บทที่ 100 ซีเป่ยต้องสงบสุข
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉิงหยินทำได้เพียงพูดอย่างใจเย็นว่า “ต้องใช้เงินเท่าไหร่ เป็นเรื่องของกรมคลัง ข้าเพียงเสนอแผนการจัดการเท่านั้น”
ฉินเฟิงแค่นเสียงในใจ คนเก่งแต่ปากแบบนี้เมื่อก่อนเขาเจอมาเยอะแล้ว
สำหรับฉินเฟิงที่ในชีวิตก่อนใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเป็นสุดยอดพนักงานขายแห่งศตวรรษที่ 21 ตาเฒ่านี่ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเสียด้วยซ้ำ
ฉินเฟิงเผชิญหน้ากับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง ยกมือขึ้นสูง แล้วกล่าวอย่าไม่ถ่อมตัว แต่ก็ไม่หยิ่งผยอง “ไม่จำเป็นต้องรบกวนใต้เท้ากรมคลัง ข้าคำนวณมาให้แล้ว แถบซีเป่ยมีชาวไร่อ้อยมากกว่าหนึ่งแสนสามหมื่นเจ็ดพันคน ไร่อ้อยที่กระจัดกระจายมีพื้นที่รวมกันมากกว่าสองล้านหมู่ หากต้องการย้ายถิ่นฐานของชาวไร่อ้อย สามารถย้ายจากแถบซีเป่ยไปยังแถบจิ่งอวิ๋นได้ และมีเพียงแถบจิ่งอวิ๋นเท่านั้นที่มีทุ่งโล่งกว้างเหมาะสำหรับการถางเพื่อเพาะปลูกอ้อย
“แต่มีระยะห่างจากถิ่นฐานเดิมถึงหนึ่งพันลี้ นั่นเทียบเท่ากับการขนส่งข้าวจากยุ้งฉางทางใต้ไปยังชายแดนแถบซีเป่ย ถ้าเราขนข้าวให้กับกองทหารชายแดนหนึ่งแสนสามหมื่นนาย ระหว่างทางจะเกิดความสูญเสียมากแค่ไหน? ไม่จำเป็นต้องให้ผู้น้อยบอก ใต้เท้าทุกท่านก็คงทราบดี”
“แม้ว่าวิธีการแก้ไขที่บัณฑิตเฉิงหยินเอ่ยมาจะสมบูรณ์แบบ แต่ตราบใดที่ต้องใช้ทรัพย์สิน ผู้น้อยจะคำนวณให้ท่านเอง”
“สำหรับคนหนึ่งแสนสามหมื่นเจ็ดพันคนที่จะเดินทางหนึ่งพันลี้ คำนวณที่ความเร็วครึ่งหนึ่งของการเดินทัพ ซึ่งหากคิดแบบรวดเร็วที่สุดแล้วยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม พวกเขาจะได้รับเสบียงสามต้านกับอีกสามโต้ว เสบียงราคาโต้วละห้าอีแปะ แค่ค่าเสบียงก็สูงถึงสองหมื่นสองพันหกร้อยห้าตำลึงเงินแล้ว”
เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้ ดวงตาของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็เป็นประกาย เขาคิดไม่ถึงว่านายน้อยที่กินอยู่สุขสบายจะเข้าใจการดำรงชีวิตของชาวบ้านละเอียดขนาดนี้ เกรงว่าขุนนางกรมคลังหลายคนก็ยังเทียบฉินเฟิงไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ!
