บทที่ 125 กำไรหนึ่งล้าน
แม้ว่าหลิ่วหงเหยียนไม่อยากจะเชื่อ แต่อักษรบนบัญชีจดไว้อย่างชัดเจน “แม้จะเห็นว่าเป็นรายได้ช่วงสองถึงสามวันมานี้ แต่เจ้าเด็กตัวเหม็นก็วางรากฐานมาเป็นเวลานานและมุมานะมากนัก คลังน้ำตาลก่อนหน้านี้ขายได้ทั้งหมดประมาณห้าหมื่นตำลึงเงิน แต่นั่นถือว่าเล็กน้อย ของจริงอยู่ถัดจากนี้เจ้าค่ะ”
“การหาตัวแทนจำหน่ายโดยการเปิดประมูลสิทธิ์การจัดจำหน่าย ทำเงินให้เขาได้เกือบหนึ่งล้านตำลึงเงินเจ้าค่ะ สิทธิ์ในการขายน้ำตาลอ้อยมีมูลค่าสามหมื่นตำลึงเงินต่อปี และสิทธิ์ในการขายเกร็ดน้ำตาลก็มีมูลค่าหนึ่งแสนตำลึงเงินต่อปี”
แม้ฉินเทียนหู่จะเก่งกาจในการนำกองทัพออกสงคราม แต่ก็ไม่ได้ไร้วิสัยทัศน์ต่อมุมมองทางการค้า เขาประหลาดใจที่ได้ยินรายงานของหลิ่วหงเหยียน “ข้าจำได้ว่าพ่อค้าน้ำตาลบางรายในเมืองหลวง หนึ่งปีทำกำไรได้เพียงหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึงเงินเท่านั้น อะไรคือสิ่งที่เจ้าเด็กนั่นเรียกว่าตัวแทนจำหน่าย ต้องเสียค่าตัวแทนปีละสามหมื่นตำลึงเงิน เช่นนี้ยังมีคนซื้ออีกรึ คนพวกนั้นบ้าไปแล้วหรือไร?”
หลิ่วหงเหยียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ตอนแรกลูกก็คิดแบบเดียวกัน แต่อุตสาหกรรมน้ำตาลของเมืองหลวงทั้งหมดอยู่ในมือของฉินเฟิงแล้ว เกรงว่าต่อไปจะไม่ได้เห็นพ่อค้าน้ำตาลอีก…”
“ผู้ค้าน้ำตาลทุกรายที่มีอำนาจทำกิจการในเมืองหลวงต่างก็สนใจทั้งสิ้น แม้ว่าจำนวนการขายน้ำตาลจะไม่เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากสิทธิ์ในการขายกระจุกตัวอยู่ในมือของคนจำนวนน้อย กำไรของผู้ค้าจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก สิ่งนี้เป็นเหตุผลที่พ่อค้าหลายรายยอมซื้อสิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่ายในราคาสูง”
“ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพ่อค้าหลายคนมาที่นี่เพื่อสิทธิ์ในการจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว…”
“สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเรื่องการผลิตน้ำตาลทรายขาวทั้งหมดอยู่ในมือฉินเฟิง เพราะเขาได้ขอทำข้อตกลงกับองค์ฮ่องเต้ไว้ อย่าว่าแต่บุคคลภายนอกไม่สามารถค้นคว้าวิธีการทำน้ำตาลทรายขาวได้เลย แม้ว่าพวกเขาจะสามารถค้นคว้าได้ ฉินเฟิงก็ได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา ทำให้ผู้อื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับน้ำตาลทรายขาวเด็ดขาด”
ฉินเทียนหู่นั่งลงอย่างช้า ๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าฉินเฟิงผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำตาลทั้งหมดในเมืองหลวงแล้ว
พ่อค้าน้ำตาลทุกคน แท้จริงแล้วต่างกำลังทำงานให้กับฉินเฟิง
ฉินเทียนหู่ลอบกลืนน้ำลาย เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะมีวิธีสร้างรายได้เช่นนี้อยู่ด้วย
ลูกชายของข้ากลายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ของอุตสาหกรรมน้ำตาลในเมืองหลวงเสียแล้ว…
อารมณ์ของฉินเทียนหู่ซับซ้อนมาก เขามองไปที่หลิ่วหงเหยียนอย่างหวาดหวั่น “กำไรทั้งหมดหนึ่งล้านสองแสนตำลึงเงินไม่ใช่หรือ? การขายสิทธิ์จำหน่ายน้ำตาลได้มาหนึ่งล้านตำลึงเงิน ส่วนที่เหลืออีกสองแสนตําลึงเงินมาจากที่ใดเล่า?”
