บทที่ 140 ปิดประตูตีสุนัข
ดังสุภาษิตที่ว่า เมื่อโอรสสวรรค์ทำผิดก็มีความผิดเช่นเดียวกับคนทั่วไป
ในอุดมคตินั้นคำพูดนี้ฟังดูสวยงาม แต่ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
อย่าว่าแต่โอรสสวรรค์ แม้แต่บุตรหลานขุนนางคนใดคนหนึ่งก็สามารถทำให้สุภาษิตที่ว่านี้เป็นแค่เรื่องไร้สาระ และเหยียบย่ำมันลงพื้นได้
ทั้งจี้อ๋องกับฉินเทียนหู่ต่างมีประสบการณ์มาก่อน ในใจย่อมรู้ดีว่าการได้รับค่าชดเชยจำนวนมหาศาล และไม่ต้องกังวลไปตลอดชีวิต ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับหญิงม่ายผู้นี้แล้ว
จี้อ๋องพยักหน้าเบา ๆ และมองดูฉินเฟิงด้วยความชื่นชมในสายตา อดไม่ได้ที่จะยกย่องฉินเทียนหู่ “แม้ว่าฉินเฟิงจะยังเด็ก และเลือดร้อนไปบ้าง แต่เขาไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ทำอะไรก็รู้ตื้นลึกหนาบาง ใต้เท้าฉินสอนบุตรได้ดีจริง ๆ ข้านับถือ”
ใบหน้าของฉินเทียนหู่ขึ้นสีแดงเรื่อ ปรากฏรอยยิ้มผุดพรายบนริมฝีปาก “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว ฉินเฟิงยังเด็กนัก เขายังต้องเติบโตขึ้นอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จี้อ๋องก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน ด้วยความสามารถของฉินเฟิง ยังต้องเติบโตต่อไปอีกหรือ? จะไม่ปล่อยให้เด็กคนอื่น ๆ ได้เป็นที่เชิดหน้าชูตาบ้างเลยหรือไร?
หลังจากเรื่องเงินชดเชยได้รับการตกลงเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็ขอให้สวีโม่ที่กำลังรออยู่ตรงประตูช่วยส่งหน่วยลาดตระเวนพาหญิงม่ายไปส่ง และดูแลเรื่องการชดเชยให้แล้วเสร็จ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในหอสุราก็ไม่มีบุคคลภายนอกอีก
ฉินเฟิงปัดเป่าท่าทางจริงจังก่อนหน้านี้ของเขาออกไปทันที นายน้อยเจ้าสำราญลุกยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า เอามือไพล่หลัง แล้วเดินไปรอบ ๆ ฉีเชิ่ง วางมาดอย่างคนเจนจัดมากประสบการณ์ และเอ่ยพูดอย่างจริงจัง “ใต้เท้าฉีไม่ต้องกังวล ตอนนี้ไม่มีคนนอกอยู่แล้ว เรามาพูดกันตรง ๆ ดีกว่า… ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าฉีเป็นศิษย์คนโปรดของมหาเสนาเกา ช่วงนี้ท่านพุ่งเป้ามาที่ข้าตลอด เป็นคำสั่งของมหาเสนาเกาอย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าของฉีเชิ่งเดี๋ยวก็มืดมนอย่างมาก เดี๋ยวก็ทำอะไรไม่ถูก
และก่อนที่ฉีเชิ่งจะได้เอ่ยตอบ เกาซงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กัดฟันกรอด และตะโกนว่า “ถ้าใช่แล้วจะทำไม!”
ทันทีที่สิ้นประโยค ฉินเฟิงก็ตบชายหนุ่มด้วยหลังมือทันที
เพียะ!
เสียงดังคมชัด
ฝ่ามือนี้ไม่เพียงทำให้เกาซงตกตะลึงเท่านั้น แต่ยังทำให้ฉินเทียนหู่กับจี้อ๋องตกใจด้วย
มหาเสนาเกาเป็นหนึ่งในสามขุนนางสูงสุด แม้ว่าจะเป็นจี้อ๋อง แต่ก็ต้องเห็นแก่หน้าของมหาเสนาเกา เขาจึงไม่สามารถลงมือต่อเกาซงได้โดยตรง กลับกันแล้ว เจ้าเด็กฉินเฟิงคนนี้ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย เขาคิดจะตีก็ตีได้หรือ?
เกาซงรู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนเป็นไฟ ดวงตาเบิกเขม็ง ใช้เวลานานกว่าจะกลับมามีสติ เขาจึงตวาดเสียงเกรี้ยว “ฉินเฟิง! เจ้าอย่าทำเกินไปนัก! ข้าเป็นบุตรชายของมหาเสนา เจ้ากล้าดียังไงมาทำกับข้าเช่นนี้!”
