บทที่ 102 การโต้แย้งในราชสำนัก
ขณะที่หลี่ซวี่กำลังจะออกมา เขาดูประหม่าเป็นพิเศษ เลขาธิการกรมคลังเข้ามาโค้งคำนับ และเอ่ยทัดทานฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง
“กระหม่อมขอร้อง ฝ่าบาทโปรดริบเข็มขัดทองคำกลับคืนมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ผู้ที่ได้รับพระราชทานเข็มขัดทองคำในราชวงศ์ล้วนเป็นเสาหลักของแว่นแคว้น กระดูกสันหลังของใต้หล้า เป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามสูงสุดของเสาหลักแห่งต้าเหลียง ฉินเฟิงสามัญชนผู้นี้จะแบกรับเกียรติยศนั้นได้อย่างไร? หากเรื่องนี้กระจายออกไป ย่อมเป็นบ่อนทำลายคุณค่าของเข็มขัดทองคำ ทั้งยังทำให้คุณงามความดีของบรรพบุรุษเสื่อมเสียชื่อเสียง เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่ซวี่รู้ดีว่าเกียรติยศของเข็มขัดทองคำนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของสิทธิพิเศษที่ผู้สวมใส่จะได้รับ
หากฉินเฟิงมีเข็มขัดทองคำอยู่กับตัว ศาลาว่าการท้องถิ่นหมื่นพันแห่งในใต้หล้านี้ มีเพียงศาลต้าหลี่แห่งเดียวเท่านั้นที่สามารถตัดสินเขาได้ ต่อไปหากคิดจะจัดการกับฉินเฟิง หรือแม้แต่ตระกูลฉิน มันจะยิ่งยากลำบากมากขึ้น
บรรดาขุนนางกรมคลังต่างคล้อยตามหลี่ซวี่จนถึงที่สุด พวกเขาทยอยเข้ามาทัดทานเพื่อขอให้ฝ่าบาทถอนรับสั่ง
แม้แต่มหาบัณฑิตเฉิงหยินก็ทนมองไม่ไหวอีกต่อไป เขาโค้งคำนับ และเอ่ยว่า
“ฉินเฟิงอายุยังน้อย ประการแรกไม่มีสถานะอย่างเป็นทางการ ประการที่สองไม่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ ประการที่สามไม่มีคุณงามความดี ว่ากันว่าชื่อเสียงของเขาในเมืองหลวงก็ค่อนข้างเสื่อมเสีย เป็นเรื่องยากที่จะคู่ควรกับเกียรติยศสูงสุดนี้พ่ะย่ะค่ะ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คนทั้งใต้หล้าจะมองฝ่าบาทเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ? หรือฝ่าบาทลืมบทเรียนนองเลือดของฮ่องเต้องค์ก่อนที่โง่เขลาไร้ศีลธรรม ให้ความสำคัญกับขุนนางเจ้าเล่ห์ประจบสอพลอจนทำลายแม่น้ำและภูผาใหญ่ที่ดีงามมากมายไปสิ้นแล้ว?”
มหาบัณฑิตมีสิทธิพิเศษ สามารถเอ่ยทัดทานอย่างตรงไปตรงมาได้ เมื่อมองดูทั่วทั้งราชสำนัก แม้แต่ขุนนางระดับสูงยังไม่กล้าพูดกับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเช่นนี้ แต่เฉิงหยินกลับกล้าทำ
เมื่อเผชิญกับความเคลือบแคลง และการตักเตือนของทุกคน ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกลับยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ ดูราวกับว่าทรงคาดการณ์ผลลัพธ์นี้ไว้แล้ว พระองค์เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ความกังวลของทุกคนนั้นมิใช่ว่ามิมีเหตุผล เจิ้นพระราชทานเข็มขัดทองคำให้ฉินเฟิง ย่อมผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ส่วนชื่อเสียงอันเสื่อมเสียของฉินเฟิง เป็นเพียงการกระจายข่าวเท็จในแวดวงบุตรหลานขุนนางที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เท่านั้น หากฉินเฟิงประพฤติตัวเสื่อมเสียกับราษฎร เจิ้นย่อมไม่ละเว้นเขา!
“ฉินเฟิงนำเสนอแผนภาพกลยุทธ์ทางทหารซึ่งวางรากฐานสำหรับกองทัพต้าเหลียงในการส่งกองกำลังไปยังเป่ยตี๋ จากคุณความดีนี้เพียงอย่างเดียว มีผู้ใดบ้างในบรรดาขุนนางผู้ภักดีที่สามารถเทียบเคียงได้? นอกจากนี้ท้องพระคลังที่ว่างเปล่าและความบกพร่องทางการเงินในปัจจุบัน ล้วนถูกฉินเฟิงเติมเต็มด้วยเงินหลายแสนตำลึงเงินในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ยังมีผู้ใดสามารถเทียบเทียมเขาได้อีกหรือ?
