บทที่ 137 ขึ้นสายธนูแต่ไม่ยิง
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เชื่อตั้งแต่แรกแล้วว่าคดีฆาตกรรมนี้เกี่ยวข้องกับฉินเฟิง ท้ายที่สุดแล้วในวันงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพจี้อ๋อง นางก็ได้เห็นความเฉลียวฉลาดของฉินเฟิงด้วยสายตาของตัวเอง เจ้านี่ไม่มีทางทำเรื่องโง่เง่าอย่างการทุบทำลายชื่อเสียงตนเองเช่นนี้แน่นอน
ในเวลานี้ เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะชื่นชมฉินเฟิงจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงอาศัยสิ่งที่เขาเห็นด้วยตา และสิ่งที่คิดในใจก็สามารถอนุมานความเป็นมาของเหตุการณ์ได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าพฤติกรรมของบุรุษสมควรตายคนนี้จะน่าชิงชัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากจริง ๆ
อารมณ์ของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เริ่มตีกันเองมากขึ้นเรื่อย ๆ นางทั้งชื่นชมทั้งเกลียดฉินเฟิงไปในเวลาเดียวกัน
ฉีหยางจวิ้นจู่กลับตรงไปตรงมา นางแค่นเสียงหึเบา ๆ แล้วกล่าว “มองไม่ออกเลยว่าเจ้าหมอนี่จะรอบรู้มาก ว่าไปแล้วก็แปลก ข้าไม่เคยได้ยินว่าเขาเดินทางไปที่ใด ด้วยความรู้และประสบการณ์เช่นนี้ คนเสเพลแห่งเมืองหลวงไม่น่าจะมีได้”
ฉินเฟิงเห็นปฏิกิริยาของฉีเชิ่งและคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันอยู่ในใจ หากเป็นเพียงการต่อสู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่างเถอะ เขาสามารถเล่นเป็นเพื่อนได้นานเท่าที่ต้องการ
แต่ตอนนี้มาถึงขั้นฆ่าคนเพื่อความมั่งคั่งแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากฉินเฟิงจะโหดเหี้ยม
“ฉินเสี่ยวฝู” ฉินเฟิงร้องเรียกขึ้น
ฉินเสี่ยวฝูวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “นายน้อย ท่านมีอะไรให้บ่าวรับใช้?”
ฉินเฟิงยิ้มบางเบา ทว่ารอยยิ้มนี้กลับทำให้ฉีเชิ่ง และคนอื่น ๆ ขนลุก “นี่เป็นเรื่องของความเป็นและความตายจะประมาทไม่ได้ ปิดประตูหอสุราก่อน แล้วเรียกทุกคนที่ทำงานอยู่ในหอสุราวันนี้มารวมตัวกันให้หมด”
ตามคำสั่งของฉินเฟิง หอสุราทั้งหมดถูกปิดล้อมโดยสมบูรณ์ คนงานทุกคนทั้งชั้นบนและชั้นล่างของหอสุราต่างมารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่
ฉินเฟิงไม่มากความ เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาทันที “พวกเจ้าจดจำรูปร่างหน้าตาของผู้ตายก่อน แล้วจงนึกดูว่า วันนี้ใครบ้างที่แตะถ้วยกับตะเกียบของผู้ตาย”
“ค่อย ๆ นึกให้ดี! เราจะไม่ปรักปรำคนดี และเราจะไม่ปล่อยคนชั่วลอยนวล!”
“ขอรับ!”
คนงานในหอสุรามองไปรอบ ๆ ผู้ตายสักพัก ไม่นานหลังจากนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่วิ่งไปรอบ ๆ ก็จำบางอย่างได้ เขาจึงวิ่งเหยาะ ๆ มาหาฉินเฟิง “เรียนนายน้อย ข้าน้อยนึกออกแล้ว!”
