บทที่ 117 งานเลี้ยงสำหรับคนทั้งเมือง
เมื่อฉินเสี่ยวฝูได้ยินว่าต้องการจองหอเซียนเมามาย ก็พลันเม้มปาก แล้วพูดว่า “นายน้อย แม้ว่าท่านอยากจะเลี้ยงแขกก็ไม่จำเป็นต้องเลือกหอเซียนเมามายกระมังขอรับ? มีหอสุราใหญ่ ๆ นับไม่ถ้วนในเมืองหลวง และถ้าใครจะได้กำไรจากเงินนี้ก็ไม่ควรเป็นหอเซียนเมามายมิใช่หรือ?”
ฉินเฟิงยกขาขึ้นเตะหนึ่งที เขาระบายความโกรธทั้งหมดจากบิดาลงบนร่างกายของฉินเสี่ยวฝู
ฉินเสี่ยวฝูถูกเตะไปหนึ่งที แต่แทนที่จะวิ่งหนีกลับรู้สึกตื่นเต้น มิใช่เพราะเขามีรสนิยมชอบความเจ็บปวด แต่เป็นเพราะรู้ว่าทุกการกระทำของฉินเฟิงสามารถหาโอกาสตักตวงผลประโยชน์ได้ต่างหาก!
ผู้เป็นนายเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะไปรู้อะไร พ่อค้าที่มีชื่อเสียงและบรรดาลูกหลานขุนนางเหล่านั้น แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นแก่หน้าข้า พวกเขาจะรู้สึกเป็นเกียรติก็ต่อเมื่อจัดงานเลี้ยงขึ้นที่หอเซียนเมามาย ท้ายที่สุดแล้วที่นั่นเป็นอาณาเขตขององค์ชายรอง อีกอย่างเงินหนึ่งพันตำลึงเงินนี้ แค่แสดงให้จ้าวฉางฟู่ดูก็เพียงพอ แต่ห้ามให้เขาเด็ดขาด บอกว่าเราจะชำระบัญชีทั้งหมดภายหลังก็พอ”
ดังคำกล่าวที่ว่า คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ เมื่อเขาติดตามฉินเฟิง ฉินเสี่ยวฝูย่อมได้เรียนรู้อุบายที่เลวร้ายเช่นกัน
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็เข้าใจเจตนาของฉินเฟิงทันที คนเป็นบ่าวหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ฮี่ ๆ นายน้อยวางแผนที่จะกินแล้วชักดาบหรือขอรับ?”
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น และพูดอย่างภาคภูมิใจ “หากข้าจะกินแล้วจ้าวฉางฟู่จะทำอันใดได้? จะปล่อยให้เขาขัดแข้งขัดขาข้าลับหลังเฉย ๆ ได้อย่างไร? ในเมื่อเปิดศึกกันแล้วก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ใครขี้ขลาดคนนั้นเป็นลูกหมา! เมื่อทุกคนมาถึงแล้วเจ้าจงต้อนรับพวกเขาให้ดี อย่าปล่อยให้พวกเขาหนีไป รั้งไว้จนกว่าข้าจะไปถึงให้ได้”
ใบหน้าของฉินเสี่ยวฝูเต็มไปด้วยความสุข เขาตบหน้าอกรับประกัน “นายน้อยวางใจได้ขอรับ ได้เงินพันตำลึงเงินมาเมื่อใดล่ะก็…”
ฉินเสี่ยวฝูยังไม่ทันพูดตบ ฉินเฟิงก็โบกมือ เพื่อให้ฉินเสี่ยวฝูไสหัวออกไปได้แล้ว “ให้เจ้า!”
เตะหนึ่งทีมีค่าเท่ากับเงินพันตำลึงเงิน ฉินเสี่ยวฝูแทบจะรอไม่ไหวที่จะล้างก้นรอ ฉินเฟิงเตะเขาทุกวัน ก็ดีสิ ชายหนุ่มมีความสุขมากจนวิ่งกระตือรือร้นออกไป
หลินฉวีฉีมองดูฉากนี้ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ไม่แปลกใจที่แม้ฉินเฟิงจะเหยียบย่ำฉินเสี่ยวฝูตลอดทั้งวัน แต่ทั้งคู่กลับมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ที่แท้เป็นเพราะฉินเสี่ยวฝูตักตวงผลประโยชน์ได้มากมายจากผู้เป็นนายนี่เอง
หลังจากมอบหมายงานอย่างชัดเจนแล้ว ฉินเฟิงก็เรียหาชูเฟิงกับเสี่ยวเซียงเซียงเพื่อไปที่หน่วยลาดตระเวน
สถานที่สำคัญอย่างหน่วยลาดตระเวนผู้ไม่เกี่ยวข้องล้วนห้ามเข้า!
