บทที่ 114 น้องเจ็ด
หลินฉวีฉีกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้อง สายตาเขามองดูบิดากับบุตรชายที่กระโดดขึ้นลงวิ่งไล่จับกันด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน จะจากไปก็ไม่ได้ แต่จะรั้งอยู่ต่อก็ไม่ควร
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงไม่ยอมออกมาจากใต้โต๊ะ ฉินเทียนหู่ก็ไม่สนใจอีก เขาหันกลับมายกมือคารวะหลินฉวีฉี “ทำให้คุณชายหลินขบขันแล้ว”
ไม่ว่าอย่างไรหลินฉวีฉีก็เป็นถึงบัณฑิตขงจื๊อที่มีชื่อเสียงจากเจียงหนาน ประกอบกับการที่ได้พบกันในราชสำนักวันนี้ ฉินเทียนหู่จึงจำเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเทียนหู่ยังรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ฉินเฟิงมีความสัมพันธ์อันดีกับหลินฉวีฉี เพราะท้ายที่สุดแล้วคนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ*[1]
ตราบใดที่ลูกชายของเขาไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียผู้เสียคน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี…
หลินฉวีฉีรีบคำนับกลับ ฝืนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “บิดาสั่งสอนบุตรเป็นเรื่องสมควรแล้ว ผู้แซ่หลินจะกล้าตัดสินได้อย่างไร อีกอย่างวันนี้ในสายตาของข้า พี่ฉินเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังใส่ใจต่อแคว้นต้าเหลียง ชื่อเสียงของเขาในหมู่ชาวบ้านนั้นสูงมาก เห็นแก่นายน้อยฉินที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ราษฎร ใต้เท้าอย่าได้เอาความพี่ฉินเลย”
ฉินเทียนหู่ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ได้รับความนิยมอย่างมาก? เจ้าลูกเนรคุณคนนี้น่ะรึ?
ฉินเทียนหู่ยุ่งอยู่กับงานของราชสำนัก หาได้มีเวลาไปทำความเข้าใจจิตใจผู้คน สิ่งเดียวที่เขารู้เกี่ยวกับฉินเฟิงคือชื่อเล่นที่น่าอับอายอย่าง ‘จอมวายร้ายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง’
วันนี้หลังได้ยินคำวิจารณ์ที่หลินฉวีฉีมีต่อฉินเฟิง เสนาบดีกรมกลาโหมจึงประหลาดใจอย่างมาก
เมื่อตระหนักว่าฉินเทียนหู่ไม่รู้เรื่องฉินเฟิงมาก่อน หลินฉวีฉีจึงอธิบายอย่างรวดเร็ว “สิ่งที่ข้าพูดไป ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าได้เห็นและได้ยินมา ไม่ได้เข้าข้างพี่ฉินแน่นอน แม้ว่าในแวดวงลูกผู้ดีในเมืองหลวง พี่ฉินจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่ในหมู่ชาวบ้านทั่วไป เขาเป็นที่รักของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนหรือคนธรรมดา ต่างก็มองว่าพี่ฉินเป็นแบบอย่างของบุตรหลานขุนนางทั้งสิ้น”
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอนขอรับ”
เมื่อฉินเทียนหู่ได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข จากนั้นเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าสิ่งที่บัณฑิตขงจื๊อผู้นี้พูดจะไม่ใช่เรื่องโกหก
หรือว่าเขายุ่งกับงานราชการตลอดทั้งวันจึงไม่ได้เอาใจใส่เด็กตัวเหม็นคนนี้ เขาเข้มงวดกวดขันมากเกินไปจนไม่ทันได้รู้ตัวว่าเด็กตัวเหม็นนี่เติบโตขึ้นแล้ว?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของฉินเทียนหู่ก็นุ่มนวลกว่าที่เคย “เห็นแก่คุณชายหลินที่ขอร้องแทนเจ้า คืนนี้บิดาสัญญาว่าจะไม่ทุบตีเจ้าแล้ว”
ไม่ทุบตีแค่คืนนี้? ท่านนี่ใจดีจริงนะ!