“ดังที่มหาบัณฑิตเฉิงกล่าว ฉินเฟิงไม่มีสถานะทางการ และไม่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา อย่างไรก็ตาม หัวใจของฉินเฟิงได้เกี่ยวพันกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของต้าเหลียงแล้ว นั่นทำให้เจิ้นค่อนข้างประทับใจ มีใจที่จะเลื่อนตำแหน่งให้เขา ทว่าฉินเฟิงยังไม่เคยผ่านการสอบขุนนางและไม่มีผลงานใด ๆ ในกองทัพ หลังจากคิดไปคิดมาก็มีเพียงเข็มขัดทองคำนี้เท่านั้นที่คู่ควร”
พระตำหนักไท่เหอเงียบสนิท ไม่มีใครคาดคิดว่าฝ่าบาทจะตรัสออกมามากมายเพียงนี้ นี่ไม่ใช่เพื่อช่วยฉินเฟิงอธิบาย เห็นได้ชัดว่าเป็นการถือหางอย่างเปิดเผย!
เหล่าขุนนางโมโหทว่าไม่กล้าพูด และบัณฑิตขงจื๊เองก็ทำได้เพียงเอ่ยทัดทาน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้เลย
ฉินเทียนหู่เองก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่ที่มากกว่านั้นคือความภูมิใจ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่บุตรสุนัขบ้านตนได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้
บรรยากาศในราชสำนักพลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ขุนนางกรมกลาโหมที่ก่อนหน้านี้จำศีล อดกลั้นมาโดยตลอด พากันโผล่ศีรษะออกมาตีเหล็กตอนยังร้อน
มิใช่ว่าขุนนางของกรมกลาโหมแล่นเรือไปตามทิศทางลม แต่เป็นเพราะฉินเทียนหู่ได้ส่งคนไปบอกพวกเขาก่อนเข้าราชสำนักแล้วว่า หากยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ควรหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกับเหล่าบัณฑิตขงจื๊อ
ท้ายที่สุดแล้ว ขุนนางและบัณฑิตขงจื๊อมีจุดยืนที่ไม่เหมือนกัน และมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็นการยากที่จะใช้ประโยชน์จากพวกเขา อีกทั้งยังอาจถูกบัณฑิตขงจื๊อใช้โอกาสนี้ป้ายสีได้ง่าย ๆ ซึ่งถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย
แต่บัดนี้คือเวลาที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาในการหักล้างอีกฝ่าย
“เข็มขัดทองคำถือเป็นเกียรติยศสูงสุด ฮ่องเต้ตลอดทุกยุคทุกสมัยล้วนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การพระราชทานเข็มขัดทองคำเป็นครั้งแรกในราชวงศ์นี้ ย่อมเป็นผลมาจากการพิจารณาอย่างรอบคอบของฝ่าบาทแล้ว หรือขุนนางกรมคลังทุกท่านกำลังตั้งคำถามกับการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทหรือ?”
“ในเมื่อฉินเฟิงมีเข็มขัดทองคำ เขาย่อมมีคุณสมบัติที่จะหารือเกี่ยวกับกิจการในราชสำนัก หากกรมคลังทุกท่านเข้ามาแทรกแซงสุ่มสี่สุ่มห้า นี่ถือเป็นการก้าวข้ามขอบเขตรับผิดชอบอย่างโจ่งแจ้ง!”
จู่ ๆ สถานการณ์ก็กลับตาลปัตร
เมื่อเผชิญกับข้อกล่าวหาจากทุกคน เฉิงหยินแค่นเสียงอย่างเย็นชา และเอ่ยอย่างดื้อรั้น “ได้! พักเรื่องเข็มขัดทองคำไว้ก่อน ทว่าการส่งกองทัพไปเป่ยตี๋จะต้องใช้เงินหลายสิบล้านตำลึงเงิน ในขณะที่การอพยพผู้ลี้ภัยมีค่าใช้จ่ายเพียงหนึ่งล้านตำลึงเงินเท่านั้น ทุกท่านว่าควรจะเลือกเช่นไร?”
“นี่…”
“เป็นอย่างไรเล่า ตอบไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” เฉิงหยินเหลือบมองกลุ่มขุนนางจากกรมกลาโหมด้วยความเหยียดหยาม ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น
“มีทางเลือกแน่นอน!”