ฉินเฟิงใช้เงินสองร้อยตำลึงเงินเพื่อเปลี่ยนจากผู้ไม่เกี่ยวข้องเป็นคนคุ้นเคย ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ในเมืองหลวงแห่งนี้ หากไม่มีเงินก้าวเดียวก็เดินได้ลำบากโดยแท้ นี่ยิ่งเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการทำมาหากินของนายน้อยฉินมากยิ่งขึ้น
ภายใต้การนำขององครักษ์หลายคน ในที่สุดฉินเฟิงก็หาสวีโม่พบ
เมื่อเห็นฉินเฟิงมาโดยไม่ได้รับเชิญ สวีโม่ก็ประหลาดใจมาก และรีบเข้าไปต้อนรับ “พี่ฉิน ลมอะไรพัดเจ้ามาที่นี่?”
ฉินเฟิงขยิบตา ส่งสัญญาณให้คนที่เหลือออกไปได้ เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ เขาจึงลดเสียงลง และกระซิบว่า “ครั้งก่อนที่จัดการกับพรรคพยัคฆ์มังกร ข้ามิได้สัญญากับเจ้าว่าจะช่วยเจ้าเปิดประตูไปปิดทองที่ชายแดนหรอกหรือ? บัดนี้โอกาสมาถึงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็แสดงฝีมือต่อหน้าฝ่าบาทได้เลย อย่าว่าแต่รองแม่ทัพเลย แม้แต่ตำแหน่งแม่ทัพก็ไม่วิ่งหนีเจ้าไปไหนแน่นอน”
หลายวันมานี้สวีโม่กำลังกังวลเกี่ยวกับการเข้าร่วมในสงครามเป่ยตี๋ สงครามได้รับการยืนยัน และถึงเวลาที่จะต้องเลือกแม่ทัพกับรองแม่ทัพแล้ว อย่างไรก็ตาม สวีโม่ยังอายุน้อยเกินไป และมีประสบการณ์เพียงหยิบมือเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
ยิ่งกว่านั้นการคัดเลือกทั้งหมดล้วนควบคุมโดยนายพลชั้นสูงและขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก พวกเขาต้องยกตำแหน่งให้ลูกหลานของตัวเองก่อนที่จะมาถึงสวีโม่อย่างแน่นอน
ตอนนี้ฉินเฟิงอยู่ที่นี่แล้ว สวีโม่พลันตะโกนอย่างตื่นเต้น “เยี่ยมไปเลย! พี่ฉิน การตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของข้าคือการเป็นพี่น้องกับเจ้า!”
ฉินเฟิงโบกมือเป็นเชิงบอกอีกฝ่ายว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ “เราทุกคนต่างก็เป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องห่างเหินกันเช่นนี้ มีอะไรดี ๆ ข้าย่อมคิดถึงเจ้าก่อน”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของสวีโม่ก็สว่างไสว “พูดได้ดี!”
ฉินเฟิงเปลี่ยนหัวข้อ “รายการการประลองในพิธีชำระอาภรณ์นี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ข้าคาดการณ์ว่าคงจะเหมือนเดิมทั้งสามรายการ คือการประลอง กลยุทธ์ทางทหาร การต่อสู้แบบประจัญหน้า และการปรับตัว”
“ด้วยวิธีนี้เจ้าต้องเลือกมือดีจากหน่วยลาดตระเวนมาหนึ่งร้อยคน แล้วไปที่กรมกลาโหมเพื่อโยกย้ายคนสองร้อยคน เตรียมคนให้พร้อมก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าจิ้งจอกเฒ่าจากกรมคลังสร้างความลำบาก ด้วยการมอบแตงบิด ๆ เบี้ยว ๆ และซากลูกท้อให้เจ้าใช้ประลอง”
สวีโม่เป็นสายบู๊ เขามีบุคลิกที่ตรงไปตรงมา ดังนั้นจึงไม่เคยคิดลึกซึ้งถึงขั้นนี้
เมื่อได้ยินฉินเฟิงพูดถึง ‘รายการการประลอง’ เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้ “ถ้าเป็นเพียงการต่อสู้แบบประจัญหน้าก็แล้วไปเถิด กลยุทธ์ทางทหาร และการปรับตัวไม่ใช่จุดแข็งของข้าเลยจริง ๆ”
ฉินเฟิงส่งเสียง “จิ๊จ๊ะ” และพูดตรงไปตรงมา “ในเมื่อข้ามาหาเจ้า ข้าย่อมช่วยเจ้าปัดกวาดเส้นทางแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าทำตามที่ข้าพูดเถอะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีชื่อเสียงในกองทัพแน่นอน”
เมื่อมีคำพูดเหล่านี้เป็นฐาน สวีโม่ก็มีความมั่นใจขึ้นมา เขาประสานกำปั้นให้ฉินเฟิงทันที “พี่ฉิน ไม่ว่าผู้แซ่สวีจะสร้างความดีความชอบเช่นไรในอนาคต เจ้าจะเป็นคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของข้า!”
