บทที่ 124 รายงานบัญชีประจำเดือน
ฉินเฟิงทุ่มเทความพยายามนับไม่ถ้วนให้กับหอสุราธารหยก หลังจากผ่านอุปสรรคนานับประการในที่สุดหอสุราก็เปิดได้ตามกำหนด ข่าวดีนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ่ง “การทดลองเปิดให้บริการเป็นอย่างไรบ้าง? เหล่าปัญญาชนและพวกขอทานในเมืองหลวงพึงพอใจกันหรือไม่”
หลินฉวีฉีนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหอสุราเมื่อครู่ก็ยังไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เขาพูดอย่างตื่นเต้น “ทุกอย่างเสร็จสิ้นตามการจัดเตรียมของพี่ฉิน แม้ว่าพ่อครัวในหอสุราจะได้รับการว่าจ้างมาชั่วคราว ทักษะการทำอาหารถือว่าพอผ่านเกณฑ์ แต่ปัญญาชนเหล่านั้นไม่ได้ไปเพื่อรับประทานอาหารตั้งแต่แรก เขาไปที่นั่นเพราะชื่อเสียงของพี่ฉิน”
“หอสุราธารหยกจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ คนแรกที่มาร้านจะได้รับภาพอักษรของพี่ฉิน หลังจากรู้เรื่องนี้ทุกคนล้วนตื่นเต้น อย่างไรความสามารถทางวรรณกรรม รวมถึงประวัติอันโด่งดังอย่างการปะทะฝีปากกับมหาบัณฑิตเฉิงของท่าน ก็แพร่กระจายในแวดวงปัญญาชนเมืองหลวงมานานแล้ว”
“สำหรับขอทานยิ่งจัดการได้ง่ายกว่ามาก หลังจัดการเรื่องอาหารแล้ว แต่ละคนได้รับรางวัลเป็นเงินหนึ่งตำลึงเงิน พวกเขาต่างก็ตกปากรับคำสัญญาว่า ก่อนหอสุราเปิดในวันพรุ่งนี้ ชื่อหอสุราธารหยกจะเป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองหลวงอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลินฉวีฉีกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “แต่ข้าน้อยคิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออก แม้ว่านักเดินทางทั้งหมดจากเมืองหลวงจะมาหอสุราของเรา แต่เราก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะหอเซียนเมามายได้…”
“เว้นแต่ว่า พี่ฉินจะมีความสามารถในการเชิญชวนลูกค้าเก่าแก่ของหอเซียนเมามายให้มาที่หอสุราธารหยกได้เช่นกัน”
ฉินเฟิงไม่ได้รีบเร่งอธิบาย แต่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยราวกับมั่นใจว่าชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว บอกเป็นนัยว่าอีกฝ่ายจะได้เห็นความจริงในวันพรุ่งนี้!
ทั้งคืนนั้น เหมือนว่าทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็นอนไม่หลับเพราะฉินเฟิง
ในห้องหนังสือจวนฉิน ฉินเทียนหู่นั่งอย่างสงบอยู่หลังโต๊ะ ตรวจสอบรายงานกรมกลาโหมฉบับล่าสุดไปพลาง เป่าไอร้อนจากถ้วยชาไปพลาง
เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ฉินเทียนหู่ได้ทราบถึงสิ่งที่บุตรชายทำในหอเซียนเมามายแล้ว
แม้ว่าฉินเทียนหู่จะดูถูกความคิดเรื่องกินอาหารแล้วชักดาบหนี เพราะรู้สึกว่านั่นมันอันธพาลเกินไป ทั้งยังเป็นการดูถูกตระกูลฉิน แต่เรื่องการหารือระดมทุนที่ฉินเฟิงจัดขึ้น ทำให้ดวงตาของเสนาบดีกรมกลาโหมเปล่งประกาย การกระทำของฉินเฟิงเรื่องนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในพิธีชำระอาภรณ์ แต่ยังสามารถใช้โอกาสนี้ทำให้ฮ่องเต้จดบันทึกคุณงามความดีของตระกูลฉินได้อีกครั้งด้วย กล่าวได้ว่าได้รับทั้งชื่อเสียงและโชคลาภโดยแท้จริง
