บทที่ 103 ชี้ให้เจ้าเห็นทางสว่าง
ขุนนางใหญ่ทุกคนในตำหนักไท่เหอมองออกทะลุปรุโปร่ง ฉินเทียนหู่เป็นเสนาบดีกรมกลาโหม เขาอาจจะเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์รวบรวมกองกำลังป้องกัน ทว่ากลยุทธ์ระดมทุนทางทหารนั้นมิใช่สิ่งที่เขาจะทำได้เลย
ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่ากลยุทธ์การระดมทุนอันยอดเยี่ยมที่ทำให้ฝ่าบาทแย้มพระโอษฐ์นั้น ต้องถูกคิดค้นขึ้นโดยฉินเฟิงอย่างแน่นอน ส่วนสาเหตุที่เขาผลักคุณูปการนี้ให้กับฉินเทียนหู่ก็เพียงเพื่อช่วยให้บิดาได้เก็บเกี่ยวทุนทางการเมือง
ชั่วขณะหนึ่งบรรดาขุนนางใหญ่มีความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าจะอิจฉาหรือว่าจะริษยาดี
ว่ากันว่าฉินเฟิงเป็นหัวหน้าของสี่จอมวายร้ายแห่งเมืองหลวง เป็นคนขี้โกงที่สุดในบรรดานายน้อยเสเพล และเป็นคนฟุ่มเฟือยที่สุดในบรรดาคนไร้เหตุผล กล่าวได้ว่ามีชื่อเสียงเหม็นโฉ่ยิ่ง
แต่เมื่อมองดูฉินเฟิงในยามนี้และคิดถึงบุตรชายของตนแล้ว พวกเขาเห็นความด้อยกว่าของเด็กที่บ้านอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกลยุทธ์การระดมทุนอันยอดเยี่ยมนี้ไม่แตกต่างกับการส่งถ่านกลางหิมะ*[1] ไม่ว่าจะเป็นฉินเฟิงหรือฉินเทียนหู่ที่รับคุณูปการ ก็ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะลงไปแต่อย่างใด ดังคำกล่าวที่ว่า พี่น้องร่วมมือกันต่อสู้กับเสือ บิดาคอยกำกับดูแลบุตรชายออกรบ ตระกูลฉินแต่เดิมรุ่งเรืองก็รุ่งเรืองร่วมกัน ล่มจมก็ล่มจมร่วมกันอยู่แล้ว
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโบกพระหัตถ์ทันที “ถ่ายทอดพระราชโองการ เจิ้นตกรางวัลเสนาบดีกรมกลาโหมด้วยผ้าแพรห้าร้อยพับ และเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน”
รางวัลพระราชทานเหล่านี้อาจไม่ได้มากมาย ทว่าเมื่อเป็นรางวัลพระราชทานจากฮ่องเต้ ความหมายย่อมพิเศษอย่างยิ่ง
ฉินเทียนหู่ตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาที่คาดคิดไม่ถึง จึงรีบคุกเข่าคำนับอย่างรวดเร็ว “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ กระหม่อมฉินเทียนหู่น้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงราวกับได้รับสมบัติ เขามอบกลยุทธ์การระดมทุนที่ยอดเยี่ยมให้กับหลี่จ้าน และกำชับให้เก็บรักษาอย่างดี หากมีปัญหาแม้เพียงเล็กน้อยให้มาแจ้งทันที จากนั้นก็ประกาศเสียงดังต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทุกคนว่า “สงครามในเป่ยตี๋ได้รับการตัดสินแล้ว เสนาบดีกรมกลาโหมฉินเทียนหู่จะเป็นผู้รับผิดชอบ ใครก็ตามที่ขัดขวางสงครามในเป่ยตี๋จะถูกลงโทษในโทษฐานสมคบคิดกับศัตรู!”
