บทที่ 105 ผู้สูงศักดิ์เรียกพบ
นางกำนัลมองดูฉินเฟิงด้วยสายตาประหม่า จากนั้นก็ไม่มากความอีก นางเดินมุ่งหน้านำไปทางวังหลัง
มีคนสามประเภทที่ฉินเฟิงเกลียดมากที่สุดในชีวิต
ประเภทแรกคือคนที่รังแกคนข้างกายของเขา ประเภทที่สองคือคนที่หล่อกว่า และประเภทที่สามคือคนที่บ้าคลั่งกว่า
โชคไม่ดีที่นางกำนัลผู้เย่อหยิ่งตรงหน้าบังเอิญเป็นคนประเภทที่สาม
ฉินเฟิงแค่นเสียง ‘เหอะ’ ออกมา เขาไม่กลัวหรอก ชายหนุ่มไม่สนใจนางกำนัลคนนั้นอีก “ข่มขู่ข้าหรือ? ข้าเป็นคนอารมณ์ร้ายนะ! ไปกันเถอะพี่หลิน ไม่ต้องสนใจนาง ไปหาร้านนั่ง ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้า จากนั้นเราก็มาคุยกันเรื่องการเปิดร้านหนังสือกันดีกว่า”
หลินฉวีฉีหวาดกลัวจนน่องขาสั่นเท่า เขารีบเตือนฉินเฟิงด้วยเสียงต่ำ “พี่ฉินดังคำพูดที่ว่าผีรับใช้รับมือยากกว่าพญายม อย่าไปจริงจังกับนางกำนัลคนนี้เลยขอรับจะได้ไม่มีปัญหา”
ฉินเฟิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา แพ้คนได้แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ในศักดิ์ศรี “หากเจ้าไม่หยุดข้า ข้าก็จะไม่สนใจนางอย่างแน่นอน บอกก่อนว่า ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาด ข้าแค่ไว้หน้าเจ้าก็เท่านั้น”
หลินฉวีฉีอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉินไปเถิด อย่าได้รอช้า”
แม้ว่าภายในใจฉินเฟิงจะรู้สึกไม่เต็มใจอย่างถึงที่สุด แต่เขาก็ทำได้เพียงติดตามนางกำนัลไปยังวังหลังเท่านั้น ผู้สูงศักดิ์แห่งวังหลังเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนกในกรง ประตูใหญ่ไม่ได้ออก ประตูข้างไม่ได้ย่างกราย ตลอดทั้งวันเอาแต่คิดว่าจะทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีไหน ใครก็ตามที่ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ พริบตาเดียวจะต้องกลายเป็นคนเลวทรามอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นฉินเฟิงวิ่งตามไป หลินฉวีฉีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่เป็นอัจฉริยะ มีความสามารถ ล้วนมีเอกลักษณ์และแตกต่างจากคนทั่วไป พี่ฉินคนนี้ก็ให้ความรู้สึกเช่นนั้นเลย…”
ขณะที่กำลังถอนหายใจ ทหารรักษาพระราชวังที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เข้ามาล้อมเขาไว้แล้ว แต่ละคนท่าทางดุร้ายน่ากลัว แม้จะไม่สามารถแตะต้องฉินเฟิงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะแตะต้องบัณฑิตขงจื๊อผู้ยากจนตัวเล็ก ๆ ไม่ได้เสียหน่อย
หลินฉวีฉีตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขารีบถอยออกจากประตูวังโดยก้มศีรษะลง และรออยู่ด้านนอก
ในเวลาเดียวกัน ร่างที่ไม่สะดุดตาก็ออกจากประตูพระราชวัง ไม่นานก็มาถึงห้องทรงพระอักษร และเข้าไปกระซิบคำพูดสองสามคำกับหลี่จ้าน
หลี่จ้านไม่กล้าชักช้า รีบไปหาองค์ฮ่องเต้แล้วกระซิบ “ทูลฝ่าบาท ฉินเฟิงถูกตำหนักอวี้หนิงเรียกตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจดจ่ออยู่กับการศึกษากลยุทธ์ระดมทุน จึงตอบกลับไปอย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ให้เขาไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจไป”
หลี่จ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรวบรวมความกล้า เอ่ยหยั่งเชิง “นอกจากนี้ ฉินเฟิงยังกล่าวถึงการเปิดร้านหนังสือด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้?” ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเริ่มสนใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงปรายหางพระเนตรมอง “เขาคิดวิธีการหาเงินได้อีกแล้วหรือ? พรสวรรค์ของฉินเฟิงทำให้เจิ้นประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่าจริง ๆ เท่าที่เจิ้นรู้จักคนผู้นี้ สิ่งที่เขาเข้าไปแทรกแซงจะต้องมีผลกำไรมหาศาลแน่นอน ช่างเถิด ไม่จำเป็นต้องเจาะลึกเหตุผลกลใน เพียงให้ฉินเฟิงจ่ายเงินเข้าท้องพระคลังทุกเดือนก็พอ การที่เจิ้นอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ธุรกิจเล็ก ๆ ของเขาคงมิทำให้เสียผลประโยชน์อะไร”
