บทที่ 141 เกาซงศัตรูคู่แค้น
หนิงหู่ตกอยู่ในความเงียบงัน ย้อนความทรงจำถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความคับข้องใจระหว่างเขากับฉินเฟิงทั้งหมด เริ่มต้นเพราะเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์กับเขาไร้วาสนาต่อกันแล้ว หมายความว่าต่อสู้กับฉินเฟิงต่อไปก็ไม่มีความหมายใด
บิดาของเขาเคยวางแผนที่จะฝึกให้เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าเหลียงในอนาคต แต่ตอนนี้เขากลายเป็นเหยื่อของความบาดหมางระหว่างความขัดแย้งในราชสำนัก ช่างน่าอับอายมากจริง ๆ
การตระหนักรู้อย่างกะทันหันของหนิงหู่ ทำให้ชายหนุ่มหน้าแดงด้วยความอับอาย เขาแทบอยากจะมุดดินหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หนิงหู่ก็คุกเข่าลงคำนับฉินเฟิงสามครั้ง คำรามออกมาพร้อมดวงตาที่แดงก่ำ “ฉินเฟิง! การคำนับนี้ไม่ใช้เพื่อตัวข้าเอง แต่เพื่อทั้งตระกูลหนิงของข้า เจ้าพูดถูก! ข้าทำให้ท่านพ่อผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังผิดต่อต้าเหลียง ข้าควรจะต่อสู้ในสมรภูมิเลือด แต่กลับตกอยู่ในวังวนแผนการ ช่างน่าขายหน้านัก”
หนิงหู่ยังเด็กเกินไป อารมณ์ของเขาแปรปรวนไม่แน่นอน ก่อนจากไปเขายังเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าด้วย
เมื่อมองดูเงาร่างที่จากไปของหนิงหู่ จี้อ๋องก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ถอนหายใจ “ธรรมชาติของหนิงหู่ก็ไม่ได้แย่ แต่บุคลิกของเขามุทะลุเกินไปเลยถูกหลอกใช้ได้โดยง่าย โชคดีที่เขาได้เผชิญหน้ากับฉินเฟิง หากเป็นคนอื่น ข้าเกรงว่าเขาคงจะไม่มีกระดูกเหลืออยู่แล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จี้อ๋องก็ประสานมือคำนับฉินเทียนหู่ “ฉินเฟิงรู้จักแยกแยะปล่อยวาง แม้ว่าจะจัดการเรื่องราวได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็ไม่ไร้เยื่อใยต่อผู้คน อ๋องอย่างข้านับถือ อีกอย่างหย่งอันโหวเคยมีส่วนช่วยต้าเหลียงไว้มาก ตอนนี้ฉินเฟิงปล่อยหนิงหู่ไป ก็ถือว่าได้มอบคนมีความสามารถให้แก่ต้าเหลียง ใต้เท้าฉินเลี้ยงบุตรได้ดี ข้าขอแสดงความนับถือจริง ๆ”
ฉินเทียนหู่ยังรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของฉินเฟิง กอปรกับคำชมจากจี้อ๋อง หัวใจของเขาพลันเต้นระรัว แม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดี “ข้าน้อยจะรับการคำนับจากท่านอ๋องได้อย่างไร บุตรสุนัขยังจัดการเรื่องได้ไม่ดีนัก ทำให้ท่านอ๋องขบขันแล้ว”
ในเวลานี้เหลือเพียงเกาซงคนเดียวเท่านั้น
ในใจเกาซงทั้งโกรธและสับสน ทำไมฉินเฟิงถึงผ่อนปรนต่อคนอื่น ๆ แต่กับเขากลับก้าวร้าวบีบคั้นมากเพียงนี้?
ฝ่ามือเมื่อครู่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายเจ็บแสบ!
ภายใต้สายตาที่ทั้งไม่พอใจและหวาดกลัวของเกาซง นายน้อยฉินเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มน่าขนลุกบนใบหน้า
เดิมคิดว่าฉินเฟิงจะใช้โอกาสข่มขู่รีดไถเงินจำนวนมหาศาล
แต่ปรากฏว่าเกินความคาดหมาย ฉินเฟิงตบเขาด้วยหลังมือโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสียงเพียะดังก้องไปทั่วห้องโถงหอสุรา
หลังจากตบไปสองครั้ง แก้มของเกาซงก็บวมเป่ง เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงลงแรงเต็มที่ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย
เกาซงรู้สึกเหมือนในหัวมีเสียงวิ้ง ๆ ดวงตาก็เริ่มพร่ามัว ความเกลียดชังในใจค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก
ทำไม ทำไม ทำไมกัน! เกาซงคำรามอยู่ในใจ ทำไมฉินเฟิงถึงได้พุ่งเป้ามาที่เขาแบบนี้?!