ฉินเฟิงคลานออกมาจากใต้โต๊ะอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ก่อนอื่นเขามองหลินฉวีฉีอย่างขอบคุณ จากนั้นจึงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว และคารวะฉินเทียนหู่ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ลูกขอตัวก่อนนะขอรับ”
ฉินเทียนหู่โบกมือเป็นสัญญาณว่าฉินเฟิงสามารถออกไปได้ แล้วจึงยกมือคารวะหลินฉวีฉี “ต่อไปมีคุณชายหลินคอยดูแล ข้าก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก วันหน้าหากเด็กคนนี้กล้ากระทำการโดยประมาท ท่านจะทุบตีหรือจะดุด่าก็ได้ทั้งสิ้น ข้าอนุญาต”
เอ่อ นี่…
หลินฉวีฉีตกตะลึง พลันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที
เขาเพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้ไม่กี่วัน ไม่เพียงแต่ได้ลงหลักปักฐานในต่างถิ่นเท่านั้น แต่ยังได้รับความชื่นชมจากเสนาบดีกรมกลาโหมและบุตรชายอีกด้วย นี่มันเหมือนฝันเลย
หลินฉวีฉีรู้สึกตื่นเต้นและขอบคุณ จึงรีบคารวะตอบ “ใต้เท้าชื่นชมเกินไปแล้ว ผู้แซ่หลินจะพยายามอย่างเต็มที่”
เมื่อเห็นทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฉินเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่บ่นในใจ
ไม่ใช่สิ…
หมายความว่าไง? เจ้าคนแซ่หลินผู้นี้เป็นพี่น้องของเขาไม่ใช่หรือ? ทำไมพลิกไปอยู่ข้างเดียวกับฉินเทียนหู่แล้วเล่า?
หลังจากออกจากห้องหนังสือ ฉินเฟิงพลันหรี่ตาลง จับจ้องไปที่หลินฉวีฉี “พี่หลิน ท่านเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่?”
หลินฉวีฉีงุนงง “ประโยคใดเล่า?”
ฉินเฟิงสูดจมูกเบา ๆ น้ำเสียงแฝงความข่มขู่ “คนดีมักเป็นคนธรรมดาทั่วไป คนชั่วมักเป็นพวกคนมีความรู้”
หลินฉวีฉีเข้าใจทันทีว่าฉินเฟิงหมายถึงอะไร อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พลางเอ่ยติดตลก “ผู้แซ่หลินรู้สึกภูมิใจมากนัก ที่ได้รับคำชมจากนายท่านฉินและนายน้อยฉิน ในอนาคตข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนตระกูลฉิน พี่ฉินโปรดวางใจได้”
ชิ!
ให้ตายสิ นั่นใช่สิ่งที่ข้าหมายถึงเสียเมื่อไหร่?
ฉินเฟิงโกรธจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือดแล้ว
เมื่อกลับไปที่เรือนหลัง และจัดการเรื่องที่อยู่ของหลินฉวีฉีเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็สั่งให้ฉินเสี่ยวฝูย้ายเข้ามาที่เรือนหลังเช่นกัน โดยให้อาศัยอยู่ข้างห้องหลินฉวีฉี จับตาดูเจ้าหมอนี่อย่างใกล้ชิด ห้ามไม่ให้พูดคุยกับสตรีในตระกูลฉินที่ได้คะแนนหน้าตาดีมากกว่าแปดสิบคะแนนเป็นการส่วนตัวเด็ดขาด!
ในเวลาเดียวกัน พระราชวังต้องห้าม ตำหนักรุ่ยอวิ๋น
ขันทีหนุ่มอายุไม่เกินสิบห้าสิบหกปีนั่งหาว พยายามประคองสติตัวเอง แล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ดึกมากแล้ว โปรดพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง อายุไม่ต่างจากขันทีน้อยมากนัก อีกทั้งยังมีใบหน้าที่ดูเด็กกว่าอยู่เล็กน้อย ในมือเขาถือ ‘กลยุทธ์การปกครองแคว้น’ ไว้และอ่านอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นว่าขันทีตัวน้อยทนความง่วงไม่ไหว แล้วจึงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าออกไปก่อน เราจะอ่านต่ออีกสักหน่อย”
ขันทีหนุ่มยิ้มขื่น “องค์ชายไม่นอน ต่อให้กระหม่อมง่วงแค่ไหนก็นอนไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ วันนี้เป็นวันมงคลนัก นอนดึกสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดเลิกคิ้ว และถามอย่างสงสัย “เสี่ยวจั๋วจื่อ ตอบเราหน่อย วันมงคลอันใดของเจ้า”