หลิ่วหงเหยียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะโดยมีสมุดบัญชีกองหนาอยู่ข้าง ๆ นางรายงานบัญชีให้ฉินเทียนหู่ทราบอย่างจริงจัง “บัญชีของเดือนนี้ได้รับการคำนวณเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ค่าใช้จ่ายในจวนก็เหมือนกับที่ผ่านมา เดือนละหมื่นกว่าตำลึงเงินเท่านั้น รายละเอียดต่าง ๆ ของรายจ่ายบันทึกไว้อย่างละเอียดในสมุดบัญชีแล้ว ท่านพ่อสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฉินเทียนหู่ก็วางถ้วยชาลงแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ทุกวันนี้ภายใต้การนำของฮ่องเต้ กระแสการใช้จ่ายอย่างประหยัดกำลังเป็นที่นิยมทั่วทั้งเมืองหลวง แม้ว่าตระกูลฉินของเราจะมีขนาดใหญ่ แต่ใช้เงินหลายหมื่นตำลึงเงินต่อเดือนก็ไม่เหมาะสมจริง ๆ ต่อไปจงประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอีกสักหน่อยจะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากใครได้”
หลิ่วหงเหยียนพยักหน้ารับคำ นางเอ่ยเสียงเบา “ลูกจดจำคำสอนของท่านพ่อแล้ว นอกจากรายรับและรายจ่ายในจวน ลูกต้องรายงานบัญชีของฉินเฟิงให้ท่านพ่อทราบหรือไม่เจ้าคะ”
ฉินเทียนหู่ไม่เคยสนใจบัญชีของฉินเฟิง ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ได้ใช้จ่ายมากเกินควร เขาก็ปิดตาข้างหนึ่งอยู่เสมอ เพราะอย่างไรเสียในฐานะบุตรหลานในเมืองหลวงจะให้ลูกชายยากจนเกินไปก็ไม่ควร
แต่ช่วงนี้ฉินเฟิงทำตัวเอิกเกริกเกินไป อย่าว่าแต่การใช้เงินเพราะชอบพนันกับผู้อื่นเลย แม้แต่อุตสาหกรรมน้ำตาลและหอสุราก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
รายรับเท่าไหร่เขาไม่สนใจ ในมุมมองของฉินเทียนหู่ ช่วงแรกอย่าให้ขาดทุนมากเกินไปก็นับว่าเป็นบุญโขแล้ว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเทียนหู่ก็โบกมือ “ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก ในเมื่อยังมีเวลาอยู่ก็รายงานสักหน่อยเถิด”
หลิ่วหงเหยียนหยิบบัญชีแยกประเภทมาอย่างรวดเร็ว แล้วพลิกดู “เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว ค่าใช้จ่ายของฉินเฟิงในเดือนนี้เพิ่มขึ้นมากจริง ๆ เจ้าค่ะ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมน้ำตาล วัตถุดิบ ต้นทุนการก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เมื่อถูกปัดเศษขึ้นรวมเป็นสี่หมื่นตำลึงเงิน ส่วนเรื่องหอสุรา แค่ซื้อหอสุราธารหยกก็ใช้ไปแสนตำลึงเงินแล้ว เมื่อรวมค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดเช่นการตกแต่ง รวม ๆ ใช้ไปเกือบสองแสนตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของฉินเทียนหู่ก็เคร่งขรึมขึ้น ค่าใช้จ่ายประจำปีของตระกูลฉินทั้งหมดมีเพียงสองแสนตำลึงเงิน แต่ฉินเฟิง เจ้าเด็กเหลือขอนั่นสามารถใช้เงินเทียบเท่ากับรายจ่ายประจำปีของตระกูลฉินหมดได้ในเวลาเพียงเดือนเดียวรึ?
