บทที่ 133 เกล็ดของมังกร
หลี่จ้านหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ในวังหลังอันลึกล้ำแห่งนี้ ใครก็ตามที่พูดถึงบัลลังก์เท่ากับรนหาที่ตาย
สุดท้ายแล้วเรื่องบัลลังก์ก็เกี่ยวพันกับอนาคตของต้าเหลียง เป็นดั่งเกล็ดย้อนมังกร*[1] ของฮ่องเต้ หากแตะต้องย่อมมีโทษถึงตาย
หลี่จ้านที่อายุปูนนี้ก็ยังคงหวาดกลัวจนลมหายใจอ่อนแรง “องค์ชายเจ็ดมีจิตใจดี และประพฤติตนมีระเบียบวินัยอยู่เสมอ แต่เจ้าฉินเฟิงเป็นคนที่ไม่มีแม้แต่แรงจะตื่นเช้าหากไม่มีผลกำไร เกรงว่าจะไม่ถูกกับองค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ เท่าที่กระหม่อมทราบมา ฉินเฟิงได้ให้สัญญากับนายท่านฉินไว้ว่า เขาจะไม่มีส่วนร่วมกับศึกชิงบัลลังก์เป็นอันขาด และแม้ว่าฉินเฟิงจะลื่นเป็นปลาไหล แต่เขาก็ปฏิบัติต่อคนในตระกูลอย่างดีอยู่เสมอ”
หลังจากได้ฟังความคิดเห็นของหลี่จ้าน ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็จมลงไปในห้วงความคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเบา ๆ และกลับมาแย้มพระโอษฐ์อีกครั้ง “ทำลายป้ายของเสิ่นผินเสีย ไม่จำเป็นต้องส่งกลับไป ไว้เดี๋ยวเจ้าค่อยไปตักเตือนนาง ต่อไปถ้ายังมีเหตุเช่นนี้อีก ก็ไม่ต้องแจ้งสำนักขุนนางฝ่ายในแล้ว ให้นางชั่งน้ำหนักผลที่ตามมาด้วยตัวเอง”
หลี่จ้านรู้ดีว่าเสิ่นผินเกือบตายเพราะฉินเฟิง และมีชีวิตอยู่รอดก็เพราะฉินเฟิง ต่อไปในอนาคต ‘การเลือกปฏิบัติ’ ของฉินเฟิงย่อมมีบทบาทสำคัญต่อบัลลังก์
หัวใจของหลี่จ้านเป็นดั่งกระจกใส เขาเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้ง แต่ภายนอกเขาทำได้แค่แสร้งทำเป็นสับสน และไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ขันทีเฒ่าพูดอย่างระมัดระวัง “ไม่ทราบว่านางสนมคนอื่น ๆ ในวังจำเป็นต้องได้รับการตักเตือนด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโบกมือ แล้วพูดอย่างสบาย ๆ “ไม่จำเป็น สตรีเหล่านั้นฉลาดเฉลียว ย่อมรู้ความคิดของเจิ้น แต่จะว่าไปแล้ว เจินเฟยและซูเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้ารองและเจ้าเจ็ด จะสนใจฉินเฟิงก็ไม่แปลก แต่ทำไมกุ้ยเฟยถึงได้มีส่วนร่วมด้วยเล่า?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของฮ่องเต้แคว้นเหลียงก็ฉายแววโศกเศร้า และไม่ตรัสสิ่งใดอีก พลันพระองค์ก็เปลี่ยนหัวข้อ “ทางฝั่งฮองเฮามีข่าวอะไรบ้าง”
หลี่จ้านส่ายหัวไปมา “ฮองเฮาทรงถือศีลกินเจมาโดยตลอด ไม่สนพระทัยต่อกิจการภายนอกพระราชวัง พระนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ ในบรรดาสตรีแห่งวังหลัง มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่เขาวางใจได้ และมีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่ทำให้เขาไม่ต้องกังวล
“หลังจากออกจากตำหนักของเสิ่นผินแล้ว เจ้าไปที่ตำหนักของฮองเฮา บอกให้นางมาที่ตำหนักเจียวไท่ในคืนนี้ ข้าไม่ได้พบนางมาสักพักแล้ว”
หลี่จ้านได้แต่คิดอยู่ในใจ…ไม่ได้เจอมาสักพักแล้วอันใดเล่า ฝ่าบาทไม่ได้กลับวังหลังมาสามเดือนแล้วต่างหาก ทั้งเสวยและประทับอยู่ที่พักห้องทรงพระอักษร แม้ห้องนี้จะอยู่ห่างจากวังหลังเพียงไม่กี่ก้าว แต่กลับดูเหมือนอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ทีเดียว
