บทที่ 131 แขกสูงศักดิ์ไม่ขาดสาย
หลิ่วหงเหยียนขบเม้มริมฝีปากบางของนางเบา ๆ เดินผ่านประตูหลัง และวิ่งเหยาะ ๆ มุ่งหน้าไปยังจวนฉิน เตรียมจะไปรายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหอสุราให้ฉินเทียนหู่รับรู้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด
หอสุราแทบระเบิดเพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้น โดยเฉพาะเสียงจากพ่อค้าผู้มั่งคั่งที่มาร่วมวง คนเหล่านี้ต่างเป็นคนธรรมดาที่ทั้งชีวิตไม่เคยมีโอกาสได้มีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกของราชวงศ์มาก่อน ตอนนี้พวกเขาเลยเกือบจะเป็นบ้าเพราะความตกใจแล้ว
พ่อค้ากิจการผ้าคนหนึ่งใบหน้าแดงก่ำ ทั้งร่างของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “ข้า… ข้าไม่ได้ฝันอยู่ใช่หรือไม่ บุตรสาวตระกูลเซี่ย จี๋อ๋อง องค์ชายรอง องค์ชายเจ็ด แม้กระทั่งองค์หญิงใหญ่ ล้วนส่งคนมาแสดงความยินดีกับฉินเฟิง นี่มันเกียรติยศระดับไหนกัน แม้ว่าทั้งหมดทุกท่านจะมาเพื่อฉินเฟิง แต่เราก็รู้สึกว่าได้รับความสูงส่งนี้ไปด้วยเลย!”
ปฏิกิริยาของนายทหารวัยกลางคนที่นั่งอยู่กับเขาตื่นตระหนกยิ่งกว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อร่วมสนุก ไม่คิดว่าจะได้เห็นฉากใหญ่โตเช่นนี้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนชั้นยอด! บัตรระดับสามที่ซื้อมาได้ช่างคุ้มค่าจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงห้าสิบอีแปะ แม้แต่ห้าสิบตำลึงเงินก็เกรงว่าคนจะแย่งกันซื้อหมดเป็นแน่”
แขกในห้องโถงชั้นหนึ่งไม่ได้จริงจังกับบัตรระดับสามในตอนแรก แต่ตอนนี้พวกเขามองมันเป็นเหมือนสมบัติ และเก็บมันไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง
เพียงอาศัยบัตรระดับสามใบนี้ก็จะได้รับชมความสูงส่งของราชวงศ์ ที่ต่อให้มีเงินมากมายก็ไม่อาจแลกมาได้!
เกาซง และคนอื่น ๆ มองหน้ากันด้วยสายตาตกตะลึง
หลี่รุ่ยรีบขยับมาอยู่ข้างเกาซง ลดเสียงลง และพูดอย่างคาดไม่ถึง “นายน้อยเกา คนอื่น ๆ ก็แล้วไปเถิด เหตุใดแม้แต่องค์ชายรองก็ยังมอบของขวัญให้แก่ฉินเฟิงด้วยเล่า?”
ใบหน้าของเกาซงเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว เขาอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่พูดขึ้นอย่างหมดหนทาง “พระองค์คงรู้ว่าองค์ชายเจ็ดจะมอบแผ่นป้ายให้ฉินเฟิง จึงจงใจทำเช่นกัน เพื่อให้เป็นข้อเปรียบเทียบตัวเองกับองค์ชายเจ็ด… แม้ว่าแผ่นป้ายจะไม่สำคัญอะไร แต่เรารู้อยู่แก่ใจว่าทัศนคติขององค์ชายทั้งสองพระองค์ที่มีต่อฉินเฟิงเป็นเช่นไร ทว่า… คนนอกไม่รู้เรื่องราวภายใน และคงจะคิดว่าฉินเฟิงมีความสัมพันธ์อันดีกับองค์ชายรองด้วย ในภายภาคหน้าคนจะไม่ยิ่งเอนเอียงไปทางฉินเฟิงมากขึ้นหรือ?”
หนิงหู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำหมัดแน่น และกัดฟันกรอด “ฉินเฟิง เจ้าสารเลวผู้นี้มีความสามารถอะไรกันแน่! เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นขยะฉาวโฉ่แห่งเมืองหลวง แล้วเหตุใดจึงได้รับการชื่นชมจากราชวงศ์ถึงเพียงนี้?”