หากขาดทุน ต่อให้ขายทั้งตระกูลฉินก็อาจไม่เพียงพอให้ฉินเฟิงถลุงแล้ว
หัวใจของฉินเทียนหู่เต้นแรง ถามต่ออย่างรวดเร็ว “ไม่จำเป็นต้องรายงานรายละเอียดเช่นนี้ เจ้าแค่บอกว่าทั้งหมดใช้ไปเท่าไหร่ก็พอ…”
หลิ่วหงเหยียนพลิกดูบัญชี “เกือบครึ่งล้านตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
ทันทีที่สิ้นประโยค ฉินเทียนหู่ก็แทบจะโยนถ้วยชาทิ้ง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ “อะ…อะไรนะ ใช้ไปห้าแสนตำลึงเงินในหนึ่งเดือนรึ! รายรับทั้งปีของข้าแค่สี่แสนตำลึงเงินเท่านั้นเอง!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาดุเดือนของฉินเทียนหู่ หลิ่วหงเหยียนก็ไม่กล้าลังเล รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “นอกเหนือจากหอสุราและอุตสาหกรรมน้ำตาลแล้ว ฉินเฟิงยังทำข้อตกลงมากมายกับฝ่าบาท ไม่นับเรื่องการเติมเต็มพระคลังด้วยเงินทุนรูปแบบต่าง ๆ และคำนวณแค่เรื่องที่ให้สัญญาว่าจะสร้างกองทัพชายแดน จำนวนงบที่กรมกลาโหมกับกรมโยธาคาดไว้ก็อยู่ที่สองแสนตำลึงเงินแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้าตัวผลาญเงิน!
ทันใดนั้นฉินเทียนหู่ก็ลุกขึ้นยืน พลันเอื้อมมือไปแตะแส้
เมื่อเห็นว่า ‘ใครบางคน’ กำลังจะต้องได้รับความเจ็บปวดทางร่างกาย คุณหนูรองก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รั้งฉินเทียนหู่ไว้ พลางรีบเอ่ยปลอบโยนเสียงเบา “ท่านพ่อ อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าค่ะ แม้ว่าจะเบิกเงินไปเป็นจำนวนมาก แต่ท่านต้องดูรายรับด้วยนะเจ้าคะ”
ฉินเทียนหู่เอ่ยเสียงต่ำด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ไม่ต้องดูแล้ว! ใช้เงินไปห้าแสนตำลึงเงินในหนึ่งเดือน ต่อให้เจ้าสารเลวตัวน้อยนี้จะเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งกลับชาติมาเกิดก็คงไม่สามารถสร้างรายรับได้มากขนาดนี้ หากฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้เข้า ความขยันประหยัดอดออมของตระกูลฉินจะไม่ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงหรอกรึ เจ้าเด็กสารเลวคนนี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริง ๆ”
เมื่อเห็นว่าไม่อาจรั้งฉินเทียนหู่ไว้ได้ หลิ่วหงเหยียนก็ไม่ห้ามอีกต่อไป นางรีบหันไปเปิดสมุดบัญชีอย่างรวดเร็ว “กำไรสุทธิของฉินเฟิงในเดือนนี้คือหนึ่งล้านสองแสนตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
ฉินเทียนหู่ที่เมื่อครู่โกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้กลับตัวแข็งค้าง คิดว่าหูของตนมีความผิดปกติไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน เสนาบดีกรมกลาโหมก็กลับมีสติอีกครั้ง เขามองหลิ่วหงเหยียนอย่างว่างเปล่า “เจ้า… เจ้าพูดว่าอะไรนะ ฉินเฟิงหาเงินได้เท่าไหร่?”
หลิ่วหงเหยียนคาดเดาปฏิกิริยาของฉินเทียนหู่เอาไว้แล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไร ตอนนางคำนวณบัญชีก็ตกใจมากเช่นกัน นางพูดคุยกับฉินเฟิงตลอดทั้งวัน ย่อมรู้ว่าเขาหาเงินได้ แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะหาเงินได้มากขนาดนี้
อารมณ์ของหลิ่วหงเหยียนค่อนข้างซับซ้อน นางไม่รู้ว่าจะตกใจหรือภูมิใจดี พลันก็พูดขึ้นเสียงเบา “ท่านพ่อยังจำได้หรือไม่ว่าฉินเฟิงทำการเดิมพันมากมายกับพวกบุตรหลานผู้ดีในเมืองหลวง? เงินห้าแสนตำลึงนั้น เป็นเงินที่ชนะการเดิมพันก็ถือว่าหักออกไป แต่เงินหนึ่งล้านสองแสนตำลึงเงิน เป็นรายรับในช่วงสองสามวันมานี้เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
ฉินเทียนหู่แทบไม่เชื่อ ขณะที่ฟังก็เค้นหาเสียงตนที่หายไปชั่วขณะ “ช่วงสองสามวันนี้รึ?! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!”
MANGA DISCUSSION