บทที่ 108 ขึ้นเรือโจร
ฉีหยางจวิ้นจู่คาดไม่ถึงว่ามารดาผู้หยิ่งผยองของนางจะประเมินคนหน้าด้านอย่างฉินเฟิงสูงเพียงนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเบะริมฝีปาก และเอ่ยด้วยความดูถูก
“เขาก็แค่คนหน้าด้าน ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้เรื่องนี้ ถ้าเขาฉลาดอย่างที่ท่านแม่กล่าวจริง ๆ เขาควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนให้มาก แต่ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างยุ่งวุ่นวายไปหมดเพราะเขา วันนี้ในราชสำนักเขาปะทะฝีปากกับมหาบัณฑิต เรื่องนี้จะต้องถูกโพนทะนาออกไปแน่ คนที่ชอบโอ้อวดเพียงนี้ ต่อให้ฉลาดแค่ไหนก็คงรู้จักแต่การใช้กลอุบาย”
องค์หญิงใหญ่จับแขนของฉีหยางจวิ้นจู่ด้วยสายตารักใคร่ พลางกล่าววาจาจริงจัง “ดังคำกล่าวที่ว่า อาศรมเล็กซ่อนตัวอยู่ในป่า และอาศรมใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในเมือง*[1] อย่าถูกรูปลักษณ์ภายนอกของฉินเฟิง แม่รับประกันว่าอีกไม่นาน ชายหนุ่มคนนี้จะต้องกลายเป็นบุคคลสำคัญของต้าเหลียงเป็นแน่”
ฉีหยางจวิ้นจู่ไม่เคยสงสัยในวิสัยทัศน์ของมารดา เมื่อเห็นว่ามารดามั่นใจมากขนาดนี้ นางจึงไม่โต้แย้งอีกต่อไป และเอ่ยอย่างไตร่ตรอง “ในเมื่อท่านแม่เห็นว่าฉินเฟิงมีอนาคต ทำไมจึงถามเรื่องการแต่งงานของฉินเฟิงกับอวิ๋นเอ๋อร์เล่า”
องค์หญิงใหญ่หรี่ตาลงเล็กน้อย หว่างคิ้วเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ “อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ชอบฉินเฟิงเสียที่ไหนล่ะ? เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงปฏิเสธอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้ายังเด็กนักย่อมไม่เข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิง แม่ไม่เพียงแต่ไม่คิดจะแยกฉินเฟิงกับอวิ๋นเอ๋อร์ แต่ยังจะส่งเสริมให้สองคนนี้เปลี่ยนจากคู่แค้นเป็นคู่รักด้วย”
หนิงกั๋วกงกับพ่อของเจ้าเป็นเพื่อนร่วมสาบาน พวกเขาผ่านความเป็นความตายในสนามรบมาด้วยกัน หนิงกั๋วกงให้การสนับสนุนแก่เด็กกำพร้าและแม่ม่ายอย่างเราสองแม่ลูกเต็มที่ ตราบใดที่ตระกูลฉินและตระกูลเซี่ยเป็นทองแผ่นเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะเป็นเช่นไร”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของฉีหยางจวิ้นจู่ก็เปล่งประกาย นางเอ่ยอย่างตื่นเต้น “สมแล้วที่เป็นท่านแม่ มีสายตากว้างไกลจริง ๆ!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉีหยางจวิ้นจู่ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “น่าเสียดาย อวิ๋นเอ๋อร์ดีกว่าคนหน้าด้านอย่างฉินเฟิงตั้งมาก นี่เหมือนกับปักดอกไม้ลงบนมูลวัวไม่มีผิด*[2]”
ฉินเฟิงยืนอยู่ที่หน้าประตูโถงดอกไม้ทิศตะวันตกพร้อมผลไม้ในห่อผ้า ชายหนุ่มยืนพิงกรอบประตูแทะผลไม้ไปพลางฮัมเพลงไปพลาง
จนกระทั่งแทะผิงกั่วไปสามผล นางกำนัลผู้หยิ่งยโสคนนั้นถึงได้ปรากฏตัวขึ้น เมื่อพบหน้าเขานางพลันเยาะเย้ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายฉินไยจึงยังไม่ออกจากวังอีก หรือว่าตัดใจออกไปไม่ได้?”
ฉินเฟิงก่นด่าอยู่ในใจ แต่บนใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางอย่าล้อข้าเล่นเลย นี่คือวังหลัง หากไม่มีคนนำทางก็เท่ากับการบุกรุกเข้าเขตต้องห้าม ถือเป็นโทษร้ายแรง เมื่อถึงเวลาที่ถูกทหารรักษาพระองค์บั่นคอ ข้าคงกลายเป็นวิญญาณแค้นแล้ว?”
นางกำนัลเบะริมฝีปาก แล้วพูดว่า “เจ้าฉลาดมาก ข้าวางกับดักไว้มากมาย แต่เจ้ากลับไม่ตกหลุมพรางเลย ช่างเถิด ตามข้ามา!”