ขณะนี้ฉินเฟิงยอมเปิดปากของเขาแล้ว
ร่างที่แต่เดิมก้มศีรษะโค้งคำนับ พลันก็ยืดตรงราวกับพู่กัน จนศีรษะแทบจะแหงนขึ้นไปหาท้องฟ้า
ไม่มีทางเลือก ถึงเวลาที่นายน้องอย่างข้าจะต้องอวดเก่งแล้ว!
จากนั้นชายหนุ่มก็เผชิญหน้ากับเฉิงหยินโดยตรง
“จุดเริ่มต้นของท่านเฉิงผิดตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังผิดไปไกลอย่างมาก! สงครามระดับแคว้นจะวัดด้วยเงินทองได้อย่างไร? ควรกำหนดด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้ถึงจะถูก หากเรายอมรับการล่วงล้ำของเป่ยตี๋ครั้งแล้วครั้งเล่า ชาวป่าเถื่อนเป่ยตี๋มีแต่จะเหิมเกริมมากขึ้น จากที่เคยบุกรุกโจมตีเฉพาะบางที่ อาจลุกลามไปจนถึงการคุกคามความปลอดภัยของชายแดนทั้งหมด!”
“แคว้นที่ติดกับต้าเหลียงมีมากถึงเจ็ดแคว้น ทั้งหมดต่างก็ไม่เจียมตัว หากพวกมันเห็นว่าต้าเหลียงยากจนและอ่อนแอ แคว้นที่มีพรมแดนติดกับเราย่อมเอาอย่างเป่ยตี๋แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ต้าเหลียงก็จะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป!”
“จริงอยู่ที่การทำสงครามกับเป่ยตี๋จำเป็นต้องใช้ทุนหลายสิบล้านตำลึงเงิน อีกทั้งยังยังมีค่าใช้จ่ายทางการทหารจำนวนมาก แต่หากปล่อยให้เป่ยตี๋ได้ใจและปล่อยให้แคว้นอื่น ๆ บุกโจมตีชายแดนของ เรามากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรเราก็ต้องเสียเงินให้กับกองทัพเพื่อป้องกันชายแดนอยู่ดี หากปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้ดำเนินไปถึงจุดที่ไม่สามารถรับมือได้ เกรงว่า! เมื่อเวลานั้นมาถึงต่อให้ใช้ความพยายามของคนทั้งต้าเหลียงก็คงยากที่จะพลิกสถานการณ์แล้ว!”
“ดังนั้น ผู้น้อยขอบังอาจถามท่านเฉิงสักคำว่า หลายสิบล้านตำลึงเงินกับราชวงศ์ต้าเหลียง สิ่งใดมีความสำคัญมากกว่ากัน!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอ้าปากค้างไม่รู้ว่าจะตอบกลับเช่นไร ฉินเฟิงก็ยิ้มกว้าง ทว่าน้ำเสียงกลับจริงจังขึ้นอย่างกะทันหัน
“ท่านเฉิงรู้เพียงท่องจำ ‘กลยุทธ์การปกครองแคว้น’ เท่านั้น รู้เพียงผิวเผินโดยไม่ได้เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของมัน แม้ว่าท่านเฉิงจะเป็นมหาบัณฑิต ทว่ากลับไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย ข้อโต้แย้งทั้งหมดของท่านเป็นเพียงคำพูดบนกระดาษ เกรงว่าความสามารถของท่านยังไม่สู้นายอำเภอที่มีประสบการณ์เชิงปฏิบัติมากมายเสียด้วยซ้ำ!”
