บทที่ 119 วันนี้มีเพียงสามเรื่องเท่านั้น
สถานที่ซึ่งแต่เดิมอึกทึกครึกโครมเงียบลงมาก เพราะการจากไปของเจียงเฉิงฮั่น
หลายคนต่างคิดว่าฉินเฟิงกำลังเชือดไก่ให้ลิงดู
ปรากฏว่าฉินเฟิงซึ่งยืนอยู่บนเวที โค้งคำนับให้ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น พลางเขาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ทุกท่านไม่ว่าร่ำรวยหรือสูงศักดิ์เวลาย่อมเป็นสิ่งมีค่าอย่างยิ่ง ข้าน้อยจะไม่รบกวนเวลาของทุกท่านนานเกินไป”
“ที่เชิญทุกท่านมางานเลี้ยงในวันนี้ เพราะข้ามีเรื่องจะแจ้งอยู่สามเรื่องด้วยกัน”
“เรื่องแรกคือแผนการในอนาคตของกิจการน้ำตาลในเมืองหลวง ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่มีความสำเร็จที่ปราศจากกฎเกณฑ์ กิจการน้ำตาลในเมืองหลวงเละเทะวุ่นวายมาโดยตลอด พวกพ่อค้ากับเหล่าคหบดีล้วนผลัดกันเข้ามากำหนดราคาจนวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้แหล่งผลิตน้ำตาลอ้อยได้รับความเสียหาย มีคนจำนวนมากกักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไรและขึ้นราคา เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำตาลในเมืองหลวง และเพื่อให้ชาวประชาทุกคนสามารถซื้อน้ำตาลกินได้ ผู้แซ่ฉินไร้ความสามารถจึงขอเชิญทุกท่านร่วมกันปรับโครงสร้างกิจการน้ำตาล”
นอกจากเจียงเฉิงฮั่นที่จากไปแล้ว พ่อค้าน้ำตาลชื่อดังในเมืองหลวงทุกคนล้วนอยู่ที่นี่
หลังจากได้ยินฉินเฟิงพูดเช่นนี้ พวกเขาต่างก็แอบก่นด่าว่าฉินเฟิงไร้ยางอาย กิจการน้ำตาลเมืองหลวงเละเทะวุ่นวายอันใดกัน ทั้งหมดล้วนเป็นข้อแก้ตัวสำหรับความปรารถนาของนายน้อยฉินเสียมากกว่า
พ่อค้าน้ำตาลแซ่หลิวยืนขึ้น และโต้แย้ง “กิจการน้ำตาลของเมืองหลวงเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ในความวุ่นวายนั้นมีระเบียบ อย่าว่าแต่พ่อค้าในเมืองหลวง แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังปรับตัวได้มานมนานแล้ว ดังคำกล่าวที่ว่า มากเรื่องมิสู้น้อยเรื่อง นอกจากนี้ เดิมทีการทำกิจการก็คือการซื้อถูกขายแพง ไฉนต้องยกเรื่องกักตุนสินค้าเก็งราคาขึ้นมาเอ่ยเล่า?”
พ่อค้าน้ำตาลทุกคนต่างก็เห็นด้วยทันที
“ถูกต้อง! ฉินเฟิง เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการยึดครองกิจการน้ำตาลในเมืองหลวง และบีบพวกเราให้ตาย!”
“ทุกคนฟัง ตระกูลเจียงต่างหากที่เป็นผู้นำของกิจการน้ำตาลในเมืองหลวง แต่ตอนนี้น้ำตาลอ้อยทั้งหมดที่ควรจะจัดหาให้กับตระกูลเจียงถูกฉินเฟิงชิงไปกลางทาง ช่างไร้ยางอายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่มีความน่าไว้วางใจแม้แต่น้อย คนไร้ยางอายและไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้ ถึงกับคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากปากว่าจะปรับโครงสร้างกิจการน้ำตาล ช่างน่าขันจริง ๆ”
แต่เดิมผู้คนที่นี่ต่างรังเกียจฉินเฟิงอยู่แล้ว เมื่อพวกเขาเห็นพ่อค้าน้ำตาลหลายคนบริภาษเสียงดังก็พากันผสมโรงกล่าวโทษฉินเฟิง
รอยยิ้มบนใบหน้านายน้อยฉินเฟิงไม่จางลงแม้แต่น้อย หากรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหลังจากถูกด่าไม่กี่ครั้ง เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำกิจการอันใดกันแล้ว
หลังจากพ่อค้าน้ำตาลด่าเสร็จ ฉินเฟิงก็เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “มีระเบียบอยู่ในความวุ่ยวายหรือ หากเป็นสถานที่อื่นก็ช่างเถิด แต่ทุกท่านยังจำได้หรือไม่ว่า นี่คือสถานที่สำคัญแห่งเมืองหลวง ใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์? ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีกฎเกณฑ์ หรือว่าพวกท่านต้องการให้เมืองหลวงวุ่นวายเล่า?”
