บทที่ 10 พี่หญิงสี่สุดโหด
ที่ทางเข้าตรอกปรากฏร่างสตรีนางหนึ่ง เรือนผมของนางดำขลับ พริ้วไหวราวม่านน้ำตก นางยักไหล่ด้วยท่าทีสบาย ๆ
ร่างกายท่อนบนสวมเสื้อสีขาวอ่อน ส่วนท่อนล่างสวมกระโปรงสีแดงสด ถือกระบี่เหมันต์ยาวสามฉื่อเจ็ดชุ่น
คิ้วนางโค้งราวพระจันทร์เสี้ยว นัยตาดั่งเฟิงหวงหลับใหล*[1] จมูกหยกริมฝีปากอิงฮวา *[2] กลิ่นอายของความเก่งกาจและความหยิ่งผยองแผ่ออกมาทั่วร่าง
นัยน์ตาคู่นั้นคมราวกับกระบี่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสตรีแต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ
นางคือจิ่งเชียนอิ่ง พี่หญิงสี่ของฉินเฟิง!
ฉินเฟิงจับฟางช่วยชีวิตไว้ได้*[3] เขาชี้ไปที่มือสังหารสองคน ก่อนจะหัวเราะเสียงดังราวกับอันธพาลได้ใจ “พวกเจ้าซวยแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หญิงสี่ของข้ามาแล้ว”
เมื่อเห็นจิ่งเชียนอิ่ง หลิ่วหงเหยียนก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่พอได้ยินฉินเฟิงพูดจาไร้สาระอีกครั้งก็อดโมโหไม่ได้ นางเตะก้นเขาเต็มแรงและเอ่ยอย่างโกรธเคือง “เจียมตัวหน่อย!”
จิ่งเชียนอิ่งไม่สนใจฉินเฟิง นางเดินช้า ๆ เข้าไปในตรอกพร้อมกระบี่ในมือข้างหนึ่ง
เมื่อเผชิญหน้ากับจิ่งเชียนอิ่งที่กำลังเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ชายชุดดำอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน
“ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูสี่แห่งตระกูลเสนาบดีกรมกลาโหมเป็นวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก มีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ เดิมทีคิดว่าเป็นสตรีห่าม ๆ นึกไม่ถึงว่าตัวจริงจะนุ่มนิ่มบอบบางเพียงนี้ ข้าว่าเจ้ากลับบ้านไปปักผ้าดีกว่า รำดาบจับกระบี่ไม่เหมาะกับเจ้า เดี๋ยวจะเจ็บตัวเปล่า ๆ”
เมื่อเห็นว่าย่างก้าวของจิ่งเชียนอิ่งไม่ได้ช้าลงเลย ชายชุดดำอีกคนก็ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ยัยตัวเหม็น เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
หลังจากพูดจบ ชายชุดดำทั้งสองก็เหวี่ยงดาบไปที่จิ่งเชียนอิ่งพร้อมกัน
คนถูกโจมตีไม่ได้หลบ เพียงแค่เบี่ยงตัวไปด้านข้างเล็กน้อย มือขวาของนางค่อย ๆ กระชับด้ามกระบี่
สิ้นเสียง ‘ฉับ’ จิ่งเชียนอิ่งก็นำกระบี่ที่ชักออกมาเก็บลงในฝัก
ทันใดนั้น ชายชุดดำทั้งสองก็ล้มลงตรงหน้านาง ไม่นานเส้นสีแดงจาง ๆ ได้ปรากฏขึ้นที่คอพวกมัน
ทักษะกระบี่รวดเร็วมาก!
ด้วยระยะห่างเท่านี้ ฉินเฟิงเห็นการเคลื่อนไหวของจิ่งเชียนอิ่งตอนชักกระบี่ไม่ชัดนัก แค่กะพริบตามือสังหารทั้งสองก็ถูกฆ่าปาดคอไปแล้ว
ข้ามีพี่สาวที่สุดยอดเพียงนี้เชียว!
ฉินเฟิงเบิกตากว้าง บ้าจริง นี่เหมือนเขากำลังถ่ายละครเลย!
ฉินเฟิงรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและนั่งลงตรงหน้าจิ่งเชียนอิ่ง ชายหนุ่มกอดต้นขาของพี่สาวแน่น น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาด้วยความตื่นเต้น
“พี่หญิงสี่ ท่านมาทันเวลาพอดี ข้าชื่นชมท่านเหมือนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่ต่างอะไรจากน้ำที่ท่วมแม่น้ำฮวงโห*[4] กระบี่ของท่านเมื่อครู่เรียกว่าอะไร? สอนข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ดวงตาของจิ่งเชียนอิ่งเย็นชา นางเตะเขากระเด็นไปที่มุมหนึ่ง ส่วนหลิ่วหงเหยียนนั้นคุ้นชินกับฉินเฟิงคนใหม่บ้างแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจนัก
ปกติเวลาหลิ่วหงเหยียนลงโทษฉินเฟิง มากที่สุดก็แค่ดึงหู แต่ตอนนี้เขาโดนจิ่งเชียนอิ่งเตะจนไถลไปกับพื้น
แทนที่จะโกรธ ฉินเฟิงกลับยิ้มอย่างบ่าวประจบนาย เขาเข้าหาจิ่งเชียนอิ่งและกล่าวสอพลออย่างไร้ยางอาย “พี่หญิงสี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา? มีท่านอยู่ต่อให้ฟ้าจะถล่มข้าก็ไม่กลัว”
หลิ่วหงเหยียนกลอกตา นางลากคอฉินเฟิงออกมา และเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ขืนพูดต่อไป พี่หญิงสี่จะทุบตีเจ้าอย่างแน่นอน!”
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกำลังจะลุกขึ้นอีกครั้ง จิ่งเชียนอิ่งก็จ้องมาที่เขา ฉินเฟิงจึงฝืนยิ้มและสำรวมท่าทีขึ้น
หลังจากตรวจสอบร่างนักฆ่าทั้งสองก็ไม่พบเบาะแสมีค่าอันใด จิ่งเชียนอิ่งกำชับให้พี่หญิงรองและน้องชายกลับจวนโดยเร็ว ก่อนจะหันหลังเดินนำไปโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของจิ่งเชียนอิ่ง ฉินเฟิงยิ้มอย่างโง่เขลา เขากล่าวอย่างเคลิบเคลิ้ม “พี่หญิงสี่เท่ชะมัด”
หลิ่วหงเหยียนเอื้อมมือออกไปตบหน้าผากน้องชาย นางเอ่ยเคือง ๆ “อย่ามัวเพ้อเจ้อ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเกิดเรื่องขึ้นอีก”
เนื่องจากบ่าวที่คุมรถม้าถูกสังหาร ฉินเฟิงและหลิ่วหงเหยียนเลยทำได้เพียงเดินเท้ากลับจวน
ระหว่างทาง ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำในใจ
คนที่ผูกความแค้นกับเขาเมื่อไม่นานมานี้มีอยู่คนเดียวคือหลี่รุ่ย ชายชุดดำทั้งสองคนอาจเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย
ในฐานะนายน้อยเจ้าสำราญคนหนึ่ง เขามีความสำคัญอะไรนักหนา? เหตุใดหลี่รุ่ยถึงหมกมุ่นอยู่กับการกำจัดเขานัก?
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพราะต้องการขยายอำนาจในราชสำนักจริงหรือ?
ฉินเฟิงไม่ได้บอกหลิ่วหงเหยียนและจิ่งเชียนอิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม การฆาตกรรมกลางถนนในเมืองหลวงของต้าเหลียงเสี่ยงอย่างยิ่งสำหรับหลี่รุ่ย
การถูกเปิดโปงในข้อหาลอบสังหารบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมบนท้องถนน เพียงพอให้ทั้งตระกูลของเขารับโทษสุราพิษหนึ่งกา
การที่หลี่รุ่ยยอมจ่ายความเสี่ยงราคาสูงเช่นนี้เพื่อฆ่าฉินเฟิง ผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
จนกว่าจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและมีหลักฐานที่แน่นหนา ฉินเฟิงไม่ต้องการให้เหล่าพี่สาวเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้
สิ่งหนึ่งที่นายน้อยตระกูลฉินแน่ใจคือ ถ้าหลี่รุ่ยกล้าส่งคนมาสังหารเขา เรื่องคงไม่จบแค่นี้ มีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่สอง
ไม่ใช่แค่ป้องกันหลี่รุ่ยที่พร้อมจะลงมือโดยไม่สนวิธีการ แต่ฉินเฟิงต้องกำจัดอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด!
ฉินเฟิงผู้รอดชีวิตจากสงครามการค้าอันโหดร้ายรู้ซึ้งว่า ผู้อยู่รอดคือผู้ที่เหมาะสม หลักการพื้นฐานของกฎ ‘ธรรมชาติคัดสรร’
ทันทีที่ฉินเฟิงและหลิ่วหงเหยียนกลับมาถึงจวน สาวใช้ตัวน้อยก็เข้ามาด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับรายงานว่า “นายน้อย นายท่านกำลังรออยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านรีบไปเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงมีรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก
ตามความทรงจำของร่างเดิม หลิ่วหงเหยียนตามใจฉินเฟิงอย่างหาใดเปรียบ และต่อให้จิ่งเชียนอิ่งจะเย็นชาแต่นางก็ปกป้องเขาอย่างถึงที่สุด
ทว่าพ่อของฉินเฟิง ฉินเทียนหู่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทุบตีและตำหนิบุตรชายเพราะเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
ประกอบกับความจริงที่ว่าฉินเฟิงกำลังจะถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาเซิ่งหลิน ฉินเทียนหู่จึงไม่อยากเห็นหน้าเขามากกว่าเดิม
การที่บิดาเรียกพบอย่างเร่งด่วนเช่นนี้จะต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ!