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงพระสรวลอารมณ์ดี หลี่จ้านก็ค่อย ๆ ใจกล้าขึ้นมา พลางเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “เกรงว่าฝ่าบาทจะตรัสช้าเกินไปพ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่ฉินเฟิงบอกว่าจะเปิดร้านหนังสือ เขาก็บอกอีกว่าจะจ่ายภาษีสองสามส่วน เห็นว่าเป็นการกอบกู้ประเทศทางอ้อมพ่ะย่ะค่ะ…”
“ฮ่า ๆ” ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงพระสรวลเสียงดังอย่างอดไม่อยู่ “ช่างเป็นการกอบกู้ประเทศทางอ้อมที่ดียิ่ง ฉินเฟิงหนอฉินเฟิง เจิ้นชอบเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
เสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ในห้องทรงพระอักษร หลังจากนั้นสายตาของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็กลับมาจดจ่ออยู่ที่กลยุทธ์ระดมทุน และตรัสเบา ๆ ทิ้งท้ายว่า “หัวหน้าขันทีหลี่ เจ้าไปที่ตำหนักอวี้หนิงสักเที่ยว ไม่ต้องปรากฏตัว แค่คุ้มครองอยู่ในที่ลับก็พอ ท้ายที่สุดแล้วจิตใจของสตรีลึกล้ำดุจเข็มในมหาสมุทร มิกลัวหนึ่งหมื่นทว่ากลัวหนึ่งในหมื่นที่ไม่อาจคาดเดา*[1]”
หลี่จ้านรับคำสั่งและมิกล้าชักช้า รีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักอวี้หนิงทันที
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ณ ห้องโถงดอกไม้ทิศตะวันตกของตำหนักอวี้หนิง นางกำนัลผลักฉินเฟิงเข้าไปในห้องโถงส่ง ๆ และจากไปอย่างรวดเร็ว
ฉินเฟิงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาด ชายหนุ่มได้แต่พึมพำอยู่ในใจว่า มีสตรีนางใดบ้างที่อยู่ในวังหลังมิได้มีสถานะสูงส่ง เพียงปะทะกันเล็กน้อยก็ถือเป็นโทษประหารชีวิตได้แล้วกระมัง
ไม่ใช่ว่านางกำนัลสมควรตายนั่นบังคับเขาให้กระทำเรื่องผิดพลาดอย่างชัดเจนหรอกหรือ!
ฉินเฟิงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟัน และเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปตามทางแคบของโถงดอกไม้ทิศตะวันตก หลังจากเดินมาได้กว่าสามจั้ง เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
หัวใจของฉินเฟิงเต้นรัว เขาไม่มีผู้นำทางอยู่ข้างกาย หากเข้าไปพบกับผู้สูงศักดิ์อย่างบุ่มบ่าม แม้ว่าจะเป็นเพียงนางสนม แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทั้งตระกูลของเขาต้องโทษยาพิษหนึ่งกา
ไม่ได้ ต้องถอนตัว!
ฉินเฟิงหันหลังกลับและจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาก้าวออกมา นายน้อยฉินก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลและมีเสน่ห์ดังมาจากด้านหลัง “มาถึงที่นี่แล้ว ไยต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ? มิใช่ว่านายน้อยฉินไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่วิสัยของเจ้าเลย”
ช่างเป็นเสียงเวทมนตร์ที่ทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง เสียงหวานซ่านลึกถึงกระดูก ฉินเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ หันหลังกลับอย่างกล้าหาญ และเดินไปตามทิศทางของเสียง
ฉินเฟิงเดิมมาได้ครู่หนึ่งจึงพบกับศาลาที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ มีสตรีสามนางอยู่ในศาลา เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ฉินเฟิงก็แอบถอนหายใจออกมา
นอกจากนางกำนัลที่ยืนปรนนิบัติอยู่ข้างกายแล้ว ฉินเฟิงยังเหมือนจะรู้จักหนึ่งในสตรีเหล่านั้น เขาจำสตรีที่อ่อนเยาว์คนนั้นได้อย่างรวดเร็ว นางคือฉีหยางจวิ้นจู่ผู้ต้องการบทกวีในหอวิจิตรศิลป์วันนั้น
สตรีที่อยู่ตรงข้ามนางดูมีอายุประมาณหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นเจ้าของคิ้วกิ่งหลิวและดวงตาหงส์ที่มีเสน่ห์โดยกำเนิด
มีเสน่ห์ทว่าในขณะเดียวกันก็หยิ่งผยอง
ร่างในชุดคลุมหงส์หลวนสีทองดูหรูหรางดงาม จึงไม่ยากที่จะคาดเดาได้ว่า สตรีวัยกลางคนที่มีเสน่ห์ผู้นี้คือมารดาผู้ให้กำเนิดฉีหยางจวิ้นจู่ องค์หญิงใหญ่!
ฉินเฟิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาวิ่งเขย่งเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว โค้งคำนับและกล่าวด้วยความเคารพนอบน้อม “ฉินเฟิง ราษฎรผู้ต่ำต้อยถวายพระพรองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
เนื่องจากองค์หญิงใหญ่สูญเสียสามีไป นางกลับมาใช้ชีวิตในวังหลังก็ถือว่าสมเหตุสมผล
เพียงแต่ฉินเฟิงไม่เข้าใจว่า เขาเองก็ไม่คุ้นเคยกับองค์หญิงใหญ่เสียหน่อย เหตุใดอยู่ดี ๆ อีกฝ่ายจึงเรียกเขามาเช่นนี้?
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เสียงขององค์หญิงใหญ่ก็ดังขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ชอบคุกเข่า แม้ว่าเจ้าจะเข้าพบฝ่าบาทเจ้าก็เพียงแค่โค้งคำนับเท่านั้น หากองค์หญิงอย่างข้าไม่เชื่อแล้วจะให้เจ้าคุกเข่าให้จงได้เล่า จะเป็นอย่างไร?”
ทันทีที่อีกฝ่ายเปล่งเสียงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ ฉินเฟิงก็ได้กลิ่นผิดปกติ มันเป็นกลิ่นที่คุกรุ่นอย่างรุนแรงทีเดียว
ฉินเฟิงไม่รู้ว่าตนไปทำให้บรรพบุรุษท่านนี้ขุ่นเคืองมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นหนึ่งในสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในวังหลัง ชายหนุ่มจึงไม่กล้าที่จะลังเล รีบก้มศีรษะลงแล้วอธิบาย “ทูลองค์หญิง กระหม่อมมีโรคแปลกประหลาด เกรงว่า…”
ก่อนที่ฉินเฟิงจะพูดจบ ฉีหยางจวิ้นจู่ก็หัวเราะจนหลังแอ่น เสียงราวกับระฆังเงินกังวานไปทั่วโถงดอกไม้ทิศตะวันตก “ฮ่า ๆ มีโรคประหลาดที่ทำให้ไม่สามารถงอเข่าได้อย่างนั้นหรือ ในเมืองหลวงแห่งนี้มีใครไม่รู้เรื่องนี้บ้างเล่า? ท่านแม่เจ้าคะ ฉินเฟิงผู้นี้น่าสนใจทีเดียว”
เดิมทีองค์หญิงใหญ่ต้องการวางอำนาจใส่ฉินเฟิง แต่อารมณ์ของนางกลับถูกฉีหยางจวิ้นจู่ทำลายสิ้น นางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะฉินเฟิง เจ้าเงยหน้าขึ้นพูดเถอะ”
ฉินเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และขอบคุณฉีหยางจวิ้นจู่จากก้นบึ้งของหัวใจสำหรับการช่วยเหลือครั้งนี้
เมื่อฉินเฟิงมองไปที่องค์หญิงใหญ่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
องค์หญิงใหญ่ผู้นี้ไม่เพียงแต่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเปล่งประกายความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์ด้วย สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ ฉินเฟิงคาดไม่ถึงว่านางจะถือเข็มกับด้ายอยู่ในมือ อีกทั้งยังร้อยเข็มโดยไม่เร็วหรือช้าเกินไป
ฝีมืองานปักขององค์หญิงใหญ่ยอดเยี่ยมถึงที่สุด หงส์ปักบนผ้าเช็ดหน้าสีสันสดใสดูราวกับมีชีวิตขึ้นมา จากท่าทางขององค์หญิงใหญ่เห็นได้ชัดว่านางมีบุคลิกที่สุขุม และอ่านได้ยากยิ่ง
[1] มิกลัวหนึ่งหมื่นทว่ากลัวหนึ่งในหมื่นที่ไม่อาจคาดเดา (不怕一万,就怕万一) : อย่ากลัวสิ่งที่ไม่คาดคิดซึ่งเกิดขึ้นนับหมื่นครั้ง แต่จงกลัวสิ่งที่ไม่คาดฝันอันอาจเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้ง
MANGA DISCUSSION