ฉินเฟิงกดมือของอีกฝ่ายลง แสดงออกว่าไม่ใส่ใจว่าสวีโม่จะตอบแทนตนหรือไม่ เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แต่แท้จริงแล้วภายในใจของนายน้อยเจ้าสำราญกำลังตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบ ข้ารอคำพูดนี้ของเจ้ามานานแล้ว! ปากกาไม่สู้กระบอกปืน ในอนาคตหากมีคนของตนอยู่ในกองทัพ กิจการที่ทำย่อมราบรื่น ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องไกลตัว แค่เรื่องจัดซื้ออาวุธอย่างเดียวก็เก็บเกี่ยวตักตวงได้เต็ม ๆ
หลังจากอธิบายทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว ฉินเฟิงก็ตรงไปที่หอเซียนเมามาย
ในเวลาเดียวกัน ในห้องโถงของจวนตระกูลหลี่ สายข่าวได้นำการเคลื่อนไหวของฉินเฟิงทั้งหมดกลับมารายงาน
หลี่ซวี่วางมือไพล่หลังและไตร่ตรองเจตนาของฉินเฟิงอย่างถี่ถ้วน
หลี่รุ่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะดูถูก ถ่มน้ำลายพลางเอ่ยว่า “ฉินเฟิงไม่สามารถอยู่นิ่งได้แม้แต่ครู่เดียวจริง ๆ แต่อย่างไรกรมคลังของเราก็จะไม่จัดสรรเงินสำหรับพิธีชำระอาภรณ์นี้ ข้าอยากจะเห็นนักว่าจวนตระกูลฉินจะทำเช่นไร!”
เมื่อเห็นหลี่ซวี่โบกมือ หลี่รุ่ยก็ปิดปากของเขาอย่างรู้หน้าที่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาของหลี่ซวี่ก็ฉายแววลึกซึ้ง “รุ่ยเอ๋อร์ หากเจ้าต้องการประสบความสำเร็จในราชสำนัก เจ้าต้องเคารพคู่ต่อสู้ อย่าได้ประมาทโดยเด็ดขาด ตั้งแต่เจ้าฉินเฟิงนั่นปรากฏตัวมาจวบจนปัจจุบัน เขาทำให้กลยุทธ์ทางราชสำนักของเราพ่ายแพ้ติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นความสามารถของเขา”
“ฉินเทียนหู่มอบพิธีชำระอาภรณ์ให้ฉินเฟิงจัดการ เป็นไปตามที่ข้าคาดหวังไว้ อย่าเห็นว่านั่นเป็นเพียงพิธีชำระอาภรณ์เล็ก ๆ หากจะจัดขึ้นอย่างเหมาะสม อย่างน้อยก็ต้องใช้สามถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน และอย่างมากก็มากกว่าหนึ่งแสนตำลึงเงินเสียอีก”
“เพียงเพื่อแสดงความเอิกเกริกของราชวงศ์เพียงอย่างเดียวฉินเทียนหู่ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ประการแรก พิธีนี้สามารถทำให้ตระกูลฉินสูญเสียเงินและความแข็งแกร่งได้ ประการที่สอง สามารถทำให้ตระกูลฉินยุ่งเกินกว่าจะระมัดระวังตัวได้ รอถึงพิธีชำระอาภรณ์ก่อนค่อยลงมือ”
“การโค่นตระกูลฉิน มิใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลา”
หลี่รุ่ยพยักหน้า และเอ่ยอย่างนอบน้อม “อะไรคือจุดประสงค์ที่เขาจัดงานเลี้ยงให้พ่อค้าจากเมืองหลวงที่หอเซียนเมามายหรือขอรับ?”
หลี่ซวี่ค่อนข้างหวาดระแวงฉินเฟิง แววตาฉายความกังวล “ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด แต่ไม่ว่าเขาจะต้องการทำอะไร ก็ไม่อาจปล่อยเขาสมปรารถนา ฉินเฟิงเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ แต่สถานะของเขาแตกต่างไปหลายขุม หลายสิ่งหลายอย่าง พ่อไม่สะดวกเข้าไปแทรกแซง เจ้าไปที่หอเซียนเมามายและออกแรงขัดขวางเขาสักหน่อยเถอะ”
หลี่รุ่ยถูกกักบริเวณตั้งแต่งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง บัดนี้ในที่สุดเขาก็สามารถออกไปสูดอากาศได้แล้ว เจ้าตัวย่อมดีใจอย่างยิ่ง รีบโค้งคำนับ “ท่านพ่อโปรดวางใจ ลูกจะทำภารกิจให้สำเร็จ!”
ในเวลาเดียวกัน องค์ชายรองก็ได้รับข่าวที่ส่งมาจากจ้าวฉางฟู่…
MANGA DISCUSSION