ขณะที่พูด เด็กหนุ่มก็หันศีรษะ กวาดตามองแขกในที่นั้น พลันสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่นายน้อยชุดขาวผู้หนึ่ง และยืนกรานว่า “นายน้อย เป็นคนผู้นี้! ก่อนหน้านี้เขาขอถ้วยจากข้าน้อยสองครั้ง! เขาบอกว่าบังเอิญทำถ้วยแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ให้ข้าน้อยนำมาใหม่ อีกทั้งคนผู้นี้ก็นั่งอยู่ข้างผู้ถูกฆ่าด้วยขอรับ”
ทันใดนั้น ทุกสายตาในที่เกิดเหตุก็จับจ้องไปที่นายน้อยชุดขาว
นายน้อยชุดขาวมีแววตาตื่นตระหนก เขาเอ่ยแก้ตัวอย่างตะกุกตะกัก “ไร้สาระ ข้า… ข้าแค่มากินข้าว พวกเจ้าคิดจะผลักความผิดให้ข้ารับผิดชอบชัด ๆ”
ฉินเฟิงไม่สนใจที่จะพูดมากความ เขากล่าวอย่างกระชับ “จับตัวเขามาให้ข้า”
ฉินเสี่ยวฝูไม่ลังเล รีบวิ่งเข้าไปพร้อมกับบ่าวรับใช้อีกหลายคน กดนายน้อยชุดขาวลงไปกับพื้น และลากเขาไปหาฉินเฟิง
ฉินเฟิงย่อตัวลงมองดูนายน้อยชุดขาวที่ตื่นตระหนกและกระวนกระวาย แล้วเผยรอยยิ้มราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างสงบ “สหาย พิษของปลาปักเป้าร้ายแรงนัก หากกินมันโดยไม่ได้ตั้งใจ ชีวิตน้อย ๆ ก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้อีก เพื่อความปลอดภัยเจ้าคงจะเอาบางอย่างป้ายยาพิษปลาปักเป้าไว้บนถ้วย ข้าคิดดูแล้ว สิ่งที่สะดวกที่สุดสำหรับเจ้าที่จะนำมาใช้ในที่สาธารณะโดยไม่เกิดความสงสัย… คงจะเป็นผ้าเช็ดหน้าล่ะสิ?”
นายน้อยชุดขาวมองดูฉินเฟิงด้วยสายตาว่างเปล่า กับสีหน้าราวกับว่าเห็นผี
ฉินเฟิงสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูค้นตัวเขา เพียงชั่วครู่ก็พบผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาวจากนายน้อยผู้นี้!
ฉินเฟิงรับผ้าเช็ดหน้ามาอย่างระมัดระวัง แล้วโยนลงในอ่างน้ำ จากนั้นเขาก็สั่งให้คนรับใช้นำสุนัขมาดื่มน้ำที่มีผ้าเช็ดหน้าแช่อยู่
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เจ้าสุนัขก็แสดงอาการของการถูกพิษ และนอนหายใจพะงาบ ๆ อยู่ที่พื้น!
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ใบหน้าของนายน้อยชุดขาวก็ซีดเป็นขี้เถ้า ทั้งร่างของเขาทรุดลงทันที เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่รออยู่คือโทษประหารชีวิต
ดวงตาของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะความเหิมเกริมของนายน้อยชุดขาว แต่เป็นเพราะตรรกะที่ละเอียดรอบคอบของฉินเฟิง ซึ่งเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัว
เห็นได้ชัดว่าไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่ไม่น่าเชื่อว่าห่วงโซ่หลักฐานทั้งหมดจะสามารถเชื่อมโยงกันได้ ด้วยเบาะแสเพียงไม่กี่อย่างที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้น
ฉีหยางจวิ้นจู่ที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ร้ายกาจจริง ๆ มิน่าเล่า ท่านแม่ถึงต้องการให้เจ้าแต่งงานกับเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็ตกตะลึง และมองไปที่ฉีหยางจวิ้นจู่ด้วยความไม่เชื่อ “เจ้า… เมื่อกี้นี้เจ้าว่ากระไรนะ?”
ฉีหยางจวิ้นจู่ตระหนักได้ว่านางเผลอหลุดปากไป แต่ไม่ได้อธิบาย เพียงบอกเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ว่า องค์หญิงใหญ่บอกนางเป็นการส่วนตัว
ในเวลานี้ก็มีเสียงตะโกนดังก้องไปทั่วหอสุรา
จี้อ๋องจ้องมองด้วยความโกรธ ไม่รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธมากขนาดนี้มานานเท่าไรแล้ว “เจ้าสารเลวเหิมเกริม เพื่อใส่ร้ายฉินเฟิงเจ้ากล้าที่จะฆ่าคนเพื่อความมั่งคั่ง สารภาพมาซะว่าใครกันแน่ที่ยุยงเจ้า หากเจ้ากล้าโป้ปด ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของความทรมานในคุก!”
นายน้อยชุดขาวแทบจะเป็นอัมพาตด้วยความกลัว ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง แต่เขากลับก้มหน้าลง และไม่กล้าเอ่ยวาจาใด
ฉินเฟิงเหลือบมองฉีเชิ่ง และคนอื่น ๆ ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง กลุ่มบุคคลสำคัญแห่งเมืองหลวงในเวลานี้ต่างร้อนรน จนไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับนายน้อยฉิน
ฉินเฟิงเอื้อมมือออกไปคว้าศีรษะของนายน้อยชุดขาว แล้วหัวเราะ “สหายไม่ต้องกังวล ข้าจะชี้ทางสว่างให้แก่เจ้า เจ้าแอบบอกชื่อบุคคลที่อยู่เบื้องหลังให้ข้าฟังเบา ๆ เถิด ข้ารับรองว่าเจ้าจะตายอย่างเป็นสุข ไม่เหมือนดังที่ท่านอ๋องผู้เฒ่าบอกว่าต้องทนทรมานในคุก ไม่เช่นนั้นข้ารับรองเลยว่า หลังจากเจ้าเข้าไป ชีวิตเจ้าจะอยู่ไม่สู้ตาย!”