ขันทีที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวจั๋วจื่อ’ พลันก็กระตือรือร้น และพูดอย่างตื่นเต้น “องค์ชายรองทรงประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ยังไม่นับว่ามงคลหรือพ่ะย่ะค่ะ? ตอนนี้สงครามกับเป่ยตี๋ได้ข้อสรุปแล้ว ตราบใดที่มีการเตรียมการอย่างดีก็สามารถโจมตีเป่ยตี๋ได้ การแสดงแสนยานุภาพแห่งแคว้นต้าเหลียงเรา ไม่ใช่สิ่งที่องค์ชายทรงคาดหวังไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ องค์ชายเจ็ดก็อดไม่ได้ที่จะสนใจขึ้นมา วางตำราลงแล้วเอ่ยพูดด้วยความปรารถนาว่า “ใช่! ถ้าไม่เปิดศึกปีนี้ ปีต่อไปหากจะสู้ก็คงต้องเสียเงินมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวหรืออาจจะหลายสิบเท่า แม้ว่าเราจะรู้ถึงผลกระทบอยู่แล้ว แต่เราแค่อยากหลีกเลี่ยงการปะทะกับเสด็จพี่จึงจงใจไม่พูดถึง อย่างไรก็ตามพระทัยเสด็จพ่อก็เหมือนกับกระจกใส อ่านได้ง่าย ข้าจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก”
“แต่วันนี้ฉินเฟิงได้ปะทะฝีปากกับพวกบัณฑิตขงจื๊อในราชสำนัก ชี้แจงผลกระทบอย่างชัดเจน ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าพ่อของเรามีเจตนาดี ก็ถือได้ว่าเป็นการเติมเต็มความปรารถนาอย่างหนึ่งของเราแล้ว”
“ได้ยินมาว่า วันนี้เสด็จป้าของเราเรียกฉินเฟิงเข้าพบ เราเองก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตา แต่กังวลว่าเสด็จพี่จะสงสัยจึงไม่ได้ออกไป ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่เราจะได้เห็นอัจฉริยะที่กำลังก่อกวนเมืองหลวงผู้นี้…”
ดวงตาของเสี่ยวจั๋วจื่อเป็นประกาย รีบลดเสียงลง และพูดอย่างตื่นเต้น “ตอบองค์ชาย กระหม่อมได้แอบไปมองดูอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดตกตะลึงในคราแรก จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้น และตั้งตารอ “เจ้าเจอเขาได้อย่างไร? แล้วฉินเฟิงผู้นั้นเป็นคนแบบไหน?”
เมื่อเอ่ยถึงฉินเฟิง เสี่ยวจั๋วจื่อก็พึมพำอยู่ในใจ อธิบายออกไปไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร แต่เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นขององค์ชายเจ็ด เขาจึงเอ่ยตอบด้วยเสียงเบา “ในส่วนของรูปลักษณ์ไม่ถึงกับหล่อเหลา อย่างมากก็แค่ดูดี ส่วนด้านพฤติกรรม มองแวบแรกเขาเหมือนกับคนไร้ยางอายในตลาดทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจอย่างยิ่ง ทว่าในวันนี้ แม้แต่องค์หญิงใหญ่ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เขาเป็นคนที่มีสติปัญญาแต่แสร้งทำเป็นโง่เขลาโดยแท้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดประหลาดใจมาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “พ่อเราเคยบอกว่า ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ เสด็จป้าของข้าฉลาดที่สุด เพียงแต่นางเป็นสตรี ทั้งยังแต่งงานเร็ว จึงไม่มีที่ให้แสดงความสามารถ ถึงกระนั้น แม้แต่เสด็จป้าของเราก็ทำอะไรฉินเฟิงไม่ได้งั้นหรือ อีกทั้งเขายังเป็น… คนพาลและหยิ่งผยองอีกด้วย?”
“หึ ๆ เราชักจะสนใจฉินเฟิงผู้นี้มากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้วสิ”
เมื่อเห็นเสี่ยวจั๋วจื่อหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย องค์ชายเจ็ดอดไม่ได้ที่จะสงสัยอีก “ไยเจ้าจึงหัวเราะ?”
เสี่ยวจั๋วจื่อก้มศีรษะอย่างรวดเร็วเพื่อรับผิด แต่ก็ยังไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มไว้ได้ “องค์ชายโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย กระหม่อมเพียงนึกถึงพฤติกรรมอันธพาลของฉินเฟิงขึ้นมาจึงได้หัวเราะพ่ะย่ะค่ะ เจ้าฉินเฟิงผู้นั้นยามออกจากโถงดอกไม้ทิศตะวันตก เขาก็เก็บผลไม้ขององค์หญิงใหญ่ไปจดหมด ทั้งมองซ้ายแลขวาไปตลอดทางที่เดินออกจากวังราวกับกลัวว่าจะมีใครมาแย่ง…”
[1] คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ : หมายถึง อยู่กับคนแบบไหนก็กลายเป็นคนแบบนั้น
MANGA DISCUSSION