เฉิงหยินซึ่งแต่เดิมเคยหยิ่งผยอง ถูกฉินเฟิงพ่นน้ำลายใส่จนหน้าแดงหูแดงเพราะความอับอาย ชายชราหายใจหอบถี่ คิดจะโต้แย้งอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปเมื่อมันมาถึงริมฝีปาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉินเฟิงพูดล้วนเป็นความจริง แม้ว่าเฉิงหยินจะมีความรู้อยู่เต็มท้อง ทว่ากลับไม่มีประสบการณ์เชิงปฏิบัติด้านการบริหารบ้านเมือง ข้อโต้แย้งทั้งหมดของเขาเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า และไม่เคยได้รับการพิสูจน์
ในทางตรงกันข้าม ฉินเฟิงเต็มไปด้วยหลักฐานและข้อมูลมากมาย เพียงพอที่จะอุดช่องโหว่ของเขา เป็นหลักฐานที่ชัดเจนและมีน้ำหนักมากจนยากที่จะปฏิเสธ
เหล่าบัณฑิตขงจื๊อที่ยกย่องเฉิงหยินอย่างสูงมาโดยตลอดพากันนิ่งเงียบ และเริ่มคิดทบทวนคำพูดของฉินเฟิง
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ใช่คนไร้เหตุผล
ก่อนหน้านั้น เขารู้เพียงว่าไฟสงครามจะทำให้ประชาชนต้องลำบาก สิ้นเปลืองเงินทอง ทว่ากลับมิได้คิดถึงปัญหาเชิงลึกอย่างการที่แคว้นเพื่อนบ้านจะปฏิบัติตามเป่ยตี๋ และแผ่ขยายแนวรบ
เป่ยตี๋เป็นเหมือนมะเร็งเนื้องอก ควรใช้โอกาสตอนยังไม่เติบใหญ่กำจัดออกไปเสีย ไม่เช่นนั้นต่อให้อยากจะรักษาก็อาจรักษาไม่หาย และลุกลามไปทั่วร่างกาย ท้ายที่สุดต้าเหลียงก็จะป่วยหนักจนไม่สามารถฟื้นตัวได้อีก
คำพูดของฉินเฟิงนับว่าแทรกซึมเข้าไปในพระทัยของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอย่างสมบูรณ์
ต้าเหลียงไม่อาจยอมสูญเสียบารมีได้ หากยอมอ่อนข้อครั้งหนึ่งแล้ว การปราถนาให้แคว้นใกล้เคียงยอมจำนวนอีกครั้งก็ไม่ต่างอะไรจากเรื่องเพ้อฝัน
แววตาของฉินเทียนหู่ร้อนแรง ในฐานะผู้นำของฝ่ายสนับสนุนสงคราม คำพูดของฉินเฟิงนับว่าเป็นกฎทองคำและข้อบัญญัติหยก ที่ทำให้ผู้คนมีจิตใจฮึกเหิมขึ้นมา
บรรดาขุนนางกรมกลาโหมรู้สึกเคารพเลื่อมใสฉินเทียนหู่มากยิ่งขึ้น ทุกคนพากันถอนหายใจเสียงต่ำ “ใต้เท้าเสนาบดีรู้จักสั่งสอนบุตร เป็นเรื่องน่าชื่นชมจริง ๆ”
ฉินเทียนหู่พลันมีสีหน้าภาคภูมิใจในทันที
แต่ไฟทุ่งนี้ยังไม่มอด ในเมื่อลุกไหม้ขึ้นมาแล้ว ฉินเฟิงย่อมเผาให้ไม่เหลือซาก เขาจะทำให้ผู้ที่เรียกตนเองว่าบัณฑิตขงจื๊อต้องอับอาย และไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของราชสำนักอีก
ฉินเฟิงกัดเฉิงหยินไม่ยอมปล่อย คิดจะใช้กำลังทั้งหมดจิกเขาให้ตาย “อาจารย์เฉิงเป็นที่เลื่องชื่อในฐานะผู้นำของเหล่าบัณฑิต และอยู่ในฐานะบัณฑิตขงจื๊ออันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียง ท่านใช้ชีวิตเล่นสำบัดสำนวนอย่างสุขกายสบายใจได้ทุกวันนี้เพราะได้รับการคุ้มครองจากฝ่าบาท แต่เดิมท่านควรจะเป็นผู้นำของเหล่าบัณฑิตทั้งใต้หล้า ใช้พู่กันต่างดาบโจมตีเป่ยตี๋เพื่อส่งเสริมเกียรติคุณของแคว้นต้าเหลียงเรา บัดนี้กลับขัดแข้งขัดขาไปเสียทุกอย่าง มิทันได้สู้รบก็ขี้ขลาดตาขาว ปากคุยโวไร้หลักฐาน แสดงความเห็นไม่ยั้งคิดต่อกิจการภายในราชสำนัก พูดง่าย ๆ ก็คือไม่มีแม้แต่ศักดิ์ศรีและความทระนงในฐานะปัญญาชน ช่างเป็นที่น่าอับอายต่อบัณฑิตทั้งใต้หล้า หากจะพูดให้ตรงไปตรงมามากขึ้นคือ ท่านส่งเสริมความทะเยอทะยานของศัตรู และทำลายศักดิ์ศรีของพรรคพวกตนเอง แทรกแซงกิจการของชาติ ก่อให้เกิดศึกทั้งภายในและนอกแคว้นต้าเหลียง นี่นับว่าเป็นโทษฐานแบบใดกัน?”