จี้อ๋องกับฉินเทียนหู่มองหน้ากันอย่างสับสน
ฉินเทียนหู่ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงเอ่ยถามไปโดยตรง “ฉินเฟิง ไยเจ้าจึงโหดร้ายกับเกาซงขนาดนี้”
จากมุมมองของฉินเทียนหู่ การเคลื่อนไหวของฉินเฟิงเป็นเพียงการระบายความไม่พอใจของตนเองเท่านั้น หากต้องระบายความโกรธแค้น บีบคั้นลูกพลับอ่อน*[1] อย่างเฉิงฟาหรือฉีเชิ่งที่สูญเสียอำนาจไปแล้ว หรือแม้แต่หลี่รุ่ย ฉินเฟิงก็สามารถทำได้ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงต้องเลือกลงมือต่อเกาซงที่มีฐานะสูงสุดด้วย? นี่ไม่ใช่การสร้างปัญหาเพิ่มหรอกหรือ?
เมื่อเผชิญกับคำถามของฉินเทียนหู่ ฉินเฟิงหันกลับมา แล้วการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากทันที ชายหนุ่มเบะปากร้องไห้ ทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านพ่อ! เกาซงต้องการจะฆ่าลูกให้ตาย ทั้งยังต้องการให้ตระกูลของเราบ้านแตกสาแหรกขาด ท่านคิดว่าเขาควรจะถูกทุบตีหรือไม่ขอรับ?”
ทันทีที่สิ้นประโยค ฉินเทียนหู่ก็ตระหนักได้ทันที ดวงตาของเขาเปลี่ยนจากความสับสนเป็นโล่งใจ และเอ่ยชมเชยโดยตรง “ทำได้ดีมาก!”
แม้ว่าหลี่รุ่ยจะเคยลงมือโหดร้ายกับฉินเฟิง แต่นั่นก็เป็นตอนที่เจ้าของร่างเดิมอยู่ นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่ผ่านมา เงินทุนของหลี่รุ่ยก็ถูกฉินเฟิงรีดเค้นมาหมดแล้ว นอกเหนือจากการทำร้ายทางวาจา อีกฝ่ายก็ไม่สามารถสร้างคลื่นลมอะไรได้อีก
แต่เกาซงแตกต่างออกไป แรกเริ่มเขาต้องการยัดฉินเฟิงเข้าคุกเจ้ากรมเมือง หลังจากนั้นก็ยังวางแผนใส่ร้ายฉินเฟิงอย่างโหดเหี้ยมทุกครั้ง
สำหรับคนแบบนี้ ฉินเฟิงย่อมไม่มีทางไว้ไมตรีแม้แต่น้อย
ในที่สุดเกาซงก็ตระหนักได้ว่า ตั้งแต่แรกฉินเฟิงถือว่าเขาเป็นศัตรูคู่แค้น และการปฏิบัติต่อศัตรูย่อมไร้ความเมตตา
ความกลัวแพร่กระจายอยู่ภายในใจของเกาซง เขารีบพูดด้วยความตื่นตระหนก “ฉิน… ฉินเฟิง ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป นับจากนี้ ความแค้นของเจ้ากับข้าจะถือว่าหายกัน”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเกาซงก็ยอมแพ้ มุมปากของฉินเฟิงจึงผุดรอยยิ้มกว้าง “เดี๋ยวพอข้าปล่อยเจ้าไป เจ้าก็จะวางแผนมาจัดการข้าอีก พี่เกา ข้าเป็นคนขี้กลัว พอข้าตกเป็นเป้าหมายของคนชั่ว ข้าจะนอนไม่ค่อยหลับ ถ้าข้าไม่จัดการเจ้าให้สิ้นซาก เกรงว่าข้าคงนอนไม่หลับกินไม่อิ่ม”
ใบหน้าของเกาซงเปลี่ยนไปอย่างมากเพราะอาการตกใจ ทั้งร่างร่วงล้มจากเก้าอี้กระแทกพื้นด้วยความตื่นตระหนก “เจ้าจะทำอะไร ฉินเฟิง ถ้าเจ้ากล้าฆ่าข้า พ่อของข้าจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”
