยเการ้องไห้เสียงดังพลางเอ่ยขอร้องอ้อนวอน “ฉินเฟิง ไม่นะ ท่านพี่! ข้าผิดไปแล้ว โปรดละเว้นชีวิตสุนัขเช่นข้าด้วย ข้าไม่กล้าเป็นศัตรูของเจ้าอีกต่อไปแล้ว!”
ฉินเฟิงราวกับไม่ได้ยิน ดึงมีดทำครัวออกมาอย่างแรงด้วยสีหน้าสับสน “แปลกจริง มันพลาดเป้าไปได้อย่างไร? เอาใหม่!”
สิ้นประโยค ฉินเฟิงก็หยิบมีดทำครัวขึ้นมา แล้วเหวี่ยงมันออกไปอีกครั้ง
“อ๊าก!”
เกาซงกรีดร้องอีกครั้ง
ตามที่คาดไว้ มีดพลาดเป้าตามเคย ครั้งรี้คมมีดฝังอยู่บนกรอบหน้าต่างหลังไหล่ขวาของเกาซง ฉินเฟิงใช้ความพยายามอย่างมากในการดึงมีดทำครัวออกมา และแทงไปอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ทุกครั้งที่เหวี่ยงมีด เกาซงก็รู้สึกเหมือนกับว่าขาข้างหนึ่งของเขาได้ก้าวเข้าไปในประตูนรกแล้ว
ทั้งหอสุราธารหยก สะท้อนเสียงกรีดร้องของเกาซงก้องอย่างไม่ขาดสาย
สวีโม่ที่เฝ้าประตูเช็ดเหงื่อเย็น ๆ ออกจากหน้าผาก พลางพึมพำเสียงเบาออกมา “ฉินเฟิงคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนสุภาพ ทำไมเขาถึงโหดร้ายขนาดนั้น? เสียงกรีดร้องนี่น่าผวาเกินไปแล้ว…”
เมื่อเห็นว่าเกาซงรู้สึกหวาดกลัวจนร่าง ‘กระตุก’ ฉินเฟิงถึงได้โยนมีดทำครัวออกไปด้วยความพึงพอใจ
เช่นเดียวกับบุตรหลานขุนนางจำนวนมาก เกาซงเป็นคนโหดเหี้ยม เก่งในเรื่องใช้อุบาย
น่าเสียดาย เขาอยู่เมืองหลวงมานานขนาดนี้แต่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย เขาหวงแหนชีวิตตนเอง ทั้งยังขี้ขลาดเหมือนหนู แค่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ถูกฉินเฟิงหลอกจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หวาดกลัวจนฝันร้าย
อย่าว่าแต่เกาซง แม้แต่จี้อ๋องกับฉินเทียนหู่ก็ยังเหงื่อออก เพราะเกรงว่าฉินเฟิงจะฆ่าเกาซงด้วยมีดเล่มเดียวเข้าจริง ๆ
เมื่อเห็นฉินเฟิงโยนมีดทิ้ง ทั้งสองคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จี้อ๋องเหลือบมองเกาซงที่ดูสิ้นหวัง เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงหันไปหาฉินเทียนหู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ใต้เท้าฉิน เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ หากทำให้บานปลายต่อไปเกรงว่าฮ่องเต้จะไม่พอพระทัย วันพรุ่งนี้เป็นพิธีชำระอาภรณ์ยังต้องเตรียมการให้รัดกุมอีกมาก”
ฉินเทียนหู่รู้ดีว่า การที่จี้อ๋องยอมมองอย่างนิ่งเฉยไม่ได้ยื่นมือเข้าแทรกนั้น นับเป็นความโปรดปรานอย่างที่สุดที่มอบให้ได้สำหรับตระกูลฉินแล้ว เสนาบดีกรมกลาโหมจึงโค้งคำนับ พลางเอ่ยตอบด้วยความเคารพ “ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าน้อยจะลงโทษฉินเฟิงอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ไปก่อเรื่องก่อราวอะไรอีก”
จี้อ๋องพยักหน้าเบา ๆ หันกลับไปมองฉินเฟิงด้วยสายตาลึกล้ำ อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว และยิ้มอย่างขมขื่น ในใจก็คิดกับตัวเองว่า…เด็กคนนี้เข้าใจ ‘ใช้ขนไก่เป็นลูกศร*[1]’ จริง ๆ ขยับนิดขยับหน่อยก็แกล้งทำเป็นบ้า ผู้มีสายตาเฉียบแหลมจะไม่รู้เชียวหรือว่าเขาแค่แกล้งทำ?