“เจ้าก็รู้ ในเมื่อข้าฉินเฟิงเอ่ยปากแล้วย่อมทำได้อย่างแน่นอน หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าสามารถลองดูได้…”
โดยธรรมชาติแล้ว ฉินเฟิงย่อมไม่มีความรู้สึกดี ๆ กับคนประเภทที่สามารถวางยาพิษฆ่าคนบริสุทธิ์ได้ตามใจชอบ
แน่นอนว่า ณ ตอนนี้ มันเป็นวิธีการข่มขู่เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์
ปรากฏว่าเมื่อนายน้อยชุดขาวได้ยินคำว่า ‘อยู่ไม่สู้ตาย’ เขาก็ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง และเงียบกริบด้วยสับสน
ท้ายที่สุดแล้วเขาไม่ใช่นักฆ่ามืออาชีพ ยิ่งไม่ใช่หน่วยกล้าตาย ในขณะที่จี้อ๋องและฉินเฟิงผลัดกันโจมตี ในที่สุดนายน้อยชุดขาวก็กัดฟัน และกระซิบชื่อคนผู้หนึ่งข้างหูของฉินเฟิง
“โอ้? เขาเองเหรอ?” ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นประหลาดใจอย่างยิ่ง และจงใจกวาดตามองฉีเชิ่ง เกาซง และคนอื่น ๆ
โดยไม่สนใจปฏิกิริยาของคนเหล่านั้น นายน้อยฉินเพียงแค่เรียกหาฉินเสี่ยวฝู ให้พานายน้อยชุดขาวไปที่ห้องครัว และให้เขาเขียนชื่อผู้อยู่เบื้องหลังซึ่งถือว่าเป็นผู้กระทำผิดที่แท้จริง รวมทั้งเหตุการณ์ทั้งหมดลงบนกระดาษ จากนั้นก็ลงนาม และประทับตรา
ไม่นานฉินเสี่ยวฝูก็กลับมาพร้อมกับคำให้การ
“เหอะ ๆ เพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง จึงวางยาพิษชาวบ้านธรรมดาสามัญตามคำสั่งของผู้อื่น… จุ๊ ๆ ช่างเป็นบัณฑิตที่จิตสำนึกถูกสุนัขกิน!” ฉินเฟิงหยิบกระดาษขึ้นมา เหลือบมอง และยัดมันเข้าไปในอก เตะก้นนายน้อยชุดขาวหนึ่งที “เอาล่ะ! เอาไอ้สารเลวนี้ไปซะ อย่าลืมดูแลเขาสักหน่อย อย่าให้ผู้คุมทำให้เขาลำบาก เราต้องให้รางวัลเขา อย่างไรเสียนายน้อยอย่างข้าก็เป็นพ่อค้า ไม่ว่าคนผู้นี้จะน่ารังเกียจเพียงใด เราก็ต้องรักษาสัญญา”
เมื่อเห็นนายน้อยชุดขาวถูกพาตัวไป จี้อ๋องก็รีบถาม “ฉินเฟิง ฆาตกรเป็นใครกันแน่?”
ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างจ้องมองฉินเฟิง ชายหนุ่มค้นพบว่าความรู้สึกของการเป็นจุดสนใจนี้มีประโยชน์มาก แต่สำหรับตัวฆาตกร นายน้อยฉินไม่รีบร้อนที่จะเปิดเผย
ฉินเฟิงโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของจี้อ๋อง “ฆาตกรอยู่ในที่เกิดเหตุ เหตุใดท่านอ๋องถึงถามคำถามทั้ง ๆ ที่ท่านก็รู้เล่าขอรับ? เรื่องนี้เกี่ยวพันลึกซึ้งมากเกินไป ไม่สะดวกที่จะชี้ชัดตรงนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาที่ใช้มองฉินเฟิงของจี้อ๋องก็เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ถอนหายใจ และพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าอายุยังน้อย ไฉนเลยจึงมีความคิดลึกซึ้งถึงเพียงนี้? แม้แต่ข้าก็รู้สึกด้อยกว่าจริง ๆ”
ฉินเฟิงแสยะยิ้ม สำหรับฉินเฟิงนี่ไม่ใช่หลักฐานการก่ออาชญากรรม แต่เป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทอง
ตราบใดที่เขามีกระดาษแผ่นนี้ เขาก็สามารถขู่กรรโชกทรัพย์ฆาตกรตัวจริงได้ถึงตาย!
MANGA DISCUSSION