เพื่อความปลอดภัยฉินเฟิงหน้าด้าน และยืนกรานที่จะลากหลิ่วหงเหยียนและจิ่งเชียนอิ่งไปด้วย มิเช่นนั้น เขาคงได้ลงไปกลิ้งบนพื้น
พี่สาวทั้งสองคนไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าน้องชายตัวดี พวกนางจึงต้องไปกับเขาอย่างช่วยไม่ได้
ห้องหนังสือของฉินเทียนหู่ตั้งอยู่ในสวนหลังบ้านของจวนฉิน ที่นั่นไม่ต่างอะไรกับพื้นที่ทำงานส่วนตัวของเสนาบดีกรมกลาโหม มีไว้สำหรับรับรองแขกคนสำคัญเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อนถึงจะเข้าไปได้
ทันทีที่ฉินเฟิงผลักประตู ถ้วยชาถ้วยหนึ่งก็ลอยเข้ามาตรงหน้า ฉินเฟิงตกใจเสียจนหันหลังพลิกตัวหลบ
ให้ตายเถอะตาแก่คนนี้อารมณ์ร้ายชะมัด…
“ไอ้คนไร้ค่า กล้ามากนะที่กลับมา!” เสียงแข็ง ๆ ดังขึ้น ผู้เป็นบิดากล่าวอย่างหนักแน่นใส่หน้าบุตรชาย
ฉินเฟิงสั่นสะท้านในใจ เงยหน้าขึ้นมองฉินเทียนหู่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ ดวงตาพยัคฆ์คู่นั้นเบิกกว้าง
แม้ว่าฉินเทียนหู่จะเป็นบัณฑิตมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมที่ต้องรับมือกับกองทัพและสงคราม เส้นทางของตำแหน่งนี้ได้เปลี่ยนกลิ่นอายของบัณฑิตให้กลายเป็นวีรบุรุษผู้แข็งแกร่งนานแล้ว
สายตาที่แผ่จิตสังหารออกมาเรื่อย ๆ ของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกตื่นกลัวเสียจนตัวสั่น
เมื่อเห็นฉินเฟิง ฉินเทียนหู่ก็โกรธจัดและกล่าวด้วยโทสะ “ไอ้ลูกสารเลว ข้าสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ให้ออกไปเที่ยวเล่น เจ้าถือว่าคำพูดของบิดาเป็นลมที่ผ่านหูซ้ายทะลุหูขวารึ!?”
ขณะที่พูด ฉินเทียนหู่ก็ลุกขึ้นและเดินไปคว้าแส้เส้นหนึ่งมาส่ง ๆ ตั้งใจจะช่วยฉินเฟิงให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระดูกเสียหน่อย
ฉินเฟิงรีบหลบหลังหลิ่วหงเหยียน เขาร้องขอความเมตตาด้วยความหวาดวิตก “ท่านพ่อ พยัคฆ์ร้ายไม่กินบุตร*[5] ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
ประโยคเมื่อครู่ไม่พูดเสียยังดีกว่า เพราะเมื่อพูดจบ ฉินเทียนหู่ก็ยิ่งโมโห!
ในฐานะบุตรของเสนาบดีกรมกลาโหม การขี้ขลาดและไร้ความสามารถเช่นนี้ทำให้ตระกูลฉินเสื่อมเสียชื่อเสียง!
[1] ดวงตาดั้งเฟิงหวงหลับใหล : ดวงตาเรียวรีที่ถูกปิดด้วยเปลือกตาครึ่งหนึ่ง ดูง่วงนอน ให้ความรู้สึกถึงเสน่ห์ที่ยากจะพรรณนา
[2] จมูกหยก ริมฝีปากอิงฮวา : คำเปรียบเปรยของใบหน้าที่ดูดี
[3] จับฟางช่วยชีวิต : ความหวังเดียวที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ยากลำบาก
[4] เหมือนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่ต่างอะไรจากน้ำที่ท่วมแม่น้ำฮวงโห : แสดงถึงความชื่นชมอย่างสุดซึ้ง
[5] พยัคฆ์ร้ายไม่กินบุตร : ขนาดเสือยังไม่ทำร้ายลูกตัวเอง
MANGA DISCUSSION