หลิ่วหงเหยียนหน้าแดงก่ำ นางดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “มา… มาจากส่วนที่หักออกจากการหารือระดมทุนเจ้าค่ะ”
ทันทีที่สิ้นประโยค ฉินเทียนหู่ก็แทบจะระเบิดโทสะออก แต่เมื่อนึกถึงบัญชีที่น่าตกใจเมื่อครู่นี้ เขาก็บังคับตัวเองให้สงบลง และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เจ้าเด็กสารเลว ทำสิ่งไร้ยางอายเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นดูหมิ่นหรือ?”
หลิ่วหงเหยียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ลูกก็เตือนฉินเฟิงแล้วว่า เงินทั้งหมดจากการหารือระดมทุนควรส่งมอบไปยังพระคลัง แต่ฉินเฟิงกล่าวว่า การหารือระดมทุนเป็นอุตสาหกรรมการกุศล เขาลงแรงอย่างมากเพื่อดูแลบัญชีการกุศลนี้ จะเสียแรงไปเปล่า ๆ ก็ใช่เรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นร้อยละสิบของเงินบริจาคถูกผู้ระดมทุนเก็บไว้ถือเป็นเรื่องที่ทำกันทั่วไป”
“เขายังกล่าวอีกว่า… หากการระดมทุนของเขาสร้างผลกำไรได้ เขาก็จะสามารถจัดการเรื่องการบริจาคได้อย่างมีสติ และเหมาะสมมากขึ้น เขารับรองว่าจะส่งเงินทุกอีแปะให้ถึงมือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ”
เดิมทีฉินเทียนหู่อยากจะเรียกเจ้าเด็กไร้ยางอายนั่นมาด่าสักยกและสอนบทเรียนให้สักหน่อย
แต่เมื่อมาไตร่ตรองอีกครั้ง ก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล
ถ้าไม่มีกำไรใครจะเดือดร้อนไปหาเรื่องระดมทุนเล่า? และหากไม่มีการบริจาคก็ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้
ฉินเฟิงเอาผลประโยชน์เพื่อกระตุ้นแรงในการทำงาน และทำให้จำนวนการบริจาคเพิ่มขึ้น นับว่าพอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง
ทว่า… ฉินเทียนหู่ยังคิดว่าเรื่องนี้ยากจะยอมรับ ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจได้ นั่นอาจสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียง
เพื่อหลีกเลี่ยงการลงแรงแล้วไม่ได้กำไร ฉินเทียนหู่สั่งให้ในภายภาคหน้าฉินเฟิงห้ามแตะต้อง ‘อุตสาหกรรมการกุศล’ เด็ดขาด หากเขาต้องการมีส่วนร่วมในการกุศล ก็ทำได้เพียงใช้เงินของตัวเองเท่านั้น ฉินเทียนหู่ต้องระวังไว้ก่อน มิฉะนั้นก็อาจจะได้รับความอับอายไปตลอดชีวิต
ฉินเทียนหู่หยิบถ้วยชาขึ้นมา รับรู้ได้ว่าชาถ้วยนี้เย็นแล้ว แต่เขาก็ยังดื่มมันเข้าไปในรวดเดียว
ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ฉินเฟิงเบิกเงินไปใช้ห้าแสนตำลึงเงิน และทำกำไรสุทธิได้มากกว่าหนึ่งล้านตำลึงเงิน ความกล้าได้กล้าเสียระดับนี้ทำให้ฉินเทียนหู่ที่อยู่แต่ในสนามรบมาหลายปีรู้สึกตันตื้อไปหมด
เกรงว่าต่อให้หาทั่วทั้งเมืองหลวง ก็ไม่มีเจ้าของกิจการผู้ใดกล้าทำแบบที่ฉินเฟิงทำ
ฉินเทียนหู่ยิ้มขื่น “ความกล้าของเจ้าเด็กคนนี้ มากกว่าข้าเสียอีก!”