ฉินเทียนหู่เองก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน เขาแอบถอนหายใจ ‘เด็กสารเลวคนนี้ เคยไปเยี่ยมชมพื้นที่ผลิตน้ำตาลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! ไม่เช่นนั้น เขาจะรู้เรื่องชาวไร่อ้อยมากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน’
น้ำตาลเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักในปัจจุบันของฉินเฟิง ความเป็นความตายของชาวไร่อ้อยนั้นเทียบเท่ากับความเป็นความตายของเขา ชายหนุ่มย่อมต้องเข้าใจสถานการณ์ของพื้นที่ผลิตอ้อยแถบซีเป่ยเป็นอย่างดี
เมื่อเฉิงหยินได้ยินการคำนวณอันชัดเจนของฉินเฟิง ใบหน้าแก่ชราของเขาพลันแข็งทื่อ แต่ยังคงแสร้งทำน้ำเสียงผ่อนคลาย “ก็แค่เงินสองหมื่นตำลึงเงินเท่านั้น ถ้าทำให้ชาวไร่อ้อยหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคนได้กินอิ่มนอนอุ่น ไยต้องกังวลเล่า”
ฉินเฟิงเอ่ยทักทายบรรพบุรุษของเฉิงหยินในใจ สาปแช่งบัณฑิตที่ทำให้แคว้นต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความเคารพ “ท่านไม่ต้องรีบร้อนไป”
“แถบจิ่งอวิ๋นเป็นหนึ่งในพื้นที่หลักที่ใช้ปลูกข้าวฟ่าง แม้ว่าจะมีทุ่งโล่งบางแห่งแต่ก็เป็นทุ่งที่สำรองไว้สำหรับเกษตรกรในท้องถิ่น ท้ายที่สุดแล้ว ข้าวฟ่างก็เป็นหนึ่งในห้าธัญพืชซึ่งเป็นอาหารหลักของใต้หล้า”
“หากจะไถที่ปลูกอ้อยก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่าต้องซื้อแปลงอ้อยตามราคาตลาด ค่าเช่าที่ดินหนึ่งหมู่ต่อปีอยู่ที่แปดร้อยอีแปะ หากต้องการฟื้นฟูขนาดไร่อ้อยให้ใหญ่โตดังเดิม ต้องใช้… โอ้ว ท่านไม่รู้สินะ เช่นนั้น ข้าน้อยผู้นี้จะบอกให้เอง”
ฉินเฟิงไม่สนใจใบหน้าบิดเบี้ยวของเฉิงหยิน เอ่ยจำนวนเงินที่คำนวณออกมาพร้อมรอยยิ้ม “หนึ่งล้านหกแสนตำลึงเงิน!”
“นี่…”
เมื่อได้ยินจำนวนดังกล่าว เฉิงหยินตกใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เงินจำนวนนี้ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยสำหรับคลังของแคว้น
บัณฑิตขงจื๊อที่รวมตัวกันรอบ ๆ เฉิงหยินรอไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาเริ่มเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์
“ในเมื่อเป็นทุ่งสำรอง ค่าเช่าทุ่งย่อมสามารถจ่ายหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตได้”
“ใช่แล้ว คนกันเองทั้งนั้น ทำไมต้องคำนวณชัดเจนขนาดนี้กัน”
ฉินเฟิงยังคงยิ้ม แสดงความเคารพอย่างสูงต่อเหล่าบัณฑิตขงจื๊อ แต่จริง ๆ กลับสาปแช่งอยู่ในใจ พวกเจ้าจะไปรู้อะไร!
แต่เนื่องจากพวกเขาหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาแล้ว ฉินเฟิงจึงต้องอธิบาย ไม่เช่นนั้นการโต้วาทีครั้งนี้จะไม่มีความหมาย ชายหนุ่มยกมือขึ้นทันที แล้วเอ่ยต่อว่า “ปัญหาจริง ๆ อยู่ที่ถ้าต้องลงนามในสัญญาหนี้ ใครจะเป็นผู้ลงนามต่างหาก ชาวไร่อ้อยหรือ? พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ดินบรรพบุรุษแถบซีเป่ยมาหลายชั่วอายุคน จำต้องเดินทางรอนแรมหลายพันลี้ไปต่างแดน ยังไม่ทันได้ก่อร่างสร้างตัวก็มีหนี้สินเสียแล้ว ลองถามดูสิว่าชาวไร่อ้อยคนไหนจะยินดีจะย้ายถิ่นฐานบ้าง ทว่าหากราชสำนักเป็นผู้ลงนาม ประการแรกจะเพิ่มแรงกดดันต่อคลังของแคว้น ประการที่สองขุนนางระดับล่างก็จะฉ้อโกง แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?”
