บทที่ 138 ปิดร้านจัดการเงียบ ๆ
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังมาจากด้านนอกหอสุรา ฉินเทียนหู่พุ่งเข้ามาทางประตูอย่างดุดันราวกับเสือที่ถูกยั่วโทสะ “ใครบังอาจรังแกผู้สืบทอดตระกูลฉินของข้า!”
เสียงคำรามนี้ราวกับเสียงฟ้าร้อง ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจจนหนังศีรษะชาวาบ
ตอนนี้ทุกคนราวกับตื่นขึ้นจากฝัน แต่ไหนแต่ไรฉินเทียนหู่ไม่ใช่ขุนนางบุ๋น แต่เป็นนักรบที่นำกองทัพต่อสู้ที่ชายแดน และเขาก็สามารถปีนกลับมาจากสนามรบแห่งเลือดและไฟได้ทุกครั้ง
ขณะนี้ฉินเทียนหู่สวมชุดเกราะ ศีรษะสวมหมวกเหล็ก มีดาบเจาะเกราะห้อยอยู่ที่เอว นอแรดโค้งบนไหล่ และถือง้าวยาวหกฉื่อไว้ในมือ เขาติดอาวุธครบครัน เต็มไปด้วยพลังที่น่าเกรงขาม
แขกที่มาหอสุราหรือบรรดาลูกหลานขุนนางล้วนเป็นเพียงดอกไม้ในเรือนกระจก ไหนเลยจะเคยเห็นคนเหี้ยมหาญเช่นนี้มาก่อน ทุกคนต่างหวาดกลัวจนเงียบกริบราวกับจักจั่นจำศีล ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ฉินเฟิงตกตะลึง เขารู้ว่าสหายฉินโมโหร้าย แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะยืนหยัดต่อสู้เพื่อบุตรชาย ถึงขนาดสวมชุด ‘สังหารสี่ทิศ’ ออกมาอย่างเอิกเริกเช่นนี้
ฉินเฟิงไม่เคยคาดคิดว่าบิดาซึ่งมักจะทุบตีเขาแทบตายจะปกป้องลูกวัวของตนถึงขนาดนี้!
เกาซง หลี่รุ่ย และคนอื่น ๆ ที่แต่เดิมถูกฉินเฟิงรีดเค้นจนอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด ขณะนี้ถูกการพุ่งเข้ามาอย่างกะทันหันของฉินเทียนหู่ ทำให้ขวัญเสียจนทยอยถอยหลังตามกันติด ๆ
มีเพียงฉีเชิ่งเท่านั้นที่สามารถรักษาความสงบได้เนื่องจากอายุและประสบการณ์ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฉินเทียนหู่ที่ดุร้าย เขาก็ลอบกลืนน้ำลายอย่างร้อนตัว
“ฉิน… ฉินเทียนหู่ เจ้าคิดจะทำอะไร? แม้ว่าเจ้าจะเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม แต่เจ้าก็ไม่มีอำนาจตรวจสอบ หากเจ้ากล้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย ข้าจะไปที่ศาลต้าหลี่เพื่อฟ้องร้องเจ้าเสีย!” ฉีเชิ่งตื่นตระหนกจนพูดติดอ่าง
ดังสุภาษิตโบราณที่ว่า ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น แค่ฉินเฟิงก็จัดการยากถึงเพียงนี้ พ่อของเขาฉินเทียนหู่ย่อมไม่ดีไปกว่ากัน
หากฉีเชิ่งไม่ขู่ยังดีเสียกว่า คำพูดเหล่านี้ได้ยั่วโทสะฉินเทียนหู่โดยตรง เขาคำรามด้วยความโกรธทันที “ไอ้เฒ่าอย่างเจ้าอาศัยว่ามีมหาเสนาเกาหนุนหลัง สร้างปัญหาให้กับตระกูลฉินของข้าไม่น้อย วันนี้แม้แต่เง๊กเซียนฮ่องเต้ก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
ขณะที่พูด ฉินเทียนหู่ก็หยิบง้าว ตวัดขึ้นมา หมายจะเคาะลงบนหัวฉีเชิ่งโดยตรง
หากครั้งนี้เคาะลงไปอย่างจัง แม้ว่าจะเป็นสันง้าว ย่อมทำให้สมองระเบิดได้แน่นอน!