เจ้าหนุ่มคนนี้รู้ทั้งรู้ แต่เขาก็ยังแกล้งทำเป็นคนโง่อย่างไร้ยางอาย
จี้อ๋องมองฉินเฟิงด้วยสายตาสื่อนัย ‘ระวังนะเจ้าหนู’ จากนั้นจึงหันหลังจากไปโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนจากจวนสกุลเกามาพาเกาซงที่หมดสติกลับไป
สองชั่วยามต่อมา ฉินเฟิงกับฉินเทียนหู่นั่งอยู่ที่ห้องโถงของหอสุรา ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร รอให้มหาเสนาเกามาโจมตีอย่างเงียบ ๆ
รอจนกระทั่งม่านราตรีร่วงโรยก็ยังไม่เห็นมหาเสนาเกาปรากฏตัว เมื่อฉินเทียนหู่ขอให้เพื่อนร่วมงานไปสืบดู ก็ได้ความว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่ศาลต้าหลี่เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ามหาเสนาเกาสามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และกล้ำกลืนความอัปยศนี้ลงไป
ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดแต่ก็สมเหตุสมผล
ท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงยังมีจุดอ่อนของพวกเขาอยู่ในกำมือ หากทำให้เรื่องบานปลาย ย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครเลย
ฉินเฟิงลุกขึ้นยืดเอวบิดขี้เกียข เขารู้สึกดีมาก เลยเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “ดูเหมือนว่านายน้อยเกาจะไม่สามารถออกมาสร้างเรื่องได้อีกพักใหญ่ ต่อไปก็สามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการศึกอย่างจริงจังได้แล้ว”
ทันทีที่สิ้นประโยค ฉินเฟิงก็ถูกเตะเข้าที่ก้นหนึ่งที
ฉินเทียนหู่มีใบหน้าบูดบึ้ง เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ชมเข้าหน่อยเจ้าก็เหลิงเลยนะ เกาหมิงผู้นั้นคือใคร การได้นั่งในตำแหน่งสามขุนนางใหญ่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขา! ไม่ช้าก็เร็วเกาหมิงจะมาชำระบัญชีนี้กับตระกูลฉินของเรา ในยามนี้พวกเขาอดทนไว้ หมายความว่าภายภาคหน้าจะต้องโจมตีกลับอย่างรุนแรงเป็นแน่!”
หากเป็นก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงคงจะซ่อนตัวให้ห่างอย่างแน่นอน เพราะกลัวว่าจะถูกฉินเทียนหู่ลากคอลงกับพื้น แต่คราวนี้ฉินเฟิงไม่ได้หลบเลี่ยง
แม้ว่าฉินเทียนหู่จะอารมณ์ร้าย แต่ท่าทางที่พุ่งมาปกป้องเขาของอีกฝ่ายวันนี้ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกอบอุ่นในใจ เขาแค่ยกมือปิดก้น เบะริมฝีปาก แล้วกัดฟันแน่นแสดงความคับข้องใจเท่านั้น
“หากตาแก่คนนั้นกล้ามา ข้าก็จะจัดการเขาพร้อมกันไปเลย!”
เมื่อเห็นฉินเฟิงหยิ่งยโสมากเพียงนี้ ฉินเทียนหู่ก็แทบจะเดือดดาล แต่เขาก็ข่มความโกรธเอาไว้ คร้านเกินกว่าจะคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าเด็กสารเลว แล้วเสนาบดีกรมกลาโหมก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
แทนที่จะเสียเวลาคุยกับฉินเฟิง ไม่สู้รีบไปจัดการสถานที่สำหรับพิธีชำระอาภรณ์จะดีกว่า
ทันทีที่ฉินเทียนหู่จากไป คนกลุ่มใหญ่ก็รีบพุ่งเข้ามาในหอสุรา
ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลิ่วหงเหยียนและคนอื่น ๆ!
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เป็นอันตรายอะไร ทั้งยังเชิดหน้าชูคออยู่ได้ หลิ่วหงเหยียนก็คลายความกังวลลง นางด่าพร้อมรอยยิ้มทันที “เจ้าเด็กตัวเหม็น ใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าไม่กล้าทำจริง ๆ!”
MANGA DISCUSSION