บทที่ 139 บุตรหลานในเมืองหลวง ควรประพฤติตนเช่นบุตรสกุลฉิน
ปัง!
ประตูหอสุราถูกฉินเสี่ยวฝูปิดอย่างแน่นหนา หอสุราที่คึกคักเมื่อครู่ บัดนี้กลับมาว่างเปล่า
หัวใจฉีเชิ่งกับคนอื่น ๆ แขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกเขาต่างจ้องมองตรงไปที่ฉินเฟิง
ฉินเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ กอดอกไขว้ขา ทำท่าทาง ‘เชิญ’ และพูดด้วยรอยยิ้ม ทุกท่าน อย่ายืนอยู่เฉย ๆ เลย นั่งลงแล้วพวกเรามาคุยกันดี ๆ เถิด”
ฉีเชิ่งกับเกาซงมองหน้ากัน ทำได้เพียงปล่อยให้ฉินเฟิงจัดการ และยอมนั่งลงตรงข้ามกับชายหนุ่ม
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ฉินเฟิงหยิบคำให้การออกจากแขนเสื้อ ยกมันขึ้นต่อหน้าทุกคนด้วยสีหน้าของพ่อค้าหน้าเลือด แล้วเอ่ยพูดอย่างตื่นเต้น “แท้จริงเป็นผู้ใดที่อยู่เบื้องหลัง ข้าก็คงไม่ต้องพูดแล้วกระมัง เพราะอย่างไรเสียทุกท่านก็ล้วนมีฐานะโดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเตรียมการสงคราม หากมีเรื่องร้ายแรงขึ้น ย่อมทำให้ราชสำนักเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน และนั่นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงมองไปที่ฉีเชิ่งอย่างมีความหมาย “ใต้เท้าฉี ในฐานะเจ้ากรมเมือง ท่านคงจะคุ้นเคยกับบทบัญญัติทางกฎหมายของ ‘กฎหมายต้าเหลียง’ ใต้เท้าฉีโปรดบอกข้าทีว่า ทุกท่านมีความผิดโทษฐานอะไร”
ใบหน้าของฉีเชิ่งน่าเกลียดสุดขีด นอกจากความกลัวแล้วยังมีความโกรธปะปนอยู่อีกด้วย ในฐานะเจ้ากรมเมืองผู้ยิ่งใหญ่ การถูกเด็กหนุ่มบีบไว้ในกำมือเช่นนี้ช่างน่าอับอายจริง ๆ
“ฉินเฟิง มีอะไรเจ้าก็พูดออกมา อย่ามัวอ้อมค้อม!” ฉีเชิ่งกัดฟัน
เมื่อเห็นความกลัวและความโกรธของฉีเชิ่ง ฉินเฟิงก็หัวเราะอย่างร่าเริง หยิบถั่วลิสงขึ้นมาหนึ่งกำมือจากบนโต๊ะ โยนมันไปทางฉีเชิ่ง พลางเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ข้าจะถามท่านอีกครั้ง ใต้เท้าฉีจะพูดหรือไม่พูด?”
ทันใดนั้น ฉีเชิ่งก็กำหมัดขึ้นมา เขาแทบอยากจะถลกผิวหนังของฉินเฟิงออก แต่ในพริบตาก็ท้อแท้สิ้นหวัง ใครใช้ให้ฉินเฟิงจับจุดอ่อนเอาไว้ได้เล่า นอกจากการประนีประนอมก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ฉีเชิ่งสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจคาดเดาได้ “ผู้ที่พยายามฆ่าผู้อื่นมีโทษประหารชีวิต ผู้ที่ยุยงส่งเสริมจะถูกลงโทษเช่นเดียวกัน ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดมีโทษเช่นเดียวกัน ขุนนางที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องถูกลงโทษเพิ่มอีกหนึ่งขั้น”
แปะ แปะ แปะ…
ฉินเฟิงปรบมือ พลางเอ่ยยกย่องเสียงดัง “สมแล้วที่เป็นเจ้ากรมเมือง เข้าใจกฎหมายต้าเหลียงเป็นอย่างดีจริง ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฆาตกรคือใครไม่ได้สำคัญแล้ว ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครสามารถรอดพ้นไปได้!”