หลังจากรายงานบัญชีแล้ว คุณหนูหลิ่วก็ถือสมุดบัญชีกลับไปยังห้องบัญชี เก็บสมุดบัญชีไว้ในตู้แล้วลงกลอน
ทว่าทันทีที่นางจากไป ตู้ที่อยู่ด้านหลังก็มีคนเปิดออก…
เงาดำร่างนั้นนำสมุดบัญชีทั้งหมดใส่ลงถุงใบใหญ่ เหยียบหลังคาเรือนแผ่วเบา เข้าออกจวนเสนาบดีกรมกลาโหมราวกับเป็นพื้นที่รกร้าง แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวังต้องห้ามทันที
เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป หนังสือบัญชีกองหนาก็วางอยู่บนโต๊ะในห้องทรงพระอักษรแล้ว
หลี่จ้านหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งขึ้นมา อ่านให้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงฟังอย่างสบาย ๆ แต่ยิ่งเขาอ่านมากเท่าไร เสียงของหลี่จ้านก็แผ่วลงมากเท่านั้น “ฉิน… ฉินเฟิง เวลาแค่เดือนเดียว เจ้าเด็กคนนี้ทำเงินได้มากมายมหาศาล… เงินหนึ่งล้านสองแสนตำลึงเงิน เพียงพอที่จะสร้างกองทัพชายแดนระดับสูงได้แล้ว! แต่ข้ายังไม่เห็นเขาเติมเต็มท้องพระคลังด้วยเงินจำนวนมหาศาลนี้เลย…”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยังคงตรวจดูฎีกาที่กรมคลังส่งมา พลันแย้มพระโอษฐ์พลางตรัสว่า “เด็กคนนั้นคือคนที่ไม่สามารถตื่นเช้าโดยไม่มีกำไรได้ ถ้าไม่มีกำไร เขาจะพยายามหาเงินให้เจิ้นได้อย่างเต็มที่ในอนาคตได้อย่างไรเล่า ตราบใดที่เขาจ่ายเงินให้ตรงเวลา เขาจะได้เงินมากเท่าไหร่ เจิ้นหาได้สนใจไม่”
“แต่…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็เปลี่ยนเรื่อง และหันมองหลี่จ้าน พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย “ขันทีหลี่ เจ้าเคยเห็นใครในชีวิตสามารถหาเงินได้หนึ่งล้านตำลึงเงินในเวลาเพียงเดือนเดียวหรือไม่”
หลี่จ้านโพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิด “ไม่มีใครเทียบได้! ฉินเฟิง เจ้าเด็กคนนั้นเป็นอัจฉริยะด้านการค้าพ่ะย่ะค่ะ!”
“อย่าว่าแต่เงินจากการพนันที่ได้จากกลอุบายอันชาญฉลาดหรือเงินที่หักจากกองทุนการกุศลเลย แค่เงินจากอุตสาหกรรมน้ำตาลเพียงอย่างเดียวก็น่าตกใจแล้ว”
“เกรงว่า…ในตอนที่ฉินเฟิงเริ่มผลิตน้ำตาล เขาคงเริ่มวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น”
“ในเวลาเพียงไม่กี่วัน นายน้อยเจ้าสำราญก็ผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำตาลของเมืองหลวงทั้งหมด สิทธิ์ในการจำหน่ายหนึ่งปีของน้ำตาลอ้อยคุณภาพต่ำก็ยังมีราคาสูงถึงสามหมื่นตำลึงเงิน! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าวันหนึ่งฉินเฟิงผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำตาลทั้งต้าเหลียงขึ้นมา จะไม่…”
หลี่จ้านไม่ได้พูดต่อ และไม่กล้าพูดอะไรด้วย ท้ายที่สุดแล้วย่อมมีผลตามมามากมายมหาศาลจนแม้แต่หลี่จ้านก็ยังต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงฉายแววมุ่งมั่น “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่จ้านก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว “ฝ่าบาท กระหม่อมมีบางอย่างไม่รู้ว่าควรทูลหรือไม่”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโบกพระหัตถ์ บ่งบอกเป็นนัยว่าไม่สนใจ “เจิ้นรู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ในเมื่อเจิ้นใช้ฉินเฟิง เจิ้นย่อมเข้าใจนิสัยของเขา อุตสาหกรรมน้ำตาลนั่นถูกผูกขาดไปแล้ว ในท้ายที่สุด แม้ว่าเจิ้นจะไม่เอ่ยปาก ฉินเฟิงก็จะต้องมอบอำนาจให้อยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นแค่เปลี่ยนการผลิตน้ำตาลจากภาคเอกชนเป็นภาครัฐจะไม่เป็นการเติมเต็มพระคลังหล่อเลี้ยงต้าเหลียงหรือ?”
“มีหลายกิจการที่ราชสำนักไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้โดยตรงเพราะกลัวว่าผู้คนจะวุ่นวาย มีฉินเฟิงออกหน้าเข้าไปแทรกแซงแบบนี้จัดการง่ายกว่ามากนัก”
“ส่วนผลกำไรของฉินเฟิง ช่วงนี้ก็ให้เขาสะสมไปให้จุใจเถิด เจิ้นเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งเป็นใช้ได้”
หลี่จ้านถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะรีบโค้งคำนับ “ฝ่าบาทมีกลยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ มีวิสัยทัศน์เหนือคนทั่วไป กระหม่อมนับถือยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแย้มพระสรวล หยิบฎีกาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก “การหารือระดมทุน ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในพิธีชำระอาภรณ์ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถขูดรีดเงินก้อนใหญ่ออกมาจากกระเป๋าของบุตรหลานขุนนางได้อีก หึ ๆ”
MANGA DISCUSSION