บทที่ 109 นี่คือพี่น้องของข้า
ใบหน้าของหลินฉวีฉีเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว ระหว่างทางมาที่นี่ฉินเฟิงให้สัญญาเสียดิบดี ว่าถ้าอยู่กับเขาจะสุขสบายแน่นอน ปรากฏว่าทันทีที่ก้าวเข้าประตูจวนมานายน้อยฉินก็ใช้เขาเป็นโล่กำบังเสียแล้ว
คำพูดของชายหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วเชื่อถือได้หรือไม่?
หลิ่วหงเหยียนเห็นว่าฉินเฟิงพาคนแปลกหน้ากลับมาหนึ่งคน ภาพลักษณ์พี่หญิงสุดโหดจึงหายไปทันที นางกระซิบเสียงเบา “ฉินเฟิงคนผู้นี้คือใคร”
ฉินเฟิงแนะนำอย่างรวดเร็ว “นี่คือต้นไม้เงินที่ข้าเพิ่งค้นพบ… อะแฮ่ม! นี่คือพี่ชายที่ข้าเพิ่งรู้จัก แซ่หลิน นามฉวีฉี”
เมื่อเห็นว่าหลินฉวีฉีกำลังจะโค้งคำนับหลิ่วหงเหยียน ฉินเฟิงก็จับมืออีกฝ่ายเอาไว้และเอ่ยแนะนำต่อ “นี่คือพี่หญิงรองของข้า หลิ่วหงเหยียน เอาล่ะ ตอนนี้ก็รู้จักกันแล้ว ทุกคนแยกย้ายไปทำกิจธุระของตนเองเถอะ”
หลินฉวีฉีรู้สึกกระอักกระอ่วนและอึดอัดอยู่ในใจ
หลิ่วหงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยดุด้วยเสียงต่ำ “ฉินเฟิง เจ้าจะทำอะไร ผู้มาเยือนเป็นแขก ทำไมไม่ให้ข้าได้พูดอะไรสักหน่อย ไร้มารยาทเกินไปแล้ว”
มารยาทหรือ? คำนี้ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของฉินเฟิงมาตั้งแต่แรกแล้ว!
หลินฉวีฉีหน้าตาหล่อเหลาเอาการ ทั้งยังเป็นบัณฑิตขงจื๊อที่มีชื่อเสียงทางแถบเจียงหนาน รูปลักษณ์ราวต้นหยกเล่นลม*[1] ฉินเฟิงจึงต้องระวังเขาไว้ให้ดี!
แม้ว่าหลิ่วหงเหยียนจะดูไม่พอใจแต่เรื่องนี้ไม่มีที่ให้ต่อรอง ฉินเฟิงตบไหล่หลินฉวีฉีพลางเอ่ยขู่ว่า “พี่หลิน พี่หญิงทั้งสี่ของข้ายังไม่ออกเรือน ทั้งยังไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”
แก้มของหลินฉวีฉีเปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ ย่อมเข้าใจว่าฉินเฟิงหมายความว่าอะไร
เพียงแต่… มีใครที่ไหนพูดเรื่องเช่นนี้อย่างโจ่งแจ้งบ้าง? นี่เป็นการดูถูกกันชัด ๆ! หลินฉวีฉีอยากจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป แต่ไหล่ของเขาถูกฉินเฟิงโอบไว้แน่น
ดวงตาของฉินเฟิงดูเหมือนจะสื่อว่า ‘เงิน เราสามารถแบ่งกันได้ แต่สตรี… อย่าแม้แต่จะคิด!’
หลิ่วหงเหยียนเองก็เข้าใจความหมายเช่นกัน จึงอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงด้วยความอับอาย นางจ้องฉินเฟิงเขม็ง แล้วเอ่ยขอโทษหลินฉวีฉีอย่างรวดเร็ว “ทำให้คุณชายหลินขบขันแล้ว เจ้าเด็กคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็บ้า ๆ บอ ๆ อย่าได้ถือสาหาความกับเขาเลย”
หลินฉวีฉีได้แต่คิดอยู่ในใจ เป็นพี่น้องกันทำไมถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้?
