บทที่ 104 กิจการร้านหนังสือ
ดวงตาของหลินฉวีฉีปรากฏความซับซ้อน เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “นายน้อยฉินอาจจะไม่รู้ว่า ในบรรดาบัณฑิตขงจื๊อที่มาเมืองหลวงเพื่อทัดทาน มีเพียงผู้แซ่หลินเท่านั้นที่มีสถานะต่ำต้อยที่สุด มิได้มีพื้นเพมาจากครอบครัวปัญญาชน และคนในตระกูลไม่มีใครเป็นขุนนาง ไม่เช่นนั้นผู้แซ่หลินคงไม่สนใจการสอบจอหงวนเพื่อเข้ารับราชการเช่นนี้หรอก”
เมื่อเห็นหลินฉวีฉีที่ จู่ ๆ ก็ร้องไห้อย่างน่าสังเวชโดยไม่มีที่มาที่ไป ฉินเฟิงก็เกิดสงสัย “เจ้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?”
ดวงตาของหลินฉวีฉีฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจ หลังจากกลั่นกรองอยู่นาน ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยไร้พลังอำนาจ นายน้อยฉินเต็มใจที่จะสานสัมพันธ์กับข้าจริง ๆ หรือ”
อ๋อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง
ทันใดนั้น ฉินเฟิงก็ตระหนักได้ว่าเจ้าหนูนี่กังวลว่าหากร่วมมือกันจะถ่วงรั้งเขา ยังไม่ได้เริ่มก็คิดไปไกลถึงเพียงนี้แล้ว ช่างน่าขบขันจริง ๆ
แต่เมื่อคิดดูก็ตระหนักได้ว่า ทัศนคติที่ระมัดระวังนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดี
ฉินเฟิงทำท่าสอดสองมือลงในกระเป๋าตามความเคยชิน เนื่องจากเขาสวมชุดที่ค่อนข้างหลวม และบนร่างก็หาได้มีกระเป๋าไม่ ชายหนุ่มจึงสอดมือของเขาไปตามเป้ากางเกงทั้งสองด้าน ดูเหมือนหญิงสาวในชนบทที่หยาบกระด้างไร้มารยาทไม่มีผิด
ตำหนักไท่เหอคือสถานที่สำคัญของพระราชวัง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของต้าเหลียง ทว่าแม้แต่ทหารรักษาพระราชวังที่อยู่รอบ ๆ ยังแสร้งทำเป็นไม่เห็น และไม่ได้ใส่ใจกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือหยาบคายของฉินเฟิง
“พี่หลิน ไม่ต้องคิดมาก ขอเพียงยืนยันแค่หนึ่งประโยคว่า เจ้าจะยอมทำกับข้าหรือไม่?”
หลินฉวีฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำกับเจ้า?”
ฉินเฟิงตระหนักว่าเขาพูดผิด จึงรีบหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “แค่ก ๆ การทำเพื่อข้าก็เทียบเท่ากับการทำเพื่อต้าเหลียง เทียบเท่ากับการกอบกู้แว่นแคว้นทางอ้อม สิ่งที่ต้าเหลียงต้องการมากที่สุดทุกวันนี้คืออะไรเล่า?”
หลินฉวีฉีทำท่าทางครุ่นคิด ระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำ “มุ่งมั่นที่จะเอาชนะศัตรู?”
“ผิด!” ฉินเฟิงปฏิเสธอย่างโผงผางโดยไม่ลังเล “ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นหรือกำลังทหาร อาหาร ค่าจ้าง และยุทโธปกรณ์ ทุกอย่างสรุปได้คำเดียวว่า ‘เงิน’”
หลินฉวีฉีจับคางของตนเองแล้วพยักหน้า “สมเหตุสมผล หรือว่านายน้อยฉินต้องการให้คนแซ่หลินทำเงินกับท่าน?”