ฉินเฟิงรู้ดีว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังคอยสั่งการนางกำนัลแน่ อีกฝ่ายพยายามทุกวิถีทางเพื่อลวงให้ฉินเฟิงทำผิด ถึงเวลานั้นก็จะใช้โอกาสนี้ใส่ร้ายเขา
ส่วนผู้บงการเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงใหญ่หรือใครก็ตาม ตอนนี้ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด ไม่ว่าอย่างไร ออกจากสถานที่น่ากลัวแห่งนี้ไปก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า
ภายใต้การนำทางของนางกำนัลผู้หยิ่งยโส ในที่สุดฉินเฟิงก็ได้กลับมาที่ประตูพระราชวัง นายน้อยฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“นี่ ฉินเฟิง!” นางกำนัลตะโกนลั่น เอ่ยแฝงความนัยบางอย่าง “นี่เป็นพระราชวังต้องห้าม เข้าง่ายออกยาก ต่อไปก่อนจะมาที่นี่อีกจงคิดดูให้ดี ประตูหลังยังรอเจ้าอยู่เสมอ”
บัดซบ! ข้าก็แค่อยากหาเงินเท่านั้นเอง ข้าไปยั่วยุใครอย่างนั้นหรือ? ถึงคิดแต่จะโยนข้าออกทางประตูหลังอยู่ได้ พระราชวังบ้าบออะไรกัน ใครอยากมาก็มา ต่อไปข้าไม่มาแล้ว!
ฉินเฟิงไม่สนใจนางกำนัลผู้นั้นอีก ชายหนุ่มวิ่งออกจากประตูพระราชวังไปทันที
ในเวลานี้ จิ่งเชียนอิ่งกับฉินเสี่ยวฝูกำลังรออยู่ที่ประตู หลินฉวีฉีเองก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นจิ่งเชียนอิ่ง นายน้อยฉินก็รีบวิ่งเข้าไปหา พลางฟ้องว่าจิตใจอันเปราะบางของตนเองได้รับบาดเจ็บเพียงใด ทั้งยังขอกอดอีกด้วย สุดท้ายจึงถูกจิ่งเชียนอิ่งเตะออกไป
ฉินเฟิงชินอยู่แล้ว เขาลุกขึ้นจากพื้น แล้วตบฝุ่นที่ติดตามร่างกาย
ในทางตรงกันข้าม หลินฉวีฉีมีสีหน้าแปลก ๆ บอกไม่ถูกว่าตลกหรือตกใจ เขามักจะรู้สึกว่าถึงแม้ฉินเฟิงจะมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม แต่อีกฝ่ายก็ดูไม่เอาการเอางาน บัณฑิตหน้าหยกรู้สึกราวกับถูกหลอกให้ขึ้นเรือโจร แต่จะมาเสียใจตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว…
ฉินเฟิงเดินไปโอบคอหลินฉวีฉี ลากอีกฝ่ายเข้ามาแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ก่อนหน้านี้เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ จริงสิ การพัฒนาช่วงแรกของร้านหนังสือ ตอนนี้ในมือข้ามีหลายอย่างมากเกินไป ร้านหนังสืออาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่อย่ากังวลมากนัก ข้าจะให้ค่าจ้างเจ้าระหว่างรอทำงาน รอข้ามีเวลา จะจัดการให้เจ้าเข้าทำงานโดยเร็วที่สุด”
“ค่าจ้างระหว่างรอทำงาน? เจ้าหมายถึงอะไร?” หลินฉวีฉีรู้สึกสับสน
ฉินเฟิงตระหนี่ถี่เหนียวมาโดยตลอด แต่เขาก็ยินดีจะใช้เงินในการสรรหาผู้มีความสามารถ เขาโบกมือ และพูดจาใหญ่โต “ข้าจะให้เงินเจ้าหนึ่งพันตำลึงเงินต่อเดือน เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย เมื่อเจ้ากลายเป็นหลงจู๊ประจำร้านหนังสือแล้วค่อยมาคุยเรื่องค่าจ้างกันใหม่ อ้อจริงสิ ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหนหรือ?”