ขุนนางฝ่ายสนับสนุนสงครามรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในที่สุดการสงครามที่ผลักดันมาเป็นเวลาหลายเดือนก็ได้รับการยืนยัน ขุนนางทุกคนคุกเข่าลง และตะโกนสรรเสริญความปราดเปรื่องของฮ่องเต้
ภายในใจของทุกคนรู้ดีว่า ฉินเฟิงเป็นผู้ที่ทำให้การเปิดฉากสงครามเป็นไปตามแผน
ทันทีที่ทุกคนก้าวเท้าออกจากตำหนักไท่เหอ พวกเขาก็เข้ามาล้อมรอบฉินเทียนหู่ทันที
ถ้อยคำสรรเสริญเยินยอทุกประเภทดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง
“ใต้เท้าฉินเป็นบิดาพยัคฆ์ไร้บุตรสุนัขโดยแท้ หากมิใช่เพราะฉินเฟิงโต้คารมกับกลุ่มบัณฑิตขงจื๊อ และใต้เท้าฉินนำเสนอกลยุทธ์การระดมทุนอันยอดเยี่ยม เกรงว่าสงครามกับเป่ยตี๋คงอยู่อีกห่างไกล ขุนนางผู้นี้เคารพเลื่อมใสนัก”
“ฮ่า ๆ สะใจนัก! เดิมคิดว่ากรมคลังถึงขนาดพาเฉิงหยินกับเหล่าบัณฑิตขงจื๊อมา สงครามครั้งนี้ย่อมถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว ไม่คาดคิดว่า นายน้อยฉินจะพลิกกระแสคลื่น และช่วยประคองหอสูงไม่ให้ล้มเอียงได้สำเร็จ”
“ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้า ยินดีด้วยขอรับใต้เท้า มีใต้เท้ากำกับดูแลสงครามไม่เพียงแต่เป็นโชคดีของต้าเหลียงเราเท่านั้น แต่ยังเป็นโชคดีของประชาชนทุกคนด้วย”
เมื่อต้องเผชิญกับคำชมทุกประเภท แม้แต่ฉินเทียนหู่ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ในขณะที่คำนับขอบคุณเพื่อนร่วมงาน เขาก็ขยิบตาให้ฉินเฟิงซึ่งกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ไกล ๆ ส่งสัญญาณให้บุตรชายไสหัวกลับจวนไปโดยเร็ว ที่นี่คือพระราชวัง อย่ารนหาไฟใส่ตัว
หารู้ไม่ว่าฉินเฟิงไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าพระราชวังแห่งนี้เลยสักนิด
ดังคำกล่าวที่ว่า ประตูวังดุจดั่งทะเลลึก นับตั้งแต่นี้ตัวข้าเป็นเพียงผู้สัญจรผ่านมา สถานที่ที่ขาดน้ำใจมนุษย์เช่นนี้ ไม่ว่าจะงดงามและน่าเกรงขามเพียงใดก็ยากที่จะดึงดูดฉินเฟิง
รังทองและรังเงินก็ไม่สู้รังสุนัขของเขา*[2]
ว่าแล้ว พูดถึงก็มาจนได้… นางกำนัลในพระราชวังแห่งนี้หน้าตางดงามไม่แพ้กันเลย
เขาอุตส่าห์ช่วยต้าเหลียงแก้ไขปัญหาใหญ่โตเพียงนี้ได้ ไยฮ่องเต้เฒ่านั่นไม่รู้จักพระราชทานนางกำนัลสักสองสามคนให้เขาเสียบ้าง ช่างไร้เหตุผลจริง ๆ!