เห็นฉินเฟิงเพียงเอียงศีรษะ ทำท่าทางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ เกาซงก็รู้ได้ว่าฉินเฟิงไม่ได้แค่ข่มขู่เท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน เกาซงก็นึกถึงคำแนะนำของจ้าวฉางฟู่ขึ้นมา…อยากรับมือกับฉินเฟิงได้ มีวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการลงมือฆ่าให้ตายในดาบเดียว หากเล่นกลยุทธ์ทางจิตใจกับอีกฝ่าย เราจะตายโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เกาซงเข้าใจความน่ากลัวของ ‘คนบ้า’ ที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่มันก็สายเกินไป
ภายใต้ความร้อนใจ เกาซงจึงวิ่งไปหาจี้อ๋องเพื่อขอร้องอ้อนวอน “ท่านอ๋องเฒ่า ท่านช่วยบอกฉินเฟิงด้วย บอกเขาว่าอย่าทำเกินไป ถือว่าเห็นแก่ท่านพ่อของข้าเถิด”
เหล่าบุตรหลานขุนนางในเมืองหลวง ส่วนมากล้วนมีจี้อ๋องเฝ้ามองพวกเขาเติบใหญ่ เมื่อมองดูเกาซงในสารรูปเช่นนี้ จี้อ๋องย่อมหักใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉินเฟิงเกี่ยวข้องกับเรื่องการศึกเป่ยตี๋ และเรื่องศึกกับเป่ยตี๋ก็เกี่ยวข้องกับต้าเหลียง ชั่งน้ำหนักความสำคัญแล้ว จี้อ๋องยังคงแยกแยะได้อย่างชัดเจน
ในท้ายที่สุด เขาก็แค่ถอนหายใจ และพูดว่า “ในเมื่อรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้าทำแบบนั้นไปทำไม? มหาเสนาเกาอยู่ในราชสำนัก ย่อมต้องทำงานราชการจะกระทำการเห็นแก่ตัวไม่ได้ นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา ในฐานะบุตรของขุนนาง เจ้าควรไตร่ตรองตัวเองถึงจะถูก หากไร้ความสามารถแต่สอดมือเข้าแทรกแซงเรื่องราชการอย่างไร้เหตุผล นี่ก็คือจุดจบที่เจ้าจะต้องเจอ”
เมื่อเห็นว่าจี้อ๋องไม่สนใจ เกาซงก็ทำได้เพียงคว้าฟางเส้นสุดท้ายจากร่างของฉินเทียนหู่ เขาเอ่ยพูดทั้งน้ำตานองหน้า “ใต้เท้าฉิน หากข้าเป็นอะไรไปจริง ๆ พ่อของข้าจะไม่ปล่อยไปแน่ หรือท่านอยากให้ราชสำนักวุ่นวายหรือ?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ฉินเทียนหู่ก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน และเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “น่าขันนัก! มีฮ่องเต้ประทับอยู่ ใครจะสามารถทำให้ราชสำนักวุ่นวายได้ เจ้าหนุ่ม คำพูดนี้ของเจ้า หรือว่าจะกล่าวโทษพ่อของเจ้าว่าเขาจะสร้างความเสียหายต่อแว่นแคว้นและราษฎร?”
ใบหน้าของเกาซงซีดลง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ อย่าว่าแต่สามขุนนางสูงสุดเลย แม้แต่ท่านอ๋องยามอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ก็ยังต้องเรียกตัวเองว่า ‘กระหม่อม’
เป็นขุนนางสูงสุดที่ได้รับความนับถือแล้วอย่างไรเล่า? ต่อหน้าฮ่องเต้ บิดาเขาไม่นับว่าเป็นตัวอะไรทั้งนั้น!
เกาซงทรุดตัวลงบนพื้น มองดูฉินเฟิงด้วยความกลัว “ฉินเฟิง เจ้ากล้าฆ่าข้าจริงหรือ? พ่อ… พ่อของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่…”
พูดไปได้ครึ่งประโยค เกาซงก็เปลี่ยนใจ และคร่ำครวญด้วยความสิ้นหวัง “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย…”
[1] ลูกพลับอ่อน : หมายถึง คนที่ไร้อำนาจ ง่ายต่อการกลั่นแกล้ง
MANGA DISCUSSION