ฉินเฟิงแคะหูของเขา แล้วยกยิ้ม “ฮะ? บุตรชายมหาเสนา? ข้าได้ยินมาว่ามีเพียงฐานันดรศักดิ์ที่สามารถสืบทอดได้ แล้วตั้งแต่เมื่อใดกันที่ตำแหน่งมหาเสนาก็สืบทอดให้ลูกหลานได้? พี่เกา ความสำเร็จของบรรพบุรุษหาได้เกี่ยวอะไรกับตัวเราไม่ เราต่างก็เป็นคนธรรมดาสามัญ เจ้าจะมาเป็นผู้สูงศักดิ์อะไรแถวนี้?”
“ในเมื่อข้าไม่ได้ขอให้เจ้าพูด เจ้าก็อย่าสอดปาก!”
เกาซงตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสบกับสายตาที่ดูเหมือนจะล่องลอยแต่กลับมั่นคงของฉินเฟิง เกาซงก็อดจะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจไม่ได้ และยังรู้สึกว่าตนเองน่าขันอยู่ครู่หนึ่ง คนบ้าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ไม่แม้แต่จะสนใจองค์ชาย แล้วนับประสาอะไรกับสามขุนนางสูงสุดเล่า?
ในขณะเดียวกัน ฝ่ามือของฉินเฟิงครั้งนี้ยังทำลายการป้องกันทางจิตใจของฉีเชิ่งด้วย
ฉีเชิ่งมักจะพึ่งพาความสัมพันธ์กับมหาเสนาเกา จึงมีความมั่นใจเสมอ แต่เมื่อตอนนี้แม้แต่บุตรชายของมหาเสนาเกาก็ถูกทุบตี แล้วจะนับประสาอะไรกับตัวเขา?
สีหน้าของฉีเชิ่งเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาค่อย ๆ รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นทุกขณะ
ฉินเฟิงตบไหล่ฉีเชิ่งเพื่อบอกให้อีกฝ่ายสบายใจ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “ข้าไม่ได้พูดไปแล้วหรือว่าใต้เท้าฉีอย่าเพิ่งกังวลไป ข้าแค่อยากรู้ว่ามหาเสนาเกาคิดอย่างไรก็เท่านั้น ข้าไปขัดหูขัดตาเขาที่ไหนเข้า? หรือเป็นเพราะเรื่องสงครามกับเป่ยตี๋อย่างนั้นหรือ?”
อารมณ์ของฉีเชิ่งซับซ้อนมาก ในด้านหนึ่งเขากลัวความบ้าคลั่งของฉินเฟิง แต่อีกด้านเขาก็ไม่กล้าทรยศมหาเสนาเกา
เมื่อเห็นความลังเลของฉีเชิ่ง ฉินเฟิงจึงพูดอย่างจริงจังทันที “ช่างเถอะ ข้าจะไม่บังคับท่าน ท้ายที่สุดแล้ว สำหรับมหาเสนาเกา ท่านก็เป็นเพียงเบี้ยที่ไม่มีความสำคัญ จากนี้ไปจงอยู่ให้ห่างจากกิจการของตระกูลทั้งหมดก็พอ”
ฉินเฟิงทำเป็นวางท่าแต่ปล่อยไปง่าย ๆ ทั้งหมดนี้มีความหมายลึกซึ้งถึงสองประการ
ประการแรกคือ เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้เกาซงถ่อมตัวขึ้นหน่อย ทำให้เลิกคิดว่าเพราะพ่อของเขาเป็นสามขุนนางใหญ่ แล้วจะมาวางท่าต่อหน้าฉินเฟิงได้
ประการที่สอง ไม่ว่าฉีเชิ่งจะแก้ตัวสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความไว้วางใจจากมหาเสนาเกาอีก
เมื่อสูญเสียผู้หนุนหลังอย่างมหาเสนาเกาไปแล้ว เจ้ากรมเมืองอย่างฉีเชิ่งจะอยู่ต่อได้อีกสักกี่วัน นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าขบคิด
ตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วงย่อมอยู่ได้อีกไม่นาน ไม่คุ้มค่าที่จะต้องไปบีบคั้นให้เสียเวลา
จี้อ๋องเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมด แววตาฉายแววหวาดกลัววาบหนึ่ง แล้วถอนหายใจ “ฉีเชิ่งถือเป็นขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวง ทั้งยังเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของมหาเสนาเกาด้วย แม้เขาจะวางแผนได้แยบยลถึงระดับไหน แต่พออยู่ต่อหน้าฉินเฟิงกลับอ่อนด้อยยิ่งนัก ฉินเฟิงพูดไม่กี่คำก็ทำให้เกิดความสับสนเสียแล้ว เจ้าเด็กฉินเฟิงคนนี้เป็นต้นอ่อนที่ควรบ่มเพาะให้เป็นขุนนางโดยแท้ เขามีความสามารถและวิธีการที่ดี แต่กลับไม่สนใจรับตำแหน่งขุนนาง ไม่รู้ว่าควรนับเป็นความสูญเสียหรือเป็นความโชคดีของต้าเหลียงกันแน่…”