ขณะที่พูดหนิงหู่ก็รู้สึกสิ้นหวังในใจ
แม้ว่าฉินเฟิงจะเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ แต่ก็มีเกียรติมากมาย เกรงว่าหนิงหู่อาจไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้ เมื่อคิดถึงเสียงซุบซิบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉินเฟิงกับเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง หนิงหู่ก็รู้สึกหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกขึ้นมาเป็นระยะ ๆ
ในตอนนี้เอง เสียงของฉีเชิ่งก็ดังขึ้น
“นายน้อยทุกท่านไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกขนาดนั้น ข้าคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสของเรา”
ทันทีที่สิ้นประโยค สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่เจ้ากรมเมือง
เกาซงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ใต้เท้าฉี ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร?”
ฉีเชิ่งแค่นเสียงในลำคอ ดวงตาฉายแววดูถูก “ในเมื่อมีคนมากมายมาแสดงความยินดีกับฉินเฟิง สายตาของคนทั้งเมืองหลวงก็จะเพ่งเล็งมาที่หอสุราแห่งนี้ ตราบใดที่มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น ภายใต้สายตาของคนจำนวนมาก ชื่อเสียงของฉินเฟิงย่อมย่อยยับ และกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงอย่างแน่นอน”
เกาซงกับคนอื่นดวงตาเป็นประกาย ความตื่นตระหนกในใจค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความสุข
ฉินเฟิงรู้ว่าพวกเกาซงไม่มีเจตนาดี และจะต้องหาทางสร้างปัญหาอยู่แน่ ๆ แต่ว่าตอนนี้มีคนใหญ่คนโตเข้ามามากมาย ฉินเฟิงไม่มีเวลานึกถึงคนพวกนั้น เขารีบก้าวออกไปต้อนรับคนที่หน้าประตูหอสุรา
ในเวลานี้ หน้าประตูเต็มไปด้วยผู้คน แผ่นป้ายทองสามแผ่นส่องประกายแวววาวจนฉินเฟิงแทบลืมตาไม่ขึ้น แม้แต่ฉินเสี่ยวฝูที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยังยืนหน้าเชิดหลังตรง ภาคภูมิใจอย่างมาก อย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่พลอยได้ลอยขึ้นสวรรค์*[1]
ผู้คนที่มารวมตัวกันเพื่อรอชมความตื่นเต้นอยู่ด้านนอกต่างเห็นด้วยตาตนเองว่า คนใหญ่คนโตมากมายตบเท้าเข้าไปในหอสุราธารหยกของฉินเฟิง พลันสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสับสน หลายคนถอนหายใจ หลายคนตื่นเต้น และหลายคนก็เสียใจ
พ่อค้าที่เยาะเย้ยหอสุราธารหยกแทบจะตบหัวตัวเอง “ก่อนหน้านี้สมองข้าคงถูกลาเตะจริง ๆ บัตรระดับสามมีราคาเพียงห้าสิบอีแปะเท่านั้น แต่ข้ากลับไม่ได้ซื้อ! เรื่องนี้ทำให้ข้าทุกข์ใจยิ่งกว่าการเสียเงินหลายร้อยตำลึงเงินเสียอีก”
บัณฑิตที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว และยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าก็อยากซื้อ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เบียดเข้าไป อิจฉาคนที่ซื้อบัตรไปแล้วจริง ๆ ต่อไปขอแค่มาที่หอสุราธารหยกก็อาจได้พบกับเชื้อพระวงศ์ ถ้าถือโอกาสนี้ตีสนิทได้ จากนี้ไปก็เท่ากับได้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว”
ทันทีที่สิ้นประโยค ดวงตาของบัณฑิตที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ส่องแสงสดใส หากพวกเขาได้รับความโปรดปรานจากเชื้อพระวงศ์ ภายภาคหน้าก็มีความหวังว่าจะได้เป็นขุนนาง
น่าเสียดายนัก… วันนี้บัตรหมดไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะจำหน่ายบัตรครั้งต่อไปเมื่อใด
ตอนนั้นเอง บังเอิญมีลูกค้าคนหนึ่งออกมาจากหอสุรา พลันฝูงชนก็เข้ามารวมตัวกันรอบตัวเขา แล้วแย่งกันถามลูกค้าคนนั้นว่าจะยอมขายบัตรระดับสามหรือไม่ หลังจากถูกปฏิเสธทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ บางคนจากไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็ยังมีคนรออยู่นอกประตูอีกมาก โดยหวังว่าจะรอซื้อบัตรระดับสามจากลูกค้าคนอื่นในราคาที่สูงกว่าเดิม