ฉินเฟิงคว้าถั่วลิสงขึ้นมาแล้วโยนมันเข้าไปในปากของตนเอง พลางพูดอย่างคลุมเครือ “ข้าไม่มีวันพูดถึงความตาย และจะไม่ลงมือทำมันอย่างเด็ดขาด… ข้าจะมอบสองเส้นทางให้พวกท่านเลือก ทางแรก ไว้เราไปเจอกันที่ศาลต้าหลี่ ทางที่สอง จัดการกับแบบเงียบ ๆ”
ทันทีที่สิ้นประโยค หลี่รุ่ยก็ลุกขึ้นยืนตรง ดวงตาของเขากังวลอย่างมาก “เจ้าจะจัดการเงียบ ๆ อย่างไร เจ้าต้องการเงินหรือ ได้! เจ้าบอกจำนวนมาเลย”
ตอนนี้ฝ่ายต่อต้านสงคราสูญเสียอำนาจไปแล้ว ฝ่ายกรมคลังจึงควรเก็บตัวเงียบเข้าไว้ หากเรื่องนี้บานปลาย บิดาของของหลี่รุ่ยจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงเวลานั้นบัญชีเก่าและใหม่จะถูกชำระพร้อมกัน จุดจบของตระกูลหลี่จะเป็นเช่นไร หลี่รุ่ยไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ดังนั้นในบรรดาคนเหล่านี้ หลี่รุ่ยจึงเป็นคนที่กังวล หวาดกลัว และอยากที่จะเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ให้เงียบที่สุด
ฉินเฟิงย่อมเข้าใจสถานการณ์ของหลี่รุ่ย เขาจับมือของอีกฝ่าย และพูดอย่างใจเย็น ไม่ให้หลี่รุ่ยตื่นตระหนกเกินไป “ไม่ต้องกังวล เงินน่ะยังไงก็ต้องให้ แต่จะให้ยังไงก็สำคัญเช่นกัน”
ในขณะที่พูด ฉินเฟิงก็มองไปที่หญิงม่าย และถอนหายใจเบา ๆ “เพื่อความสะดวก ข้าจะจัดทำรายการ พวกเจ้าจัดการทีละรายการก็พอ อันดับแรกคือการชดเชยครอบครัวของเหยื่อ! เหยื่อยังคงอยู่ในวัยรุ่งโรจน์ ตามระดับเงินเดือนในเมืองหลวง หนึ่งปีมีรายได้ห้าตำลึงเงิน หากมีชีวิตอยู่ได้อีกสามสิบปีก็จะหาเงินได้หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน รายได้ที่หายไปจะได้รับการชดเชยสามเท่า เป็นสี่ร้อยห้าสิบตำลึงเงิน”
“นอกจากนี้ก็ยังมีค่าทำขวัญ ค่าการตั้งถิ่นฐานใหม่ของครอบครัว และอื่น ๆ อีกมากมาย… ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งพันตำลึงเงิน”
สำหรับหลี่รุ่ยเงินจำนวนเล็กน้อยนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าละอองฝน จึงตอบรับโดยไม่ต้องหยุดคิด “ตกลง ตราบใดที่เรื่องนี้สามารถแก้ไขได้ ข้าจะจ่ายเงินเพิ่มอีกพันตำลึงเงินเป็นการส่วนตัว!”
ฉินเฟิงเพิกเฉยต่อความรู้สึกนึกคิดของหลี่รุ่ย และพูดต่อ “ชีวิตไม่สามารถวัดได้ด้วยเงิน แต่ถ้าไม่วัด เหยื่อจะไม่สามารถได้รับค่าชดเชยที่เหมาะสมได้ ดังนั้นนายน้อยหลี่คิดว่า ชีวิตมนุษย์นี้มีค่ากี่มากน้อย?”
หลี่รุ่ยรู้จักฉินเฟิงดีเกินไป เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่า ฉินเฟิงไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อยตนเองไปง่าย ๆ แต่เพื่อประโยชน์ของตระกูล หลี่รุ่ยจึงทำได้เพียงตอบด้วยเสียงต่ำ “หนึ่งหมื่นตำลึงเงิน?”
ฉินเฟิงไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า “ข้าจะเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ นายน้อยหลี่ยินดีจ่ายเท่าไหร่เพื่อซื้อชีวิตของตนเอง”
หัวใจของหลี่รุ่ยเต้นแรง บนหลังของเขาเริ่มมีเหงื่อแตกพลั่ก เอ่ยตอบอย่างกังวล “หากสามารถไว้ชีวิตข้าได้ ข้ายินดีที่จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เรื่องนี้จะต้องเป็นสิ่งที่ทำได้จริง ข้ายินดีมอบเงินสามหมื่นตำลึงเงิน นี่ถือเป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว นายน้อยฉินโปรดไว้ไมตรีด้วย!”