แต่เมื่อคิดถึงถ้อยดำรัส ขันทีชราก็รู้สึกโล่งใจ ด้วยฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าเหลียงต่างก็ทรงตรากตรำทำงานหนักเพื่อปกครองแว่นแคว้น ในหนึ่งปีจึงเสด็จกลับวังหลังเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เมื่อเห็นหลี่จ้านโค้งคำนับและจากไป ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็วางพระหัตถ์ไว้ด้านหลัง ดวงเนตรฉายแววลึกล้ำ และตรัสกับพระองค์เองว่า “แม้เจิ้นจะเที่ยงธรรม แต่องค์ชายทุกคนต่างก็เป็นเลือดเนื้อของเจิ้น เจิ้นจะตัดสินใจอย่างมีเหตุผลได้อย่างไร แม้ผู้อยู่ในกระดานสับสน แต่คนที่ยืนดูอยู่นอกกระดานเห็นชัดเจน ฉินเฟิงเอ๋ยฉินเฟิง เจ้าคิดว่าเจิ้นควรเลือกใครมารับช่วงต่อต้าเหลียงอันกว้างใหญ่นี้ดี”
…
ณ ห้องหนังสือของจวนฉิน
คิ้วของฉินเทียนหู่ขมวดแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ชายวัยกลางคนเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนที่จะทำลายบรรยากาศอันเงียบงันในห้องหนังสือลงในที่สุด “แผ่นป้ายที่วังหลังส่งมา หาได้มีแค่สามแผ่นไม่…”
หลิ่วหงเหยียนฉลาดเฉลียว ย่อมเข้าใจทันทีว่าฉินเทียนหู่หมายถึงอะไร นางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านพ่อหมายความว่า ยังมีคนอื่นที่ต้องการตัวฉินเฟิงอีกหรือเจ้าคะ”
ฉินเทียนหู่พยักหน้า “ข้าเป็นขุนนางมาหลายสิบปี รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมก็เจ็ดแปดปีมาแล้ว ติดตามฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา ข้าย่อมเข้าใจความคิดของพระองค์อยู่บ้าง ป้ายของคนอื่น ๆ คงถูกฝ่าบาทริบกลับไปแล้ว ส่วนคนที่มาส่งป้ายมีแนวโน้มอย่างมากว่าจะถูกประหาร
“เจินเฟยกับซูเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชาย ฮ่องเต้ย่อมไม่ลงมือทำให้เดือดร้อน”
“ฮองเฮาทรงถือศีลกินเจ คิดว่าพระนางคงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว นอกจากนี้ก็มีกุ้ยเฟยที่มีสถานะโดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้น ในพระทัยฮ่องเต้ทรงติดค้างกุ้ยเฟยก็คงจะลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง”
“นอกจากผู้สูงศักดิ์เหล่านี้แล้ว หากมีใครกล้าเข้ามายุ่ง เกรงว่าจะละเว้นความตายไม่ได้”
ตามความเข้าใจของฉินเทียนหู่ที่มีต่อฮ่องเต้ แม้ว่าพระองค์จะไม่ค่อยไปที่วังหลัง แต่ก็ตระหนักดีถึงผลประโยชน์ และความขัดแย้งต่าง ๆ ของที่แห่งนั้น
วันนี้ทันทีที่หอสุราของฉินเฟิงเปิดให้บริการก็ดูเหมือนว่าจะคึกคักเร่าร้อน แต่จริง ๆ แล้วนี่เป็นแผนการฆาตกรรม
หลิ่วหงเหยียนไม่คิดว่าอะไร ๆ จะเกี่ยวพันลึกซึ้งมากมายถึงเพียงนี้ ใบหน้าของนางซีดขาว เอ่ยอย่างกังวล “ท่านพ่อ เช่นนั้นลูกจะไปเตือนฉินเฟิงให้คืนแผ่นป้ายทั้งหมดไป เพื่อไม่ให้…”
ก่อนที่หลิ่วหงเหยียนจะพูดจบ ฉินเทียนหู่ก็โบกมือขัดจังหวะ “นั่นไม่จำเป็น ป้ายทั้งหมดที่ส่งมาย่อมได้รับอนุญาตโดยฮ่องเต้แล้ว ป้ายที่ไม่ได้รับอนุญาตย่อมไม่สามารถส่งออกมาได้ นอกจากนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระเนตรพระกรรณยอดเยี่ยม ย่อมรู้ว่าตระกูลฉินของเราไม่มีความสนใจในสงครามชิงบัลลังก์ และยิ่งตอนนี้อยู่ในช่วงเตรียมการสงคราม พระองค์จะไม่เคลือบแคลงสงสัยในตระกูลฉินของเราหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิ่วหงเหยียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางหยิบสมุดบัญชีออกมาอย่างรวดเร็ว “รายได้และรายจ่ายของการเปิดหอสุราในวันนี้ลูกคำนวณคร่าว ๆ มาแล้ว ท่านพ่ออยากฟังหรือไม่เจ้าคะ?”
