บทที่ 14 เตรียมผลิตน้ำตาล
เสี่ยวเซียงเซียงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในการสอบชุมนุมกวีวันนี้แล้ว ในใจนางนึกชื่นชมเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อเห็นว่าพอกลับถึงจวน ฉินเฟิงก็ไม่รักษามาดนายน้อยผู้ดีอีก เขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากคนเสเพลเลยสักนิด สาวใช้ตระกูลฉินจึงอดไม่ได้ที่จะเบะริมฝีปาก
น่าเสียดายที่นางเป็นสาวใช้ตัวเล็ก ๆ จะกล้าบ่นนายน้อยของตระกูลได้อย่างไร
นอกจากนั้น หลิ่วหงเหยียนก็คอยพร่ำสั่งสอน เรื่องแบบนี้แน่นอนว่านางไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก
ขณะที่นวดขาให้ฉินเฟิง นางก็สั่งสาวใช้คนอื่นให้ไปต้มน้ำเชื่อมที่ผู้เป็นนายชื่นชอบ
เมื่อฉินเฟิงหันกลับมา เขาก็วางเท้าลงบนอ้อมแขนของเสี่ยวเซียงเซียง จากนั้นก็เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “นุ่มดีนัก”
เสี่ยวเซียงเซียงหน้าแดงขึ้นมา ทว่าก็ทำได้เพียงก้มหน้า และปล่อยให้อีกฝ่ายทำทุกอย่างที่ต้องการ
อย่างไรเสีย การเป็นสาวใช้ในจวนตระกูลฉินก็เท่ากับการยอมสละชีวิตของตน ถูกนายน้อยป่วนสองสามครั้งย่อมต้องอดทน
สาวใช้ร่างอ้วนวางน้ำหวานไว้ข้างเตียงแล้วกระซิบ “นายน้อย น้ำเชื่อมต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินเฟิงชำเลืองมองนาง เมื่อไม่นานมานี้ เขาเบื่ออาหารรสเลิศจึงอยากลองกินอาหารแปลก ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจนางแล้วจึงโบกมือไล่ออกไป จากนั้นก็หันกลับมานอนตัวตรงหนึ่งร้อยแปดสิบองศาตามเดิม
เดิมทีขาของเขาวางอยู่ในอ้อมแขนของเสี่ยวเซียงเซียง แต่ตอนนี้กลับเป็นศีรษะที่วางอยู่บนขาเรียวนุ่มของบ่าวรับใช้ ท่าทางของฉินเฟิงราวกับเด็กที่ยังไม่โต เขาเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ป้อนข้า”
เสี่ยวเซียงเซียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหน้าแดง นางหยิบน้ำเชื่อมขึ้นมา เป่าความร้อนออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ป้อนเข้าปากนายน้อย
ช่วงเวลาที่ข้าวมาอ้าปาก เสื้อผ้ามาอ้าแขน*[1] เช่นนี้ สำหรับฉินเฟิงผู้ทำงานหนักมาตลอดชีวิต เขารู้สึกเพลิดเพลินราวกับเป็นเทพเซียนก็ไม่ปาน
เมื่อนึกถึงคำต่าง ๆ อาทิ ‘กินอยู่อย่างหรูหรา ใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในความฝัน…’ ดวงตาของฉินเฟิงก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาสาบานว่าจะสัมผัสประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตนี้!
ประโยคนั้นว่าอย่างไรนะ?
ชีวิตของผู้สูงศักดิ์ที่ชั่วร้าย ต้องวิจารณ์ให้มาก…
“ถุย ๆ นี่มันน้ำเปล่าไม่ใช่หรือ?”
ขณะกำลังเพ้อฝันถึงชีวิตสวยหรู น้ำเชื่อมในปากของเขากลับมีรสจืดชืด ฉินเฟิงบ้วนทิ้งทันที จากนั้นก็โบกมือพลางเอ่ย “มันจืดเกินไป เพิ่มน้ำตาลให้มากขึ้นหน่อย”
เสี่ยวเซียงเซียงเผยสีหน้าเป็นทุกข์ “นายน้อย ในครัว… ไม่มีน้ำตาลแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเฟิงก็คว้าร่างของนางขึ้นโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้อง เขาพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี
“ก็แค่น้ำตาลไม่ใช่หรือ? ตระกูลฉินอันยิ่งใหญ่จะไม่อาจซื้อได้แม้แต่น้ำตาลเชียวหรือ ข้าว่าสาวใช้เช่นเจ้ากำลังฉวยโอกาสนี้แก้แค้นข้ามากกว่า!”