แม้แต่การทำกิจการ นายน้อยฉินก็ยังสามารถดึงฮ่องเต้ลงมาเกี่ยวได้ พ่อค้าน้ำตาลก่นด่าฉินเฟิงที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่และไร้ยางอายถึงเพียงนี้ ทว่าก็ไม่กล้าโต้แย้งออกมาตรง ๆ
เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบกริบ ฉินเฟิงจึงยิ้มจนตาหยี “ไม่ทราบว่าเจ้าของร้านและหลงจู๊ทุกท่านเคยไปเยือนพื้นที่ผลิตน้ำตาลอ้อยบ้างหรือไม่? ฮ่าฮ่า ไม่จำเป็นต้องตอบ ๆ พวกเจ้าทุกคนต่างก็เป็นเถ้าแก่ใหญ่ จะเคยไปลำบากตรากตรำเผชิญกับความทุกข์ทรมานเช่นนั้นได้อย่างไร จริงหรือไม่? และในเวลานี้พวกเจ้าไม่เห็นความคืบหน้าของสงครามที่กระชั้นเข้ามาทุกทีในแถบซีเป่ยหรอกหรือ? แต่ถึงอย่างนั้น ในอนาคตข้าก็จะเดินทางไปเยือนที่นั่นสักเที่ยว”
“ถึงเวลานั้นก็จะลงนามในสัญญากับชาวไร่อ้อยท้องถิ่น และให้พวกเขาจัดหาอ้อยให้เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามเข้ามาแทรกแซงและขัดขวางการค้า”
บรรดาพ่อค้าน้ำตาลจะไม่เข้าใจความหมายของฉินเฟิงได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการผูกขาดการจัดซื้อน้ำตาลอ้อยในเมืองหลวง ตราบใดที่ถูกบีบรัดจากต้นทาง ใครจะสามารถต้านทานฉินเฟิงได้อีก
กลุ่มพ่อค้าน้ำตาลรู้ว่าพวกเขาไม่มีต้นทุนที่จะตะโกนแย้ง และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหัว
เมื่อฉินเฟิงเห็นว่าไฟร้อนได้ที่พอประมาณแล้ว จึงสรุปออกไปตรง ๆ “ในเช้าวันพรุ่งนี้ พ่อค้าน้ำตาลทุกท่านสามารถไปที่จวนตระกูลฉินเพื่อเจรจากับพี่หญิงรองของข้าเกี่ยวกับสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายได้ ตราบใดที่มีการชำระค่าธรรมเนียมตามสัญญาทุกปี ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดจะเป็นผู้ชนะ! ไม่ต้องกังวล ค่าธรรมเนียมการทำสัญญานี้จะถูกส่งไปยังท้องพระคลังเต็มจำนวนและจะไม่มีการเก็บไว้แม้แต่อีแปะเดียว”
บรรดาพ่อค้าน้ำตาลขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คำพูดนี้ฟังดูน่าฟังมาก ค่าธรรมเนียมการทำสัญญาสำหรับสิทธิ์ในการจำหน่ายจะอยู่ที่เท่าไหร่กันเชียว? เงินส่วนใหญ่คงอยู่ในกำไรจากการขายมากกว่า
ฉินเฟิงควบคุมการจัดหาวัตถุดิบและสิทธิ์ในการจำหน่าย นั่นเทียบเท่ากับว่าเขาได้กุมอำนาจการกำหนดราคาแล้ว
ถึงเวลานั้นฉินเฟิงจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะซื้อและขายราคาเท่าใด พ่อค้าน้ำตาลในเมืองหลวงทั้งหมดจะต้องทำงานให้กับฉินเฟิง!
แต่แม้จะรู้เช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้
สถานการณ์ชัดเจนมากว่า ใครก็ตามที่ไม่ให้ความร่วมมือจะถูกฉินเฟิงไล่ออกจากอุตสาหกรรมนี้ทันที
เมื่อเห็นว่ากลุ่มพ่อค้าน้ำตาลเดือดดาลทว่าไม่กล้าเอ่ย ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ และเอ่ยเบา ๆ “ทุนนิยมนี่ชั่วร้ายจริง ๆ!”
อย่างไรก็ตามเป้าหมายของนายน้อยเจ้าสำราญ ไม่ใช่แค่กิจการน้ำตาลในเมืองหลวงแต่เป็นกิจการน้ำตาลทั้งหมดในต้าเหลียง เมื่อมีการกำหนดราคาไว้อย่างชัดเจน ชาวบ้านก็จะสามารถซื้อน้ำตาลกินได้ และฉินเฟิงก็จะสามารถทำกำไรได้เช่นกัน นี่นับว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย!
เมื่อเห็นว่าไร้หนทางต่อต้าน พ่อค้าน้ำตาลแซ่หลิวซึ่งเคยตะโกนอย่างดุเดือดก่อนหน้านี้ ก็ประนีประนอมขึ้นมาทันที เขารีบถาม “นายน้อยฉิน น้ำตาลอ้อยและเกล็ดน้ำตาลคุยกันได้ แล้วน้ำตาลทรายขาวเล่า?”