หลินฉวีฉีอ้าปากค้าง คิดว่าตนเองกำลังฝันไป
ได้เงินหนึ่งพันตำลึงเงินต่อเดือนโดยไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? สมกับเป็นบุตรหลานขุนนางแห่งเมืองหลวง ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้ว
นอกจากตกใจแล้ว หลินฉวีฉีก็รู้สึกกระดากอาย “ข้าอาศัยอยู่ที่ศาลาพักม้ามาตลอด…”
หลินฉวีฉีไม่ทันจะพูดจบ ฉินเฟิงก็เอ่ยแทรก “สถานที่แบบนั้นคนอาศัยอยู่ได้ด้วยหรือ? เอาแบบนี้เถิด เจ้าไปเก็บข้าวของย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนฉิน ข้าจะไปเก็บห้องให้เจ้าในเรือนหลัง จากนี้ไปเราสองคนก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันแล้วนะ”
หลินฉวีฉีรู้สึกซึ้งใจ แม้ว่าเขาจะเป็นบัณฑิตขงจื๊อที่มีชื่อเสียงทางเจียงหนาน มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าวังเพื่อทัดทานฮ่องเต้ แต่เขาก็ยังเป็นแค่คนธรรมดาสามัญ ไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝันว่าตนจะสามารถเข้าไปอยู่ในจวนเสนาบดีได้
หลินฉวีฉีไม่ได้ตื่นตระหนกกับโชคดีที่ตกลงมาจากท้องฟ้า แต่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “พี่ฉิน ทำไมเจ้าถึงให้ค่าจ้างข้ามากขนาดนี้”
ฉินเฟิงรู้ว่าในตอนนี้หลินฉวีฉีกำลังตื่นตระหนก เพื่อปลอบใจอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่พูดอ้อมค้อมอีก เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย แสดงทางท่าแบบพ่อค้าหน้าเลือดอย่างชัดเจน “ข้าจ่ายให้เป็นค่าชื่อเสียงของเจ้า!”
ในเมื่อหลินฉวีฉีสามารถเข้าวังไปทัดทานฮ่องเต้ได้ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ชื่อเสียงและฐานะของเขาในเจียงหนาน
เนื่องจากชื่อเสียงของฉินเฟิง ‘ฉาวโฉ่’ เกินไปจึงไม่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจหลายอย่าง เขาต้องการตัวแทนอย่างเร่งด่วน และหลินฉวีฉีก็เป็นดั่งของขวัญที่ฟ้าประทานมาให้นายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้
ในฐานะปัญญาชน หลินฉวีฉีมักดูหมิ่นพวกพ่อค้าที่คิดแต่เรื่องเงินอยู่เสมอ ทว่าหลังจากฟังคำพูดของฉินเฟิงในราชสำนัก หลินฉวีฉีก็ได้รับแรงบันดาลใจ ทัศนคติแบบเหมารวมต่อพ่อค้าของเขาเองก็เปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน
ประกอบกับความจริงที่ว่าฉินเฟิงเป็นคน ‘เปิดเผย’ ไม่ปิดบังสิ่งใด หลินฉวีฉีจึงตัดสินใจว่าจะร่วมมือกับนายน้อยฉิน
เดิมทีฉินเฟิงวางแผนจะให้หลินฉวีฉีไปเก็บสัมภาระที่ศาลาพักม้า แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนความคิด ตอนนี้ตนกำลังตกเป็นเป้าหมายขององค์ชายรองและองค์หญิงใหญ่ หากระหว่างทางอีกฝ่ายลงมือกับหลินฉวีฉี เช่นนั้นแล้วก็ถือว่าเขาได้รับความสูญเสียไม่น้อย
ชายหนุ่มจึงลากหลินฉวีฉีกลับไปที่จวน และส่งฉินเสี่ยวฝูไปขนย้ายกระเป๋าสัมภาระมาแทน
ปรากฏว่าทันทีที่เขาเข้าประตูจวน เท้ายังไม่ทันเหยียบยืนได้อย่างมั่นคง ฉินเฟิงก็รู้สึกได้ถึงแรงเตะอันรุนแรงที่ก้นแล้ว เดิมคิดว่าเป็นบิดาจึงรีบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหลินฉวีฉี แยกเขี้ยวยิงฟันตะโกนลั่น “พี่หลิน ช่วยบังข้าเร็วเข้า!”
ก่อนที่หลินฉวีฉีจะได้สติ เสียงหัวเราะของหลิ่วหงเหยียนก็ดังขึ้น “เจ้าเด็กเหลือขอ ได้ยินมาว่าเจ้าทำความดีความชอบในราชสำนักอีกแล้ว? หึ! ไม่เสียแรงที่ข้าคอยให้ท้ายเจ้า”
พี่หญิงรองนี่เอง…
ฉินเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยืดตัวขึ้น แล้วตบไหล่หลินฉวีฉีอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไร ๆ ไม่ต้องตกใจไป”
[1] อาศรมเล็กซ่อนตัวอยู่ในป่าและอาศรมใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในเมือง : คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง คือ คนที่สามารถรับมือกับเรื่องวุ่นวายได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางปัญหามากมาย
[2] ปักดอกไม้ลงบนมูลวัว : หญิงสาวที่มีความสามารถโดดเด่นซึ่งแต่งงานกับสามีที่น่าเกลียดหรือน่ารังเกียจ หรือ ผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถใช้พรสวรรค์ของตนได้ นอกจากนี้ยังหมายถึงของล้ำค่าที่ตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่เหมาะจะเป็นเจ้าของได้ด้วย
MANGA DISCUSSION