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉินเฟิงกอดฉินเทียนหู่เอาไว้ และพูดอย่างตื่นตระหนก “ตาเฒ่าฉิน ท่าน… ท่านใจเย็นก่อน ๆ! ข้าขอให้ท่านมาช่วยข้าควบคุมสถานการณ์ หลีกเลี่ยงไม่ให้ฉีเชิ่งบังคับกุมตัวข้าไปที่ศาลาว่าการกรมเมือง ไม่ได้ให้ท่านมาเพื่อสู้กันนะ”
ฉินเฟิงรู้สึกดีจากก้นบึ้งหัวใจ และตื่นเต้นยิ่งที่มีบิดาคอยปกป้อง แต่ตอนนี้สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมของฉินเฟิงเหม่าแล้ว หากตาเฒ่าฉินตีลงไปจริง ๆ สิ่งต่าง ๆ ก็คงไม่จบลงด้วยดี
ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ฉินเทียนหู่ก็ต้องได้รับโทษ หากเขาทะเลาะวิวาทกับขุนนางในราชสำนักกลางถนน!
ฉินเทียนหู่มีสีหน้ารำคาญ และโมโหยิ่ง “ในฐานะพ่อ หากไม่รู้ก็ช่างประไร ตอนนี้ในเมื่อรู้แล้ว ย่อมต้องทำให้พวกสุนัขหัวขโมยนี่หลาบจำ!”
“เดี๋ยวก่อนนะ…” จู่ ๆ ฉินเทียนหู่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาเบิกตากว้าง พลันอยากจะกินฉินเฟิงเข้าไปใจจะขาด “เมื่อกี้นี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?!”
ฉินเฟิงหรือจะกล้าตอบ ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกทุบตีในวันนี้อาจไม่แน่ว่าจะเป็นใคร เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเตรียมการทำสงคราม เราต้องไม่ทำผิดพลาดใด ๆ เป็นอันขาด ท่านพ่อ ท่านต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมก่อนนะขอรับ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฉินเทียนหู่ถึงได้ยอมเลิกรา
เมื่อเห็นฉินเทียนหู่วางง้าวลง ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้แต่จี้อ๋องยังเหงื่อเต็มฝ่ามือ แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง แล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าฉิน เจ้าก็ย้ายกลับมายังเมืองหลวงนานแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่สงบอารมณ์เสียบ้าง?”
ฉินเทียนหู่พบว่าจี้อ๋องอยู่ที่นี่ก็ตอนนี้ จิตสังหารบนใบหน้าพลันถูกแทนที่ด้วยความเคารพในทันที เขารีบประสานหมัดคารวะจี้อ๋อง “ที่แท้ท่านอ๋องผู้เฒ่าก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าน้อยได้ยินมาว่าบุตรสุนัขตกอยู่ในอันตราย จึงกังวลดุจไฟแผดเผาหัวใจ เกือบจะทำให้ท่านอ๋องตกใจแล้ว ท่านอ๋องผู้เฒ่าโปรดลงโทษ”
จี้อ๋องย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับฉินเทียนหู่ เพียงโบกมือแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ ข้าเข้าใจจิตใจที่คิดจะปกป้องบุตรของใต้เท้าฉิน”
ฉินเทียนหู่คารวะอีกครั้ง จากนั้นค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น หันกลับมามองฉินเฟิง และเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ได้ยินว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้น? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงก็เข้าใจทันที
ไม่แปลกใจที่ตาเฒ่าฉินจะเดือดดาลเช่นนี้ ที่แท้เขาก็เข้าใจผิดคิดว่าฉินเฟิงถูกฆ่าตาย
เพื่อนในยามยากคือเพื่อนแท้… แม้ว่าตาเฒ่าฉินมักจะตีและดุด่าฉินเฟิง ตะโกนใส่เขาไปมาอยู่เสมอ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ความขุ่นเคืองในใจของฉินเฟิงก็สลายหายไป ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งไม่มีที่สิ้นสุด และภายในหัวใจก็อบอุ่นขึ้นมา
โชคดีแค่ไหนที่มีพ่อคอยปกป้องในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่?
ฉินเฟิงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฉินเทียนหู่ฟังอย่างรวดเร็ว
สำหรับผู้กระทำผิดที่แท้จริงซึ่งอยู่เบื้องหลัง ฉินเฟิงยังคงไม่เอ่ยพาดพิง
ฉินเทียนหู่กำลังจะถามว่าใครเป็นฆาตกร แต่กลับถูกจี้อ๋องหยุดไว้ เมื่อสัมผัสได้ถึงความหมายอันลึกซึ้งในดวงตาของท่านอ๋องเฒ่า ฉินเทียนหู่ก็เข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้ทันที เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าจงจัดการเรื่องในวันนี้ให้เหมาะสม พ่ออยากจะดูนักว่าใครกล้าแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในหน้าที่!”
คำพูดเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่ฉีเชิ่งอย่างชัดเจน
สีหน้าของฉีเชิ่งเปลี่ยนจากสีแดงเป็นซีดขาว แม้ว่าในท้ายที่สุดเขาจะเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด แต่หากเรื่องนี้ถูกนำไปที่ศาลต้าหลี่ เจ้ากรมเมืองอย่างเขาก็คงต้องถึงจุดจบเช่นกัน
พวกเกาซงเหงื่อแตกพลั่ก ยามนี้มีฉินเทียนหู่เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ พวกเขาย่อมไม่มีหนทางให้หลบหนี
ยิ่งกว่านั้นคดีฆาตกรรมนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ได้ หากเป็นเรื่องเล็กนี่ก็เป็นเพียงความตายของชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น และสามารถควบคุมได้ด้วยกำลัง
แต่หากเป็นเรื่องใหญ่ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะต้องชดใช้ด้วยเลือด
แน่นอนว่า วิธีจัดการกับเรื่องนี้ล้วนขึ้นอยู่กับฉินเฟิง
หลี่รุ่ยอดกลั้นอยู่นาน แต่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ว่าเกาซงจะรั้งเขาไว้อย่างไรก็ตาม เขาพุ่งไปหาฉินเฟิงในสองก้าว และแทบจะขอร้องอ้อนวอน “ฉินเฟิง เจ้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เหมาะสม…”
หลี่รุ่ยจงใจลากเสียงคำว่า ‘เหมาะสม’ โดยบอกฉินเฟิงอย่างชัดเจนว่า เรื่องนี้ควรเก็บเป็นเรื่องส่วนตัวภายใน และอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ฉินเฟิงแค่นเสียงหึอย่างเย็นชาเบา ๆ หากเป็นแค่ความวุ่นวายเล็ก ๆ ก็ช่างเถอะ แต่เมื่อเกิดการฆาตกรรมขึ้นมาแล้ว ไม่มีทางจบลงด้วยดีได้!
ฉินเฟิงไม่สนใจหลี่รุ่ย หันกลับมาโค้งคำนับแขกที่มาร่วมการเปิดหอสุรา และกล่าวขอโทษ “ทุกท่าน สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นโชคไม่ดีจริง ๆ เพื่อเป็นการชดเชย ทุกท่านจะได้รับส่วนลดค่าใช้จ่ายหอสุราหนึ่งครั้ง ขอให้ทุกท่านโปรดแยกย้ายกันไปก่อน”
เมื่อเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ วุ่นวายมากเรื่อย ๆ แขกในที่เกิดเหตุก็ไม่อาจอยู่ได้อีกต่อไป หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเฟิง ทุกคนก็หนีไปราวกับได้รับการอภัยโทษ
ไม่เพียงแต่แขกเท่านั้น แต่คนงานของหอสุราก็ถูกไล่ออกไปด้วย
ฉินเฟิงหันกลับมาคารวะฉีหยางจวิ้นจู่และเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ “คุณหนูทั้งสอง เชิญ”
ฉีหยางจวิ้นจู่กอดอก ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ “อะไรกัน? มีอะไรน่าละอายหรือไร? ข้าอยากจะอยู่ชมความตื่นเต้นต่อ”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าซับซ้อน ในใจกำลังคิดถึงการแต่งงานที่องค์หญิงใหญ่ประทาน นางไม่มีความคิดที่จะอยู่ต่อ ดังนั้นจึงลากฉีหยางจวิ้นจู่จากไปด้วยกัน
เป็นผลให้เหลือเพียงพวกฉีเชิ่งอยู่ในหอสุรา เช่นเดียวกับภรรยาม่ายของผู้ถูกฆาตรกรรม โดยมีฉินเทียนหู่กับจี้อ๋องเป็นพยาน และคนสุดท้ายคือนายน้อยฉิน
MANGA DISCUSSION