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีหยางจวิ้นจู่เห็นคนที่สามารถเปิดหอสุราได้อย่างเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่วันแรก ในใจอดไม่ได้ที่จะชื่นชม อย่างไรก็ตาม เมื่อนางคิดถึงมารดาที่มาดหมายจะให้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์แต่งงานกับฉินเฟิง ฉีหยางจวิ้นจู่ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา นางไม่ถึงกับรังเกียจ และไม่ได้ริษยาแต่อย่างใด ทว่าก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่ายินดีกับฉินเฟิงหากการแต่งนั้นเกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นท่าทางเคารพนบนอบราวกับไม่มีศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อยของเจ้านั่น ฉีหยางจวิ้นจู่นึกดูถูกเหยียดหยามนัก นางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉินเฟิง เจ้าอย่าเข้าใจผิด ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไม่อยากขัดคำสั่งท่านแม่ ข้าก็คงไม่มา อย่าว่าแต่เปิดหอสุราเลย ต่อให้เจ้าเปิดเหมืองทองข้าก็ไม่สนใจหรอก”
ใบหน้าของฉินเฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เขากำลังด่าทออยู่ในใจ คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าข้าขอร้องให้เจ้ามาแล้ว เป็นแค่จวิ้นจู่ไม่ใช่รึ? มีอะไรน่าอวดขนาดนั้นกัน!
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นเอาใจ “จวิ้นจู่มีร่างกายสูงส่ง ไม่ว่าผู้แซ่ฉินจะไม่รู้ความแค่ไหนก็ไม่กล้าคาดหวังอันใดจากท่าน วันนี้จวิ้นจู่มาได้เพราะเห็นแก่ข้าน้อย ข้าน้อยย่อมรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างสูง”
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงอยู่เป็น ใบหน้าของฉีหยางจวิ้นจู่ก็ดูดีขึ้น นางกอดอก แล้วแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ “ต้องแบบนี้สิ ข้าได้ยินมาว่าอวิ๋นเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ? นางอยู่ที่ไหน?”
ฉินเฟิงแสดงท่าทางเชื้อเชิญอย่างรวดเร็ว “ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง แต่หากต้องการไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสองจะต้องสมัครบัตรระดับสองก่อน บัตรหนึ่งใบราคาแค่พันตำลึงเงินเท่านั้น”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ใบหน้าเล็ก ๆ ของฉีหยางจวิ้นจู่ก็มืดมน “หนึ่งพันตำลึงเงินรึ ฉินเฟิง เจ้ากำลังขูดรีดข้าหรืออย่างไร? คนอื่นจ่ายแค่ห้าสิบตำลึงเงินเท่านั้น ทำไมจวิ้นจู่อย่างข้าถึงต้องจ่ายหนึ่งพันตำลึงเงิน หรือเจ้าจงใจทำให้ข้าลำบาก เจ้าเชื่อไหมว่าข้าทำลายหอสุราโทรม ๆ ของเจ้าได้ในตอนนี้เลย!”
ดังคำที่กล่าวไว้ อย่าตีใครด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากฉีหยางจวิ้นจู่สุภาพฉินเฟิงย่อมต้อนรับนางอย่างอบอุ่น ทว่าสตรีนางนี้ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าหนี้ ชี้มือชี้ไม้สั่งการเขาตลอดเวลา ฉินเฟิงย่อมไม่ยินดีที่จะทำตาม
ของขวัญรับแล้ว น้ำใจก็รับแล้ว อยากจะเข้ามาทานอาหารงั้นรึ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายเงินสิ!
ฉินเฟิงไม่เคยปฏิเสธว่าตนเองเป็นคนใจแคบ มีความแค้นต้องชำระ และจะต้องชำระตอนนี้ด้วย
ฉีหยางจวิ้นจู่มักจะทำสิ่งต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมาเสมอ นางจึงตะโกนออกมา “เด็ก ๆ มานี่ ทุบหอสุราทรุดโทรมหลังนี้ทิ้งซะ!”
[1] หนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่พลอยได้ลอยขึ้นสวรรค์ : อุปมาว่าใครคนใดคนหนึ่งได้ดี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย
MANGA DISCUSSION