ฉินเฟิงยอมรับทันที และตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ตกลง! เอาตามที่เจ้าว่า สามหมื่นตำลึงเงิน ส่งคนนำไปแลกเป็นตั๋วเงิน และเอาไปให้หญิงม่ายทันที อย่ามาขอผ่อนชำระ ถ้าขาดแม้แต่หนึ่งอีแปะข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต! นอกจากนี้ ข้าขอมอบหนึ่งประโยคให้ทุกท่าน หากหญิงม่ายผู้นี้ได้เงินไปแล้ว แต่ไม่มีชีวิตเพื่อใช้มัน ผู้แซ่ฉินรองได้เลยว่า ข้าจะทำให้ทุกท่านถูกฝังไปพร้อมกับนาง!”
หลี่รุ่ยไม่กล้าลังเล เขาวิ่งไปที่ประตูอย่างเร่งรีบ สั่งให้ฉินเสี่ยวฝูเปิดประตูให้ผู้ติดตามกลับไปที่จวนเพื่อนับเงินทันที
ดูเหมือนว่าสตรีคนนั้นจะกลับมามีสติอีกครั้ง นางส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น และคำนับฉินเฟิง “นายน้อยฉินใจดีมีเมตตา หญิงชาวบ้านเช่นข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทน”
ฉินเฟิงรีบยื่นมือออกไปพยุงหญิงม่ายคนนั้น พลางถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับการทำเช่นนี้ แต่ก็พูดอย่างจนปัญญา “ตามหลักแล้วฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ติดหนี้ก็ต้องชดใช้ แต่คนพวกนี้ล้วนมีตำแหน่งและอำนาจสูงทั้งสิ้น คดีนี้หากต้องดำเนินต่อไป อย่าว่าแต่จะมีบทสรุปหรือไม่เลย เพราะต่อให้มี กว่าบทสรุปจะออกมาก็คงต้องใช้เวลายาวนานนัก”
ในความเป็นจริง สิ่งที่ฉินเฟิงกังวลมากที่สุดไม่ใช่การฟ้องร้องคดี แต่เมื่ออีกฝ่ายมีโอกาสหายใจ พวกเขาจะต้องกำจัดหญิงม่ายคนนี้โดยไม่สนใจว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดเป็นแน่
ถ้าไม่มีโจทก์แล้วยังจะฟ้องร้องอันใดได้อีก?
ท้ายที่สุด นี่เป็นเรื่องของความเป็นและความตาย ฉินเฟิงไม่มีท่าทางเอ้อระเหยลอยชายตามปกติ มุมปากยกยิ้มแห่งความขมขื่น “ท่านป้า ข้าก็เป็นเพียงคนธรรมดา ข้าช่วยท่านได้เพียงเท่านี้”
หญิงม่ายคนนั้นสิ้นหวังอยู่แล้ว ท้ายที่สุดผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในราชสำนัก แม้แต่เจ้ากรมเมืองก็ยังข้องเกี่ยวด้วย นางเป็นแค่สามัญชนจะต่อสู้กับสวรรค์ได้อย่างไร? แม้แต่ในฝันนางก็ไม่คิดว่าฉินเฟิงจะรักษาความยุติธรรมให้กับตน อย่าว่าแต่สามหมื่นตำลึงเงินเลย แม้แต่สามสิบตำลึงเงินก็เพียงพอที่จะทำให้นางขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจแล้ว
หญิงม่ายทั้งเศร้าโศก และปลื้มปีติ น้ำตาไหลอาบหน้า จ้องมองฉินเฟิงด้วยสายตากระตือรือร้นอย่างยิ่ง “นายน้อยฉินเป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดจริง ๆ มีท่านอยู่ในเมืองหลวงถือเป็นพรของเหล่าชาวบ้าน หญิงชาวบ้านเช่นข้าไม่มีสิ่งตอบแทน ทำได้เพียงใช้เงินที่แลกมาด้วยชีวิตของสามีข้าสร้างศาลเจ้าให้กับนายน้อยฉิน ให้ลูกหลานได้จดจำความเมตตาของท่าน”
ฉินเทียนหู่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เดิมทีไม่ชอบพฤติกรรมไร้เหตุผลของฉินเฟิง และอยากจะดุอยู่หลายครั้ง
แต่เมื่อมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า ความไม่พอใจของฉินเทียนหู่ก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยความโล่งใจ และความภาคภูมิใจ
จี้อ๋องถอนหายใจยาวเหยียด “บุตรหลานในเมืองหลวง ควรประพฤติตนเช่นบุตรสกุลฉิน”
MANGA DISCUSSION