“เอ๋?” ใบหน้าของเสี่ยวเซียงเซียงซีดลงด้วยความตกใจ นางเอ่ยอย่างประหม่า “ต่อให้ข้ากล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าแก้แค้นนายน้อย! น้ำตาลมีราคาแพงเกินไป ตระกูลฉินของเราสามารถซื้อได้ก็จริง แต่ตอนนี้พื้นที่ผลิตน้ำตาลทรายแดงตั้งอยู่ในเขตชายแดน จึงถูกชาวเป่ยตี๋บุกก่อกวนบ่อยครั้ง ทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก น้ำตาลในเมืองหลวงมีราคาสูง และน้อยคนนักที่จะซื้อได้”
“ได้ยินมาว่าตอนนี้เกล็ดน้ำตาลถูกควบคุมโดยกิจการผู้ค้ารายใหญ่ สินค้าถูกกักตุน อีกไม่นานราคาเกล็ดน้ำตาลจะพุ่งสูงมาก ต้องมีเส้นสายเท่านั้นถึงจะซื้อได้”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ฉินเฟิงรู้สึกตะลึงและขบขัน ก็แค่น้ำตาลไม่ใช่หรือ? จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้เลย?
เดี๋ยวนะ!
จู่ ๆ ฉินเฟิงก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขากระโดดขึ้นพลางตะโกนอย่างตื่นเต้น “ใช่แล้ว ที่นี่มีแต่น้ำตาลทรายแดง ไม่มีน้ำตาลทรายขาว”
เสี่ยวเซียงเซียงงุนงง น้ำตาลทรายขาวหรือ? น้ำตาลไม่ได้มีแต่สีแดงทั้งหมดหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีน้ำตาลทรายขาวด้วย
ก่อนที่สาวรับใช้ตัวน้อยจะทันได้ตอบสนอง ฉินเฟิงก็โผกอดนางก่อน
ร่างของเสี่ยวเซียงเซียงผอมบางอยู่แล้ว นางถูกผู้เป็นนายอุ้มขึ้น ตอนนี้ฉินเฟิงจับนางไว้ในอ้อมแขน พลันนางก็รู้สึกราวหัวใจจะกระโดดออกมาจากอก
นายน้อยตระกูลฉินกอดบ่าวรับใช้และหมุนตัวเป็นวงกลม พลางตะโกน “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจะรวยแล้ว!”
เสี่ยวเซียงเซียงกลัวว่าจะถูกโยนออกไป จึงทำได้เพียงกอดคอของเขาแน่นโดยไม่รู้ตัว แก้มของนางมีเลือดฝาดสีแดงแต่งแต้ม และร่างทั้งร่างก็ร้อนผ่าวราวกับเป็นไข้
เมื่อสังเกตเห็นดวงตาที่เขินอายจนปิดไม่มิดของเสี่ยวเซียงเซียง ฉินเฟิงถึงได้หยุดลง เขาหรี่ตาแล้วขยับหน้าตัวเองเข้าไปจนเกือบชิดกับหน้าของเสี่ยวเซียงเซียง ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าอายอะไร? เจ้าจงใจแต๊ะอั๋งข้าใช่หรือไม่”
“เอ๋?”
เสี่ยวเซียงเซียงเคยเห็นคนไร้ยางอายแบบนี้ที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่านายน้อยเป็นคนอุ้มนาง แต่สุดท้ายกลับป้ายสีนางเสียได้ เสี่ยวเซียงเซียงทั้งอายทั้งโกรธจนแทบจะเป็นลม
ฉินเฟิงไม่มีเวลาสนใจสาวใช้ตัวน้อยอีก เขาโยนนางลงบนเตียง กฎมารยาทจารีตอะไรล้วนไปกองรวมกันที่อื่นหมดแล้ว ชายหนุ่มแหกปากตะโกนสุดเสียง
“เสี่ยวฝู! ฉินเสี่ยวฝู รีบเข้ามาเร็วเข้า!”
ฉินเสี่ยวฝูคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงวิ่งโร่เข้ามาพร้อมไม้ในมือ พอเห็นเสี่ยวเซียงเซียงนอนอยู่บนเตียง เสื้อผ้าขาดวิ่นและผมเผ้ายุ่งเหยิง ตาเรียวรีพลันเบิกออกก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “สาวใช้ชั่วบังอาจนัก คิดจะลวนลามนายน้อยงั้นรึ!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา เสี่ยวเซียงเซียงก็แทบจะหมดลมหายใจด้วยความโมโห
ไม่แปลกใจเลยที่นายน้อยให้ความสำคัญกับฉินเสี่ยวฝูมาก นายบ่าวคู่นี้ช่างไร้ยางอายไม่แพ้กัน!
ฉินเฟิงคว้าตัวบ่าวคนสนิท จากนั้นก็เล่าเป็นฉาก ๆ ว่าตนเองขัดขืนอย่างดุเดือดจึงรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ได้ แต่สิ่งเหล่านี้หาได้สำคัญไม่ เขาสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูไปรวบรวมน้ำตาลทรายแดงทั้งหมดในบ้านอย่างรวดเร็ว
“นายน้อย ท่านต้องการน้ำตาลทรายแดงมากมายไปทำอะไร?” ฉินเสี่ยวฝูงุนงง
ฉินเฟิงไม่ตอบแต่เตะขาของอีกฝ่าย “ข้าจัดการหลิ่วหงเหยียนไม่ได้ แล้วยังสั่งเจ้าไม่ได้อีกรึ? อย่ามัวพูดพร่ำเพรื่อไร้สาระ ข้าบอกเจ้าก็รีบไปเอามาก็พอ”
ฉินเสี่ยวฝูลูบหัวของเขาพลางหัวเราะ จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไป เขารวบรวมน้ำตาลทรายแดงทั้งหมดในจวนฉินได้เพียงสามชั่ง*[2] เท่านั้น
เท่านี้มันยังไม่พอ!