ฉินเฟิงเพิกเฉยต่อฉีเชิ่งที่กำลังสิ้นหวัง ครั้งนี้เขาเดินตรงไปหยุดยืนระหว่างหนิงหู่กับเฉิงฟา ในเวลาต่อมาชายหนุ่มก็ยื่นมือออกไปจับศีรษะของทั้งสอง และขยี้ไปมาจนยุ่งเหยิง
คนทั้งสองโกรธยิ่ง แต่กลับไม่กล้าพูดสิ่งใด
ตั้งแต่งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง ชื่อเสียงของหย่งอันโหวก็ได้รับความเสียหาย คำว่า ‘ชื่อเสียง’ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้มีฐานันดรศักดิ์ ตระกูลหนิงสูญเสียอำนาจ ดังนั้นในเหตุการณ์นี้พวกเขาจึงเป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิด
สำหรับเฉิงฟา เขาเป็นลูกน้องของหลี่รุ่ยมาตั้งแต่แรก ไม่มีความสำคัญอะไร
ฉินเฟิงขยี้ผมของพวกเขาจนเละเทะ จากนั้นก็ตบที่ศีรษะพร้อมกัน พลางเอ่ยอย่างสบาย ๆ “กลับจวนไปเถอะเด็ก ๆ อย่ามาสร้างปัญหาอีก!”
หนิงหู่กับเฉิงฟาเดิมทีทั้งอัดอั้นใจ ทั้งโกรธ และหวาดกลัว คิดไปต่าง ๆ นานาว่าจะโดนจัดการอย่างไร แต่สุดท้ายฉินเฟิงกลับปล่อยไปโดยไม่คาดคิด อารมณ์ของพวกเขาจึงสับสนมาก
เฉิงฟาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
หนิงหู่ไม่ได้รีบร้อนจากไป เขามองฉินเฟิงด้วยสายตาไม่เชื่อ “ฉินเฟิง เจ้าหมายความว่าอะไร ทำไมถึงปล่อยข้าไปง่าย ๆ หากเจ้าคิดจะทำอะไรก็พุ่งมาที่ข้าเสียสิ อย่าได้สร้างปัญหาให้ตระกูลของข้า”
เมื่อมองดูท่าทางตรงไปตรงมาของหนิงหู่แล้ว ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
พูดตามตรงเจ้าหมอนี้ค่อนข้างน่าสงสาร อีกฝ่ายถูกใช้เป็นเครื่องมือตั้งแต่แรก ถ้าไม่ถูกหลี่รุ่ยกับเฉิงฟายุแยง เกรงว่าหนิงหู่คงจะยังเป็นท่านโหวน้อยอย่างมีความสุข ไม่ตกต่ำเช่นในวันนี้
ฉินเฟิงยื่นมือออกไปลูบหัวของหนิงหู่อีกครั้ง มันสนุกมากจริง ๆ ที่ได้เห็นหนิงหู่ไม่พอใจแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ พลางนายน้อยฉินก็พูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านเป็นต้นอ่อนที่ดีสำหรับการบ่มเพาะเป็นแม่ทัพ ท่านเป็นคนขยันฝึกฝน ต่อไปจะต้องเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจและแข็งแกร่งของต้าเหลียง ดังนั้นอย่าเสียเวลาชีวิตอันมีค่าไปกับแผนการบ้าบอคอแตกเลย ท่านซื่อตรงเกินไป ไม่เหมาะที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทของราชสำนัก”
หนิงหู่มองไปที่ฉินเฟิงอย่างตกตะลึง เขาใช้เวลาเสียนานกว่าจะกลับมามีสติอีกครั้ง “เจ้า… ไม่เกลียดข้าหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่า “ทำไมข้าต้องเกลียดท่านด้วยล่ะ? ข้าบอกแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ท่านจะต่อสู้กับข้าเรื่องผู้หญิง… ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแตกต่างจากพวกเขา พวกเขาต่างก็อยากให้ข้าตายทั้งนั้น แต่ท่านไม่ใช่ เข้าใจหรือไม่?”
MANGA DISCUSSION