ฉินเทียนหู่แค่นเสียงในลำคอ “ขาดทุนไปเท่าไหร่?”
ไม่ใช่ว่าฉินเทียนหู่ดูถูกฉินเฟิง แต่ในวันแรกของการเปิดหอสุรา โดยพื้นฐานไม่ว่าใครต่างก็ยอมขาดทุนเพื่อตีตลาด
ฉินเฟิงทำหอสุราธารหยกยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ และยังจัดเต็มทุกห้อง คาดว่าคงต้องใช้เงินไปไม่น้อย
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มของหลิ่วหงเหยียนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสุข แล้วมุมปากก็ยกขึ้นโดยไม่ตั้งใจ “หอสุราของคนอื่นเปิดด้วยการขาดทุน แต่หอสุราจวนฉินของเราเปิดพร้อมผลกำไร! ก่อนที่ลูกจะกลับมา กำไรรวมอยู่ที่เก้าพันตำลึงเงินเจ้าค่ะ!”
เขาไม่เพียงทำเงินได้เท่านั้น แต่ยังทำเงินได้มากมายขนาดนี้อีกด้วย?!
ดวงตาของฉินเทียนหู่ฉายแววประหลาดใจ เขาเอ่ยอย่างไม่เชื่อ “ต่อให้เป็นหอเซียนเมามาย กำไรต่อวันก็แค่เพียงสองถึงสามพันตำลึงเงินเท่านั้น หักต้นทุนก็เหลือเพียงหนึ่งพันถึงแปดร้อยตำลึงเงิน หอสุราตระกูลฉินของเราเปิดวันแรกทำกำไรสุทธิเก้าพันตำลึงเงิน นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?”
เมื่อคิดถึง ‘การตลาดแบบกระตุ้นความอยาก’ ที่ฉินเฟิงทำ ใบหน้าของหลิ่วหงเหยียนก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ น้องชายของนางเป็นอัจฉริยะโดยแท้ คนปกติที่ไหนเลยจะสามารถคิดวิธีการดังกล่าวได้เล่า?
คนอื่นกังวลว่าจะหาเงินไม่ได้ แต่ตอนนี้หลิ่วหงเหยียนกังวลว่าจะหาเงินได้มากเกิน แล้วไปกระตุ้นให้เกิดความโลภจากทั้งในและนอกพระราชวัง
ในที่สุดคุณหนูรองก็เข้าใจว่า ทำไมเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นจึงสนใจฉินเฟิงมากนัก เจ้าเด็กคนนี้เป็นเหมือนต้นไม้เงิน ใครก็ตามที่สามารถทำให้เขาอยู่ภายใต้คำสั่งได้ย่อมแก้ไขปัญหาทางการเงินได้อย่างสมบูรณ์
ใบหน้าของหลิ่วหงเหยียนเต็มไปด้วยความปีติ พอนางคิดถึงเด็กเหลือขออย่างฉินเฟิงก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ทางนี้กำลังมีความสุข แต่หารู้ไม่ว่าหอสุราธารหยกกำลังมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นแล้ว
เสียงร้องไห้คร่ำครวญราวกับหัวใจแตกสลายดังขึ้น ตามมาด้วยชาวบ้านหลายคนที่แบกศพชายผู้หนึ่งเข้ามาในหอสุราพร้อมร้องโหยหวน
“ฉินเฟิง ในวันนี้เจ้าต้องให้คำอธิบายกับพวกข้า!”
“สามีของข้ากินอาหารของที่นี่ พอกลับจวนไปก็อาการแย่…”
“ที่นี่ไม่ใช่หอสุรา นี่มันร้านเถื่อนที่ฆ่าคนเพื่อเงิน!”
ลูกค้าที่อยู่ในร้านรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็โยนตะเกียบลงทีละคนราวกับจับของร้อน พวกเขากวาดตามองดูสุราและอาหารรสเลิศที่อยู่ตรงหน้า พลันก็หวาดกลัวเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ร้ายจนคิดอยากจะหลบหนี
“อา… อาหารพวกนี้คงไม่ได้มีพิษหรอกกระมัง?”
[1] เกล็ดย้อน : คือเกล็ดใต้คอมังกรที่หันไปในทางตรงข้ามกับเกล็ดบริเวณอื่น เชื่อกันว่าหากใครสัมผัสกับเกล็ดนี้ มังกรจะโกรธจัดและฆ่าคนผู้นั้น สมัยก่อนฮ่องเต้เปรียบเสมือนมังกร ในบริบทนี้เกล็ดย้อนจึงหมายถึงการทำให้ฮ่องเต้บันดาลโทสะ
MANGA DISCUSSION