“เฮ้อ ข้าในฐานะลูกเศรษฐี ยังต้องหาเงินของตัวเองเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ…”
ฉินเฟิงถอนหายใจ อดกลั้นความเจ็บปวดควักเงินในกระเป๋าส่วนตัว และสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูไปหาซื้อน้ำตาลมาอีกสิบชั่งอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันก็ไปเรียกพี่หญิงรองมา
หลิ่วหงเหยียนได้ยินมาว่าน้องชายกำลังตามหาน้ำตาลทรายแดงทั่วจวน แม้ว่าเขาจะชอบกินน้ำตาล แต่ก็ไม่ควรกินแบบไร้ขีดจำกัดถึงเพียงนี้ ไม่กลัวเลี่ยนตายหรือ?
เมื่อมาถึงลานเล็ก ๆ ของฉินเฟิง นางก็เห็นน้ำตาลทรายแดงหกชั่งกองอยู่บนพื้น หลิ่วหงเหยียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ฉินเฟิง เจ้าจะทำอะไร เอาน้ำตาลทรายแดงมากมายมาเพื่ออะไร?”
ฉินเฟิงจับมืออันเรียวยาวของผู้เป็นพี่ ก่อนที่นางจะได้ดุ เขาก็เอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม “พี่หญิงรอง! ข้ากำลังจะรวยแล้ว ข้ากระดากใจมาก แต่ตอนนี้ข้าต้องการความช่วยเหลือทางการเงินอย่างเร่งด่วน”
หลิ่วหงเหยียนตะคอกเบา ๆ และดึงมือของตนออกจากการเกาะกุมอย่างแรง นางยื่นมือไปดีดหน้าผากฉินเฟิง “ข้าไม่คิดว่าเจ้ากำลังจะร่ำรวยแต่กลับขาดแคลนเงินเสียมากกว่า กลางวันแสก ๆ เจ้าพูดไร้สาระอะไร นอกจากนี้ ในระหว่างการสอบชุมนุมกวี เจ้าไม่ได้หลอกเอาเงินมามากมายแล้วหรอกหรือ เจ้ายังต้องการให้ข้าทำอะไรอีก”
“หลอกเอาเงิน ท่านหมายความว่าอย่างไร แบบข้าน่ะเรียกว่าหากินตามความสามารถ… อะแฮ่ม ไม่เป็นไร! เงินของข้า เข้าได้แต่ออกไม่ได้ นี่หาได้สำคัญไม่! ข้าสามารถเปลี่ยนน้ำตาลทรายแดงให้เป็นน้ำตาลทรายขาวได้! พี่หญิงเชื่อหรือไม่?”
เมื่อเห็นท่าทีที่บ้าคลั่งของฉินเฟิง หลิ่วหงเหยียนก็กังวลอยู่พักหนึ่ง หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการสอบชุมนุมกวีก่อนหน้านี้ล้วนเป็นแสงสายัณห์ของตะวันรอน*[3]?
หรือสมองของเจ้าเด็กนี่ได้รับความเสียหายจากน้ำเย็นจัดในแม่น้ำ? ที่เขาเรียกกันว่าสมองพิการใช่ไหม?
ไม่ได้การ นางต้องรีบควักเงินจำนวนมากจ้างหมอที่ดีที่สุดมารักษาสมองของน้องชายให้ได้
หลิ่วหงเหยียนแตะหัวของฉินเฟิงและเอ่ยเบา ๆ “เด็กดี หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว จะมีน้ำตาลทรายขาวในโลกนี้ได้อย่างไร ไม่ต้องกังวล แม้ว่าพี่หญิงของเจ้าจะต้องใช้เงินทั้งหมด ข้าก็จะรักษาสมองของเจ้าให้จงได้”
นายน้อยตระกูลฉินปัดมือของพี่สาวคนรองออก เขากระโดดขึ้นลงอย่างกระวนกระวาย “ข้าไม่ได้เสียสติ! มันเป็นเรื่องจริง! ถ้าท่านไม่เชื่อเรามาลงนามสัญญากัน พอได้เงินก็แบ่งคนละครึ่งตกลงหรือไม่”
[1] ข้าวมาอ้าปาก เสื้อผ้ามาอ้าแขน : ไม่ต้องทำอะไรเอง รอผู้อื่นมาทำให้
[2] ชั่ง : 1 ชั่ง เท่ากับ 500 กรัม
[3] แสงสายัณห์ของตะวันรอน : ดูสดใสขึ้นก่อนที่จะอาการทรุดลงหรือตาย
MANGA DISCUSSION