เหล่าบัณฑิตขงจื๊อทั้งหลายต่างหน้าแดง แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยโต้แย้งสิ่งใด
ฉินเฟิงตีเหล็กขณะที่ยังร้อน น้ำเสียงของเขาจริงจังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “อย่างที่เราทุกคนทราบกันดี กำไรของน้ำตาลอ้อยดีกว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารอื่น ๆ มาก เมื่อเกษตรกรที่ปลูกข้าวฟ่างมาหลายชั่วอายุคนได้เห็นกำไรสูงลิ่วของน้ำตาลอ้อย พวกเขาย่อมเปลี่ยนมาปลูกอ้อยแทน จากนั้นข้าวก็จะขาดแคลน หากราคาข้าวสูงขึ้น แล้วทีนี้จะทำอย่างไรเล่า?”
“ชาวไร่อ้อยหนึ่งแสนสามหมื่นเจ็ดพันคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในแถบจิ่งอวิ๋นจะสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของคนในท้องถิ่นเดิมมากน้อยเพียงใด? พื้นที่ที่อพยพไปจะสามารถรองรับผู้ประสบภัยจำนวนมากในคราวเดียวได้หรือไม่?”
“หรือทุกท่านลืมไปแล้วว่า ‘กฎหมายต้าเหลียง ม้วนกฎหมายประชาชน’ ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้ประสบภัยไม่ได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยเป็นจำนวนมาก หากมีจำนวนเกินจากสามพันคน จำนวนคนที่เกินให้นายอำเภอส่งไปกองทัพ แต่หากเกินห้าพันคนให้ปลดนายอำเภอออก!”
ตำหนักไท่เหอเงียบสนิท ไม่ต้องพูดถึงขุนนางคนอื่น ๆ แม้แต่ขุนนางกรมคลังก็ยังก้มหน้า อย่างไรเสีย พวกเขาก็อยู่ในตำแหน่งสูงมาเป็นเวลานาน เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ย่อมไม่กล้าพูดออกมาง่าย ๆ
เฉิงหยินพูดไม่ออก เขาคุ้นเคยกับ ‘กลยุทธ์การปกครองแคว้น’ ซึ่งเขียนกลยุทธ์ในการปกครองประชาชนไว้ว่า หากมีผู้ประสบภัยพิบัติก็ควรได้รับการช่วยเหลือ
ไม่คิดเลยว่าหากพิจารณาในมุมกฎหมายแล้วจะมีเรื่องยุ่งยากมากขนาดนี้
ในที่สุด ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และตรัสว่า “ฉินเฟิง เจ้ามีวิธีช่วยเหลือที่ดีหรือไม่”
ฉินเฟิงยกมือขึ้น แล้วเอ่ย “กราบทูลฝ่าบาท ราษฎรทำงานหนักสิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน แต่การย้ายถิ่นฐานราษฎรไม่เพียงแค่สิ้นเปลืองทรัพยากรเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อรากฐานเป็นวงกว้างอีกด้วย อยู่นิ่ง ๆ ดีกว่าเคลื่อนไหว เพราะไม่ว่าจะใช้เงินแก้ปัญหาเท่าไหร่ก็มีแต่จะสร้างปัญหาเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น วิธีการช่วยเหลือชาวไร่อ้อย ไม่ได้จบที่การพาตัวพวกเขาออกมา แต่อยู่ที่การรักษาสภาพแวดล้อมของการปลูกที่ดีด้วย ตอบได้เพียงประโยคเดียวเท่านั้นคือ ซีเป่ยต้องสงบสุข!”