หลินฉวีฉีไม่ทันจะคำนับตอบก็ถูกฉินเฟิงขัดจังหวะอีกครั้ง บัณฑิตหนุ่มสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ พลางก่นด่าอยู่ในใจ ‘ใช้ใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ*[2] ต่อไปถ้าข้าพบสตรีในจวน ข้าจะทำตัวเป็นคนใบ้ไปเสียเลย’
ฉินเฟิงไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว เขารีบคว้าแขนของหลิ่วหงเหยียน เอ่ยด้วยความคาดหวัง “พี่หญิง พ่อค้าน้ำตาลอ้อยเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิ่วหงเหยียนไม่รู้จะจัดการน้องชายผู้นี้อย่างไร จึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้ารั้งพวกเขาไว้ได้แล้ว ตอนนี้ให้พักอยู่ที่ศาลาพักม้า แต่ราคาที่อีกฝ่ายเสนอนั้นสูงเกินไป ข้าคิดว่าเรื่องนี้ยังต้องมีการหารือกันเสียก่อน จึงไม่ได้เร่งรีบตอบกลับ”
ฉินเฟิงผงะไป “อีกฝ่ายเสนอราคาเท่าไร?”
เมื่อหลิ่วหงเหยียนต้องกล่าวถึงเรื่องนี้ นางพลันรู้สึกโกรธเกรี้ยว ในใจอดคิดไม่ได้ว่าพ่อค้าเหล่านี้จงใจกักตุนสินค้าไว้ขึ้นราคา “เมื่อก่อน อ้อยหนึ่งจินมีราคาห้าอีแปะ แต่ราคาที่พ่อค้าเหล่านั้นเสนอคือยี่สิบอีแปะ เพิ่มขึ้นมาถึงสี่เท่า มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงพลันตบต้นขาของเขาทันที “แล้วยังจะลังเลอะไรอีกเล่า รีบตกลงสิ! แค่สี่เท่าเอง ไม่ใช่สิบเท่าเสียหน่อย ข้าหลับอยู่ยังหัวเราะจนตื่นได้เลย*[3]”
หลิ่วหงเหยียนยื่นมือออกไปบีบไหล่ฉินเฟิงอย่างแรง เพื่อปลุกเขาให้ตั้งสติ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการทำกิจการจะต้องควบคุมต้นทุน? หนึ่งจินมีราคาสูงกว่าสิบห้าอีแปะ และหนึ่งหมื่นจินมีราคามากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน หากเจ้าตอบตกลง พวกพ่อค้าจะคิดว่าเราถูกรังแกได้ง่าย และในอนาคตก็จะขึ้นราคาอีกอย่างแน่นอน”
ในเวลานี้มีอ้อยเป็นวัตถุดิบก็ไม่เลวแล้ว จะมามัวคิดบัญชีเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน แม้ว่าจะต้องเพิ่มอีกห้าร้อยตำลึงเงิน ฉินเฟิงก็จะไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ ตระกูลเจียงที่ผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำตาลในเมืองหลวงจะต้องนัดหมายสถานที่และเวลากับพ่อค้าเพื่อพบปะแล้วเป็นแน่ หากไม่พบพ่อค้าตามเวลาที่กำหนดย่อมต้องสืบสาวหาความอย่างแน่นอน หากถึงเวลานั้นทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว
เมื่อฉินเฟิงเห็นว่าเถียงไปก็ไม่ได้อะไร จึงกัดฟันพูดว่า “พี่หญิงรอง ท่านสามารถรั้งตัวพ่อค้าเอาไว้ได้ก็ถือว่าทำสิ่งแรกสำเร็จแล้ว เรื่องที่เหลือท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะไปศาลาพักม้าเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นฉินเฟิงวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ หลิ่วหงเหยียนก็ตะโกนไล่หลังไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องรีบหรอก บิดาต้องการพบเจ้า เจ้าไปห้องตำราก่อนเถิด”
ฉินเฟิงคิดกับตัวเองว่า พ่อจะอยากเจอเขาไปทำไม? นั่นต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายคันไม้คันมือ เลยคิดจะใช้เขาเป็นกระสอบทรายละสิแน่ ๆ
ตอนนี้มีธุระสำคัญ ต่อให้ฟ้าถล่มก็ค่อยกลับมาว่ากันทีหลัง
ฉินเฟิงลากหลินฉวีฉี วิ่งเหยาะ ๆ ไปตลอดทางจนถึงศาลาพักม้า
เสี่ยวเอ้อร์ประจำศาลาพักม้าจำฉินเฟิงได้ พลันตัวสั่นด้วยความตกใจ เขาคุกเข่าลงกับพื้นทันที “นาย…นายน้อยฉิน ลมอะไรพัดพาท่านมาถึงที่นี่ได้ขอรับ”
ในศาลาพักม้ามีคนอยู่สองชนชั้น หนึ่งคือพ่อค้าทำกิจการซึ่งพยายามทำตัวไม่เป็นที่รู้จัก และสองคือคนจน
อย่าว่าแต่เสี่ยวเอ้อร์เลย แม้แต่หลงจู๊ศาลาพักม้าก็ไม่เคยสัมผัสกับ ‘บุคคลสำคัญ’ อย่างเช่นฉินเฟิง เขาตกใจกลัวจนวิ่งออกมาจากหลังโต๊ะบัญชีเพื่อคุกเข่าคำนับ
ฉินเฟิงเตะเสี่ยวเอ้อร์แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์สักหน่อย พวกเจ้าจะคุกเข่ากันทำไม? ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ อย่าวุ่นวาย!”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วแข็งใจลุกขึ้นยืน
หลงจู๊หัวใจเต้นแรง ถูมือไปมา แล้วเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยฉิน ท่านหยุดพักเพื่อทานอาหารหรือว่าต้องการเข้าพักค้างคืนขอรับ?”