ฉินเฟิงประสานมือไพล่หลัง และเดินเตร็ดเตร่ไปตามประตูพระราชวังฝั่งตำหนักไท่เหอ หากเป็นผู้อื่นแม้แต่ขุนนางใหญ่ผู้เป็นเสาเอกก็คงถูกทหารรักษาพระราชวังเข้ามาห้ามแล้ว ต่อให้จะไม่ซักถามอย่างเคร่งครัดเพราะตำแหน่งทางการของพวกท่าน แต่ก็ยังต้อง ‘เชิญ’ ออกไปจากวังอยู่ดี
ทว่าสำหรับฉินเฟิงที่มองไปรอบ ๆ และไม่มีความเคารพต่อพระราชวังแห่งนี้เลยสักนิด แม้ทหารรักษาพระราชวังจะขุ่นเคืองทว่ากลับไม่กล้ายุ่ง
ท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงเพิ่งสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อราชสำนักมา หากทำให้เขาขุ่นเคืองในเวลานี้ จะมิใช่การพุ่งชนปากกระบอกปืนหรอกหรือ?
ทหารรักษาพระราชวังไม่เพียงแต่ไม่แปลกใจทั้งยังยิ้มกว้างให้อีกด้วย “นายน้อยฉิน ประตูพระราชวังอยู่ทางนั้นขอรับ หากท่านไม่รู้ทาง ข้าน้อยสามารถช่วยนำทางท่านได้”
ฉินเฟิงยักไหล่ “ไม่ต้องหรอก ข้าจะเดินเล่น”
ทหารรักษาพระราชวังหัวเราะเหอะ ๆ สาปแช่งอยู่ภายในใจ เดินเล่นบนหัวเจ้าสิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?!
ตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง
“นายน้อยฉินโปรดหยุดก่อน”
ฉินเฟิงหันกลับไปมอง และพบว่าอีกฝ่ายเป็นบัณฑิตขงจื๊อที่มีใบหน้าแดงเรื่อตัดกับฟันสีขาว ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราเป็นอย่างยิ่ง
เดี๋ยวก่อน… ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เจ้าหมอนี่เพิ่งด่าเขาอยู่ในกลุ่มบัณฑิตขงจื๊ออย่างเผ็ดร้อนหรอกหรือ? หรือตามมาที่นี่เพื่อจะทะเลาะกันต่อ?
บัณฑิตขงจื๊อหน้าหยกรีบมาที่เบื้องหน้าฉินเฟิง โดยไม่รอให้ฉินเฟิงตอบสนอง เขาโค้งตัวคารวะและพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “นายน้อยฉิน ข้าน้อยหลินฉวีฉี ข้าน้อยขอคารวะ ก่อนหน้านี้เนื่องจากเรามีมุมมองทางการเมืองแตกต่างกันในราชสำนัก จึงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ข้ามิได้มีเจตนาที่จะพุ่งเป้าไปที่นายน้อยฉินเลยนะขอรับ”
“บอกตามตรง ข้าน้อยเป็นคนเจียงหนาน เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงจึงถูกปิดกั้นข่าวสาร และเพิ่งมาเมืองหลวงเมื่อไม่กี่วันมานี้เองขอรับ ข้าเพิ่งได้ยินเรื่องบทกวี ‘ออกด่าน’ ที่นายน้อยฉินแต่งขึ้น เมื่อข้าน้อยได้ยินก็ทั้งประหลาดใจและใฝ่ฝันหา ในแง่บทกวีนายน้อยฉินถือว่าเป็นที่สุดในต้าเหลียงแล้ว!”
ปากของฉินเฟิงอ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีเขาคิดว่าเจ้าหมอนี่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในราชสำนักเมื่อครู่ และต้องการท้าทายเขาให้ดวลกันตัวต่อตัว ฉินเฟิงจึงพับแขนเสื้อขึ้นรออยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าตนกลับถูกชมอย่างหนัก ทำเอานายน้อยฉินทั้งสับสนและเขินอายในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่ตกตะลึงอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดฉินเฟิงก็กลับมามีสติสัมปชัญญะ เขาเกาศีรษะด้วยความเขิน “อ๋า? เป็นที่สุดในต้าเหลียง? เป็นที่สุดในหมู่บัณฑิต? ข้าเก่งอย่างที่เจ้าพูดจริง ๆ หรือ?”