ฉินเฟิงยกนิ้วโป้งขึ้นอย่างรวดเร็ว และเอ่ยอย่างมีความสุข “พูดคุยกับปัญญาชนง่ายดายจริง ๆ ชี้จุดเดียวก็แจ่มแจ้ง กล่าวคือ การทำสงครามเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำเงิน ขอเพียงท้องพระคลังอุดมสมบูรณ์ เราก็มีความมั่นใจในการต่อสู้กับเป่ยตี๋ ทว่าบัดนี้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมาย ประกอบกับเป่ยตี๋เข้ามาจ่อถึงชายแดน และการป้องกันชายแดนก็ตึงเครียด เรียกได้ว่ามีปัญหาทั้งภายนอกและภายใน ท้องพระคลังจึงว่างเปล่าเป็นอย่างยิ่ง หากจะรับใช้ชาติ สิ่งที่ปฏิบัติได้จริงที่สุดคือการให้เงิน”
หลินฉวีฉีพยักหน้ารัวเร็ว เขาเห็นด้วยกับคำพูดของฉินเฟิงเป็นอย่างมาก เขายังคงมีใจทว่าไร้กำลังที่จะช่วยฉินเฟิงหาเงิน จึงยิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ย “นายน้อยฉิน…”
ฉินเฟิงโบกมือเพื่อขัดจังหวะ “นายน้อยอะไรกัน ห่างเหินเกินไปแล้ว หากเจ้าเห็นชอบก็เรียกข้าว่าพี่ฉิน หรือจะเรียกข้าว่าเสี่ยวฉินก็ย่อมได้”
ทุกวันนี้ผู้ที่สามารถทำเงินได้คือนายใหญ่ ตราบใดที่หลินฉวีฉีสามารถสร้างผลกำไรให้กับฉินเฟิงได้ อย่าว่าแต่เรียกเสี่ยวฉินเลย ฉินเฟิงย่อมเชื่อฟังเขาอย่างว่าง่ายอยู่แล้ว
หลินฉวีฉีไม่เคยเห็นคนประเภทฉินเฟิงมาก่อน เขารู้สึกแปลกใหม่ยิ่งนัก จึงไม่ห่วงหน้าพะวงหลังอีก และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของพี่ฉิน ข้าน้อยไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำกิจการมาก่อน ข้าน้อยเกรงว่า…”
ฉินเฟิงเป็นคนใจร้อน ก่อนที่หลินฉวีฉีจะพูดจบ เขาก็ขัดจังหวะอีกครั้ง “เจ้าเขียนอักษรได้ใช่หรือไม่? แค่ก ๆ ขอข้าเรียบเรียงใหม่ เจ้ามีประสบการณ์ในการเปิดร้านหนังสือหรือไม่? เดี๋ยวก่อน… ข้าขอใช้คำใหม่ ข้าเตรียมจะเปิดร้านหนังสือ และจะแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้จัดการหรือก็คือหลงจู๊ เจ้าแค่ต้องช่วยข้าควบคุมคุณภาพหนังสือเท่านั้น”
หลินฉวีฉีเข้าใจว่าฉินเฟิงหมายถึงอะไร แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย ด้วยสถานะของฉินเฟิง เหตุใดเขาถึงสนใจเปิดร้านหนังสือมากนัก?
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าผลกำไรจากการขายหนังสือจะน่าพึงพอใจ แต่การพึ่งพาธุรกิจขนาดเล็กประเภทนี้เพื่อเติมเต็มท้องพระคลัง ไม่ต่างจากการใช้น้ำหนึ่งถ้วยดับไฟที่กำลังไหม้รถขนฟืน
ท้ายที่สุดแล้ว หลินฉวีฉีรู้สึกว่ากิจการร้านหนังสือไม่น่าเชื่อถือ
แต่เมื่อเห็นสีหน้าคาดหวังของฉินเฟิงกับผลงานในราชสำนักก่อนหน้านี้ของเขา หลินฉวีฉีจึงตัดสินใจจะลองดู เขาโค้งคำนับทันที และเอ่ยว่า “ในเมื่อพี่ฉินเห็นความสำคัญของข้าน้อย ข้าน้อยย่อมยากที่จะปฏิเสธความเมตตา”
ไม่เสียทีที่ฉินเฟิงเปลืองน้ำลายอยู่นาน เขากอดคอของหลินฉวีฉี และเอ่ยอย่างตื่นเต้น “วางใจเถิด พวกเราจะทำเงินด้วยกันในอนาคต ถ้าข้าได้กินเพิ่มหนึ่งคำจะไม่ยอมให้เจ้าดื่มน้อยลงเด็ดขาด”
หลินฉวีฉีได้พบเจอผู้มีนิสัยใจกว้างมาไม่น้อย ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้มีนิสัยใจกว้างมากเกินไปเช่นฉินเฟิง เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “พี่ฉิน ท่านและข้าพวกเราเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกในราชสำนัก ทั้งยังพบกันในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก หากท่านมอบหมายงานสำคัญให้ข้า ท่านไม่กังวลว่าจะมองคนผิดหรือ?”