ใบหน้าของเฉิงหยินซีดเผือด เขาเดินโซเซไปสองสามก้าว และเกือบจะล้มลง
สิ่งที่น่าแปลกก็คือมีบัณฑิตขงจื๊อจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ข้างหลังเขา ทว่าไม่มีใครคอยช่วยพยุง
บัณฑิตขงจื๊อทุกคนหน้าแดงหูแดงเนื่องจากถูกฉินเฟิงทำให้อับอาย และรู้สึกละอายใจอย่างสุดซึ้งกับแนวคิดที่พวกเขาเคยยึดถือก่อนหน้านี้ เหล่าบัณฑิตขงจื๊อต่างเริ่มตั้งคำถามต่อตัวเองว่า พวกเขาควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของราชสำนักหรือไม่ แม้ว่าอยากจะแทรกแซง แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขามีคุณสมบัติ และความสามารถที่จะทำเช่นนั้นหรือเปล่า?
โดยไม่มีใครสังเกตเห็น ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแอบถอนพระทัยด้วยความโล่งอก
หลังจากการโต้แย้งนี้ จะไม่มีใครในใต้หล้าสงสัยในความจำเป็นของการกรีธาทัพอีกต่อไป
แม้เจ้าฉินเฟิงคนนี้จะเอ้อระเหยลอยชายและไม่น่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง แต่ในช่วงเวลาสำคัญ กลับไม่เคยเสียเหลี่ยม ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยิ่งมองก็ยิ่งชอบเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความสงสัยและความระแวงในใจค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความซาบซึ้ง
ขณะที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำลังจะประกาศผลการอภิปราย เสียงของฉินเฟิงกลับดังขึ้นอีกครั้ง
“ความมุ่งมั่นที่จะโจมตีเป่ยตี๋ไม่อาจสั่นคลอน! อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายทางการทหารหนึ่งร้อยล้านตำลึงเงินก็เป็นปัญหาที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน ขณะนี้ท้องพระคลังฝืดเคืองมานานปี ทั้งยังต้องบรรเทาทุกข์ชาวประชาที่ประสบภัยจากทุกด้าน ถือเป็นความกดดันอันยิ่งใหญ่ในประวัติการณ์ การระดมทุนทางการทหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด กระหม่อมมีข้อเสนอแนะเล็กน้อย ฝ่าบาทโปรดพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะที่พูด ฉินเฟิงก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และใช้สองมือยกขึ้นเหนือศีรษะ
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่จ้านก็รีบวิ่งไปรับมา และถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอย่างระมัดระวัง
เมื่อกางกระดาษก็เห็นตัวอักษรตัวเล็ก ๆ แน่นขนัดอยู่บนนั้น แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะมีพระพักตร์ลึกล้ำดุจทะเลอันกว้างใหญ่ พระองค์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะทรงพระโสมนัส ลุกขึ้นยืนและมองดูฉินเฟิงด้วยสายตาร้อนแรงหาใดเปรียบ “ฉินเฟิง นี่เป็นกลยุทธ์การระดุมทุนทางการทหารที่ยอดเยี่ยมยิ่ง เจ้าเป็นผู้คิดมันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”
ทุกคนสับสน
กลยุทธ์การระดมทุนที่ยอดเยี่ยมแบบใดกันจึงทำให้ฝ่าบาทตื่นเต้นเช่นนี้ได้?
ทุกคนมองไปยังฉินเฟิงด้วยแววตาสงสัย ฉินเฟิงซึ่งต่อว่ามหาบัณฑิตเฉิงหยิน จนมหาบัณฑิตหน้าแดงหูแดงและเกือบจะเป็นลมไป เวลานี้กลับยิ้มด้วยหน้าทะเล้นเผยให้เห็นท่าทางของนายน้อยเจ้าสำราญตามปกติ เขาเกาท้ายทอย และยิ้มโง่ ๆ ออกมา “กระหม่อมจะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ผู้ที่คิดค้นกลยุทธ์การระดมทุนที่ยอดเยี่ยมนี้คือบิดาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่พูดออกมา สายตาเร่าร้อนของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ย้ายไปยังร่างฉินเทียนหู่ทันที
แต่ฉินเทียนหู่กลับมีสีหน้างุนงง กลยุทธ์การระดมทุนที่ยอดเยี่ยมอันใดกัน เหตุใดเขาถึงไม่รู้เรื่อง?!
MANGA DISCUSSION