จากนั้นทุกคนก็ตื่นจากความฝัน ท้ายที่สุดฉินเฟิงก็ยังคงพูดถึงการเดินทัพทำศึกกับเป่ยตี๋!
ขุนนางฝ่ายต่อต้านสงครามมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง และแอบสาปแช่งฉินเฟิงที่มีไหวพริบลื่นไหล ดูเผิน ๆ เขาพูดถึงการช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่เบื้องหลังเขากำลังจุดชนวนสงครามเป่ยตี๋ขึ้นอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ ยากที่จะจัดการจริง ๆ!
เดิมทีหลี่จ้านกังวลว่าหลังจากจบว่าราชกิจเช้านี้ เขาจะต้องแบกรับความพิโรธของฮ่องเต้ด้วยกระดูกอันแก่ชราของตนเอง โดยไม่รู้ว่าวันนี้จะมีชีวิตรอดได้หรือไม่
สุดท้ายเมื่อได้ยินฉินเฟิงพูดคำที่ทรงพลังในตอนท้ายว่า ‘ซีเป่ยต้องสงบสุข’ ใบหน้าของเขาก็สดใสขึ้น ขันทีเฒ่าอยากจะคุกเข่าคำนับฉินเฟิงเพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้เสียเดี๋ยวนี้
หลี่จ้านลอบมองฮ่องเต้อย่างพินิจ ตามที่คาดไว้พระพักตร์ของพระองค์ทรงกลับมาเกษมสันต์แล้ว
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอุทานอย่างยับยั้งชั่งใจ “ใช่ ซีเป่ยต้องสงบสุข! ถ้าทุกคนในต้าเหลียงกล้าหาญเช่นนี้ ไยต้องกลัวเป่ยตี๋ตัวจ้อยด้วยเล่า?”
ฉินเทียนหู่แอบเช็ดเหงื่อ รู้สึกราวกับว่าเพิ่งผ่านประตูนรกมาหมาด ๆ เขาแอบตัดสินใจอย่างลับ ๆ ว่าหลังกลับจวนจะต้องสอบปากคำฉินเฟิงให้ได้ว่าเจ้าเด็กสารเลวนี่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่
หรือว่ายุทธศาสตร์การปกครองแคว้นก็มีสอนใน ‘คัมภีร์เทียนกงไคอู้’ ด้วย?
ใบหน้าของเฉิงหยินแดงก่ำ หนวดเครายาวของเขาปลิวไสว ในใจบัณฑิตเฒ่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ในฐานะผู้นำของบัณฑิต เขาถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทำให้หมดคำพูด เคยเป็นอย่างนี้เสียที่ไหน!
เฉิงหยินสะบัดแขนเสื้อ แล้วตวาดเสียงเกรี้ยว “การย้ายถิ่นฐานชาวไร่อ้อยทำให้สูญเสียทรัพย์สิน แล้วการออกทัพจับศึกไม่สูญเสียทรัพย์สินรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำสงครามหนึ่งครั้ง ต้องใช้เงินเท่าใด?”
ฉินเฟิงคำนับเฉิงหยินอีกครั้ง แต่การคำนับครั้งนี้ช่างเสียดแทงลูกตาเป็นอย่างยิ่ง “ตอบท่านบัณฑิต ทหารเป่ยตี๋มีม้าที่แข็งแกร่งและมีฝีมือขี่ม้ายิงธนูเป็นเลิศ เมื่อสงครามปะทุขึ้น ย่อมจะเป็นสงครามที่ยืดเยื้อและดุเดือด งบประมาณอย่างน้อยที่สุดคือต้องใช้เงินหลายสิบล้านตำลึงเงิน”
สิบล้านตำลึงเงิน…
สถานการณ์ที่ดีขึ้นเพราะฉินเฟิง ย้อนกลับไปแย่ลงในชั่วพริบตา…
MANGA DISCUSSION