เมื่อพวกเขาได้ยินคำว่าน้ำตาลทรายขาว พ่อค้าน้ำตาลทุกคนก็เงี่ยหูฟัง
กระทั่งคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการน้ำตาลก็ยังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะน้ำตาลทรายขาวกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอันดับต้น ๆ ในวงการอาหารแห่งเมืองหลวงไปเรียบร้อยแล้ว
ฉินเฟิงยังต้องการให้พ่อค้าน้ำตาลเหล่านี้ช่วยเขาหาเงิน ย่อมต้องการให้ความหวานแก่พวกเขา ชายหนุ่มจึงเอ่ยอย่างผึ่งผายทันที “ขณะนี้น้ำตาลทรายขาวเป็นกิจการภายใต้ตระกูลฉิน แต่ใช่ว่าพวกท่านจะไม่มีโอกาส ผู้ที่มียอดขายชนะเลิศในแต่ละปีจะมีสิทธิ์ขายน้ำตาลทรายขาวเป็นเวลาหนึ่งปี”
พ่อค้าน้ำตาลที่เพิ่งดูหมิ่นฉินเฟิงไปหยก ๆ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในพริบตา
ผลกำไรของน้ำตาลทรายขาวเป็นที่ชัดเจน หากได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวก็จะทำเงินได้มากมายทุกวัน
พ่อค้าน้ำตาลแซ่หลิวตัดสินใจได้ทันที “เช่นนั้น เอาตามที่นายน้อยฉินกล่าว ร้านค้าตระกูลหลิวของข้า ยินดีจะร่วมมือกับนายน้อยฉิน เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย”
เมื่อเห็นว่าพ่อค้าน้ำตาลแซ่หลิวไม่คำนึงถึงศีลธรรมเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วเช่นนี้ พ่อค้าน้ำตาลที่เหลือก็ไม่ยอมแพ้ แสดงจุดยืนกันอย่างรวดเร็ว
พี่สาวทั้งสามของตระกูลฉินซึ่งนั่งดูการเปลี่ยนแปลงอยู่ตรงมุมห้อง ต่างประหลาดใจและภูมิใจเมื่อเห็นว่าฉินเฟิงควบคุมกิจการน้ำตาลในเมืองหลวงทั้งหมดแล้ว
หลิ่วหงเหยียนกัดริมฝีปากบางเบา ๆ มองไปยังฉินเฟิงด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้เป็นอัจฉริยะด้านการค้าโดยแท้”
แม้ว่าเสิ่นชิงฉือจะตกตะลึงกับความเฉียบแหลมทางการค้าของฉินเฟิง แต่ปากกลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ นางแค่นเสียง “หึ แค่ใช้กลวิธีมากเล่ห์ หากมีเวลาก็ควรอ่านหนังสือให้มากเสียดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรทายาทของตระกูลฉินก็ต้องรับราชการ”
จิ่งเชียนอิ่งได้ครอบครองหุ้นส่วนหนึ่งของน้ำตาลทรายขาวแล้ว ยิ่งฉินเฟิงทำเงินได้มากเท่าไร รายได้ของจิ่งเชียนอิ่งก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย นางจึงเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคเป็นครั้งแรกของวัน “เทียบกับเมื่อก่อนแล้วนับว่าเขามีความก้าวหน้าอยู่ไม่น้อย หากพี่หญิงสามกลับมาจะต้องปีติยินดีเป็นแน่”
เมื่อได้ยินจิ่งเชียนอิ่งเอ่ยถึง ‘พี่หญิงสาม’ หลิ่วหงเหยียนกับเสิ่นชิงฉือก็มองหน้ากัน และเงียบไป
สตรีบรรเลงกู่ฉินซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลมีสีหน้าไม่น่ามอง “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ปล่อยให้ฉินเฟิงเข้ามาควบคุมกิจการน้ำตาลทั้งหมดเสียได้ ตำแหน่งนี้ควรเป็นของตระกูลเจียง!”
ในตอนนี้เอง มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากฝูงชน “ฉินเฟิง มิใช่ว่าเจ้าเอ่ยว่าสามเรื่องอย่างนั้นหรือ? อีกสองเรื่องเล่า? คงมิใช่เรื่องส่วนตัวกระมัง? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าเรียกพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไรกัน?”
ฉินเฟิงยิ้มตาหยี “ข้าปล่อยให้ทุกท่านรอนานแล้ว เรื่องที่สองนี้เกี่ยวข้องกับหอสุราธารหยก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้จ้าวฉางฟู่ที่จ้องมองอยู่ด้วยสายตาเย็นชามาตลอดก็เงี่ยหูฟังขึ้นมาทันที
ฉินเฟิงประสานกำปั้น “แม้ว่าหอสุราธารหยกจะยังไม่ได้รับการตกแต่งอย่างสมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอที่จะเปิดกิจการได้แล้ว ข้อบกพร่องที่เหลือจะค่อย ๆ ถูกเติมเต็มในอนาคต โดยได้ทดลองเปิดแล้ววันนี้ และจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ขอเชิญทุกท่านไปเป็นเกียรติแก่ข้าด้วย!”
ดวงตาของจ้าวฉางฟู่เบิกกว้าง หลุดเสียงอุทานออกมาทันที “อะไรนะ?! หอสุราธารหยกทดลองเปิดให้บริการแล้ว?!”
MANGA DISCUSSION