ฉินเฟิงยักไหล่ด้วยสีหน้าไม่แยแส “ข้าน่ะใช้คนไม่สงสัย คนน่าสงสัยข้าไม่ใช้ ตราบใดที่เจ้าไม่ทรยศข้า ข้าย่อมไม่ไร้คุณธรรมต่อเจ้าอย่างแน่นอน เราสองคนใจแลกใจ อนาคตยังอีกยาวไกล เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
แต่ไหนแต่ไรมาฉินเฟิงเป็นคนปากว่าตาขยิบ ปากว่าสิ่งนี้คือไมตรี แต่ใจเขาคิดกำไรขาดทุนเรียบร้อยแล้ว
หลินฉวีฉีผู้นี้เป็นบัณฑิตขงจื๊อที่มีชื่อเสียงในแถบเจียงหนาน ด้วยชื่อเสียงของเขาย่อมง่ายกว่าที่จะขยายช่องทางการขายของร้านหนังสือฉินเฟิงในอนาคต นี่เทียบเท่ากับการให้หลินฉวีฉีเป็นหุ้นส่วนด้วยการใช้ชื่อเสียงของอีกฝ่ายทำเงิน
อย่าดูถูกร้านหนังสือ มันเป็นกิจการขนาดใหญ่เชียวล่ะ!
รายได้จากการขายความรู้และลิขสิทธิ์เป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้มากที่สุดมาโดยตลอด
ฉินเฟิงสอดมือซ้ายไว้ที่เป้า ส่วนมือขวาของเขาโอบรอบคอของหลินฉวีฉี โดยไม่สนว่าหลินฉวีฉีจะถือสาหรือไม่ พลางชายหนุ่มวิเคราะห์สถานการณ์ในอนาคตของกิจการนี้ด้วยความตื่นเต้น
“พี่ชาย ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริง ๆ หากร้านหนังสือไปได้ดี ย่อมมีส่วนช่วยแว่นแคว้นเติมอิฐก่อกระเบื้องแน่นอน แม้ว่าข้าจะไม่ได้ให้เงินโดยตรง แต่ข้าก็ต้องจ่ายภาษีนะ ผู้อื่นจ่ายภาษีหนึ่งในสิบของกำไร แต่ข้าจ่ายสองในสิบถึงสามในสิบเชียวนะ”
ปากของหลินฉวีฉีอ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ และมองไปที่ฉินเฟิงราวกับว่าเห็นผี ในขณะเดียวกันก็รู้สึกมีความสุขมาก การเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต มันทำให้เขาได้เปิดโลกอย่างแท้จริง
ขณะที่กำลังจะออกจากประตูพระราชวัง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เอง เสียงอันหยาดเยิ้มก็หยุดฉินเฟิงไว้
“นายน้อยฉินใช่หรือไม่?”
เมื่อมองไปตามเสียงก็เห็นนางกำนัลนางหนึ่งยืนอยู่ทางด้านขวาของประตูวัง อีกฝ่ายอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหกปี รูปร่างหน้าตาพอฝืนให้สอบผ่าน ทว่าบุคลิกค่อนข้างเย่อหยิ่ง เป็นแค่นางกำนัลแท้ ๆ แต่กลับไม่ให้ความสำคัญกับเขา
ฉินเฟิงเหลือบมองนางกำนัลโดยไม่สนใจ และพูดคุยเกี่ยวกับการร่วมมือครั้งต่อไปกับหลินฉวีฉีต่อ
เมื่อนางกำนัลถูกเมินก็อับอายจนพาลโกรธ นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เอ่ยตำหนิด้วยเสียงหวาน ๆ “ฉินเฟิง เจ้าหยาบคายอย่างที่ข่าวลือพูดจริง ๆ!”
“หยุดนะ! ผู้สูงศักดิ์ต้องการพบเจ้า หากเจ้ากล้าที่จะเมินเฉย ข้ารับรองว่าเจ้าได้ออกจากวังทางประตูหลังแน่!”
คำพูดนี้เต็มไปด้วยคำขู่ ใครกันที่จะได้ออกจากวังทางประตูหลัง? แน่นอนว่าก็ต้องเป็นคนที่ตายไปแล้วน่ะสิ!
ฉินเฟิงจึงค่อย ๆ หยุดฝีเท้า กวาดสายตามองนางกำนัลขึ้นลง พลางเอ่ยเสียงเย็น “ในพระราชวังแห่งนี้มีผู้สูงศักดิ์มากมาย ไม่ทราบว่าผู้สูงศักดิ์ท่านใดต้องการพบข้า”
คนถูกถามแค่นเสียงหึเบา ๆ เอ่ยด้วยใบหน้าดูถูกเหยียดหยาม “พบแล้วเจ้าจะรู้เอง หยุดพูดไร้สาระแล้วมากับข้าเร็วเข้า!”
MANGA DISCUSSION