ฉินเฟิงคร้านเกินกว่าจะพูดด้วย จึงเอ่ยจุดประสงค์ออกมาตรง ๆ หลงจู๊ย่อมไม่กล้าที่จะละเลย จึงเชิญพ่อค้าหลายรายเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของศาลาพักม้าอย่างรวดเร็ว
พ่อค้าทั้งสี่รายนี้เป็นผู้ค้าประจำของตระกูลเจียง หากตระกูลฉินไม่เป็นถึงตระกูลเสนาบดีกรมกลาโหม พวกเขาคงไม่มาที่ศาลาพักม้าพุพังแห่งนี้
เมื่อเห็นฉินเฟิงผลักประตูเข้ามา เฉินผิงที่เป็นผู้นำก็ขยิบตาให้อีกสามคนอย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณเตือนให้พวกเขาระวังไว้ให้ดี จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นเพียงคนเดียว แสร้งทำเป็นประสานมือทักทายฉินเฟิงอย่างกระตือรือร้น “ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด ท่านคงจะเป็นนายน้อยแห่งตระกูลฉินตามคำร่ำลือใช่หรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงสอบถามเกี่ยวกับตัวตนของฉินเฟิงกับหลงจู๊ไว้ล่วงหน้าแล้ว
คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ขึ้นเหนือล่องใต้มานานหลายปี วาจาจึงลื่นไหลมาก
ฉินเฟิงเอ่ยตรงประเด็น “ทุกท่านเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ มีอ้อยมาเท่าไหร่? ข้าต้องการมันทั้งหมด”
เฉินผิงเตรียมพูดเรื่องไร้สาระเอาไว้มากมาย คิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะพูดตรงประเด็นขนาดนี้ เขาพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง แต่เพราะมีประสบการณ์โชกโชนพอตัว จึงตั้งสติได้ไม่ยาก และเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ถือเป็นเกียรติสำหรับพวกเราที่นายน้อยฉินอยากจะทำการค้าด้วย เพียงแต่… นายน้อยฉินไม่ทราบหรือว่าพวกข้าเป็นผู้ค้าประจำของตระกูลเจียง?”
ฉินเฟิงดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง ส่งสัญญาณให้หลินฉวีฉีนั่งข้าง ๆ เพื่อเรียนรู้วิธีทำกิจการ จากนั้นเขาก็มองไปที่เฉินผิงด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลเจียงตระกูลฉินอันใด หยุดพูดไร้สาระเถอะ ข้าจะถามอีกครั้งว่าพวกเจ้ามีอ้อยเท่าไหร่?”
เฉินผิงผงะไปอีกครั้ง เขาค้าขายมาหลายปีดีดัก แน่นอนว่าเคยเห็นคนหยิ่งผยอง แต่เขาไม่เคยเห็นคนที่หยิ่งผยองถึงขนาดนี้มาก่อน
ทว่าไม่ว่าจะตระกูลฉินหรือตระกูลเจียง เฉินผิงต่างไม่สามารถยั่วยุได้ เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงแข็งกร้าวเพียงใด เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลดจุดยืนลง “ในเมื่อนายน้อยฉินอยากทำกิจการอย่างจริงใจ เช่นนั้นท่านเสนอราคามาก่อน เมื่อสรุปราคาได้แล้ว ค่อยหารือเรื่องจำนวน…”
[1] ต้นหยกเล่นลม : อุปมาถึงชายหนุ่มที่อ่อนโยนและงามสง่า
[2] ใช้ใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ : เอาความคิดของคนไม่ดีไปตัดสินคนที่มีคุณธรรม
[3] หลับอยู่ยังหัวเราะจนตื่นได้ : ใช้อธิบายเรื่องน่ายินดีที่ดูไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
MANGA DISCUSSION