ฉินเฟิงมีความสามารถด้านวรรณกรรมเสียที่ไหน ผลงานชิ้นเอกที่ไม่มีใครเทียบได้ล้วนคัดลอกมาจากคนอื่นทั้งนั้น เขาไม่สามารถแบกรับคำเรียกขานอย่าง ‘ผู้เก่งกาจที่สุดหมู่บัณฑิต’ ได้จริง ๆ
แต่ในสายตาของหลินฉวีฉีความรู้สึกผิดนี้ของฉินเฟิงแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนโดยแท้
หลินฉวีฉีรู้สึกเลื่อมใสจนถึงที่สุด “นายน้อยฉินมีความสามารถยอดเยี่ยม บทกวี ‘ออกด่าน’ ไม่เพียงทำให้ใต้หล้าตกตะลึงเท่านั้น แต่ยังมีทักษะการประพันธ์อันเฉียบแหลมเหนือคนธรรมดา มุมมองเกี่ยวกับกลยุทธ์การปกครองแคว้นในราชสำนักวันนี้ก็ทำให้คนแซ่หลินชื่นชมเลื่อมใสอย่างมาก นายน้อยฉินเป็นผู้รอบรู้อย่างแท้จริง หากข้าน้อยสามารถบรรลุเพียงหนึ่งในหมื่นของนายน้อยฉินได้ ก็นับว่าเป็นโชคของชีวิตแล้ว”
พอแล้ว ๆ หยุดได้แล้ว!
ฉินเฟิงหัวเราะคิกคักในใจ หากยังคงชมต่อไป เกรงว่าเขาจะลืมตัวจนเผลอยกหางขึ้นฟ้าแล้ว
ฉินเฟิงเป็นแบบนี้มาโดยตลอด ใครเล่าจะไม่ชอบฟังคำประจบเยินยอ? ใบหน้าที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความระแวดระแวงเปลี่ยนไปราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิในพริบตา ชายหนุ่มยิ้มกว้าง และเอ่ยว่า “นายน้อยหลินชมเกินไปแล้ว หากมีโอกาสไปเจียงหนานในอนาคต ข้าจะต้องไปเยี่ยมเยือนเจ้าอย่างแน่นอน”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหลินฉวีฉีกลับดูฝืดเฝื่อน เขาเอ่ยด้วยความเขินอาย “ข้าน้อยมาเมืองหลวงหนนี้เพื่อการสอบจอหงวนและจะไม่ไปไหนแล้วขอรับ แม้ว่าข้าน้อยจะพอมีชื่อเสียงเล็กน้อยในแถบเจียงหนาน แต่อย่างไรก็ตาม การรับราชการเป็นอุดมคติสูงสุดของปัญญาชน หากไม่มีตำแหน่งขุนนางก็นับเป็นเรื่องน่าเสียใจอันใหญ่หลวงของชีวิต หากตั้งหลักอยู่ในเมืองหลวง การสอบขุนนางในอนาคตย่อมสะดวกยิ่งขึ้น”
“ประการที่สอง บัดนี้สงครามในเป่ยตี๋ใกล้เข้ามาแล้ว ข้าน้อยก็อยากจะมีส่วนช่วยต้าเหลียงบ้างสักเล็กน้อย”
เดิมทีฉินเฟิงไม่ได้สนใจหลินฉวีฉีผู้นี้มากนัก แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แววตาของเขาก็สว่างวาบทันที “ถ้าหากเจ้าต้องการรับใช้แว่นแคว้นจริง ๆ ล่ะก็ ข้าก็ยินดีที่จะชี้ให้เจ้าเห็นทางสว่าง”
[1] ส่งถานกลางหิมะ : หมายถึง ให้ความช่วยเหลือยามยากลำบาก
[2] รังทองและรังเงินไม่ดีเท่าบ้านสุนัขของตนเอง : หมายถึง ไม่มีที่อื่นใดดีและมีความสุขเท่าบ้าน ของเราเอง
MANGA DISCUSSION