บทที่ 1 ข้าจะหาเงินเอง
“ว่ากันว่า พระถังซัมจั๋งเป็นแค่คนโง่ ทั้ง ๆ ที่ชายชราผู้นั้นเป็นปีศาจกระดูกขาวแปลงกายมา และสายตาอันแหลมคมของซุนหงอคงก็เห็นร่างที่แท้จริงของมันตั้งแต่คราแรก ทว่าไม่มีใครเชื่อเขา…”
“สิ่งที่น่าชังที่สุดคือ การที่พระถังซัมจั๋งผู้นั้นแสดงอาการโกรธเกรี้ยวใส่ซุนหงอคง ‘เจ้าเป็นลิงแล้วยังคิดร้ายทำลายชีวิตคนอีก วันนี้อาจารย์คงละเว้นเจ้ามิได้แล้ว!’”
“หลังจากพูดจบ เขาก็ท่องคาถาสะกดซุนหงอคง…”
ณ แคว้นเหลียง ลานหลังจวนตระกูลฉิน
มีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณลานบ้าน มันถูกปูด้วยผ้าสีแดงพร้อมด้วยค้อนไม้เล็ก ๆ ที่วางอยู่
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดผ้าแพรยืนด้านหลังโต๊ะ ในมือเขาถือพัดพับแบบจีน เล่าเรื่องราวของซุนหงอคงจากเรื่องไซอิ๋วที่สามารถสังหารปีศาจกระดูกขาวได้
โดยมีผู้ชมเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลฉินจำนวนยี่สิบกว่าคน
ตอนนี้อารมณ์ของพวกเขาถูกกระตุ้นโดยฉินเฟิง ใบหน้าแต่ละคนตึงเครียดเป็นอย่างมาก เพราะกลัวว่าพระถังผู้โง่เขลาจะฆ่าซุนหงอคงผู้เก่งกาจจนสิ้นชีพ
กึก!
ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็ยกค้อนขึ้นทุบโต๊ะทำให้บรรยากาศตึงเครียดตามไปด้วย “ทันใดนั้น ซุนหงอคงที่ถือไม้กระบองทองคำอยู่ก็เจ็บปวดจนหน้ามืดตาลาย ขณะเดียวกันชายชราตระกูลเฉาที่เป็นปีศาจกระดูกขาวแปลงกายมาก็กางกรงเล็บแหลมคมอยู่ข้างหลังพระถังซัมจั๋ง…”
ชายหนุ่มจิบชาหนึ่งอึกให้พอชุ่มคอ เขาคลี่พัดออกพร้อมยกมุมปากยิ้มอย่างมีชัย “เรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร โปรดติดตามต่อในครั้งหน้า”
“อ๋า…”
บรรดาคนที่กำลังฟังอย่างติดลมได้ยินเช่นนี้ก็ร้องโหยหวนขึ้นมาทันที
เห็นเพียงฉินเฟิงที่นำกล่องใบใหญ่ขึ้นมาจากด้านหลังโต๊ะ ดูเหมือนว่าบนกล่องจะมีตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวคือ ‘กล่องรางวัล’ เขียนอยู่
ฉินเฟิงยกเท้าขึ้นเหยียบโต๊ะและพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “มา ๆๆ ในเมื่อพวกเจ้าฟังอย่างมีความสุขขนาดนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่ข้าเล่าไม่เลว ไม่ว่าเจ้าจะมีเงินหรือไม่ ก็มาตกรางวัลให้เงินข้ากันเยอะ ๆ เถิด”
“…”
กลุ่มบ่าวรับใช้ผงะไปทันที
พวกเขารู้ว่านายน้อยของตนฟุ่มเฟือย เขาถูกคุณหนูใหญ่และคุณหนูสามจำกัดเงินเดือน แต่ละเดือนนายน้อยสามารถถอนเงินจากห้องบัญชีได้เพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงินเท่านั้น
หนึ่งร้อยตำลึงเงินสำหรับนายน้อยเจ้าสำราญจะเพียงพอได้อย่างไรเล่า?
ดื่มสุราบุปผาหนึ่งครั้งยังไม่พอจ่ายเลย
แต่คาดไม่ถึงว่าเพื่อให้มีเงินมากพอที่จะเที่ยวเตร่ นายน้อยถึงกับละทิ้งจิตสำนึก กอบโกยเงินจากบ่าวอย่างพวกเขาแบบอาจหาญและโจ๋งครึ่ม!
ใบหน้าของทุกคนซีดลงครู่หนึ่ง บ่าวรับใช้บางคนกังวลจนถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้ม…
“นี่ ๆๆ ทำสีหน้าอันใดของพวกเจ้ากัน ทำอย่างกับว่ากำลังโดนข้า นายน้อยผู้นี้กลั่นแกล้งไปได้”
ฉินเฟิงกรอกตาอย่างเดือดพล่าน
เขารู้มาว่าบ่าวรับใช้พวกนี้เคยอาศัยชื่อของเขาหากินและได้เงินมาจำนวนไม่น้อย วันนี้ก็แค่ให้พวกเขาจ่ายคืนบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง
เมื่อเห็นทุกคนมีสีหน้าสลด ชายหนุ่มจึงไม่พอใจทันที “อะไรกัน? เจ้าคิดว่าข้านายน้อยผู้นี้หลอกเอาเงินอย่างนั้นหรือ? นี่เป็นค่าตอบแทนฝีมือของข้าเข้าใจหรือไม่?”
“พวกเจ้ามาเข้าแถวให้หมดและให้รางวัลมาทีละคน!”
“ไม่ต้องห่วง รอข้าหาเงินได้จะพาพวกเจ้าไปกิน ดื่ม เล่นสนุกสุขสำราญด้วยกันให้ทั่วเมืองหลวงเลย…”
ตอนแรกทุกคนก็รู้สึกแย่มากแล้ว ตอนนี้พอได้ยินฉินเฟิงพูดออกมาแบบนั้น น้ำตาของพวกเขาก็แทบจะไหลนองหน้า
หาเงิน?
โถ่นายน้อย ตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่เกือบจะล้มละลายเพราะท่านแล้ว!
หากท่านหาเงินได้ แม่หมูก็คงปีนต้นไม้ได้เช่นกัน…
แต่เมื่อฉินเฟิงพูดอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่กล้าขัดขืนจึงพากันเข้าแถวอย่างไม่เต็มใจแล้วยัดเงินลงในกล่องรางวัล
จากนั้นนายน้อยตระกูลฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาหมุนพัดและฮัมเพลงเดินไปทางเก้าอี้เอนด้านข้าง ก่อนจะนั่งลงไป
เป็นเวลาเดียวกันกับที่สาวใช้ร่างบางผู้น่ารักเดินมาพร้อมกับจานผลไม้ นางคุกเข่าลงตรงหน้าเขา เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่งดงาม…
“โอ๊ะ เสี่ยวเซียงเซียง ข้าไม่เจอเจ้าแค่พักเดียว ดูเหมือนจะสวยขึ้นอีกแล้ว!”
ฉินเฟิงก็เป็นเช่นนี้เสมอ ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นเอื้อมคว้าองุ่น แต่มือของเขากลับอยู่ไม่สุข
มันสัมผัสกับผิวนุ่มนิ่มนั่น จนทำให้ใจสั่นไหว
สาวรับใช้หน้าแดง แต่ก็ยังคงปอกเปลือกองุ่นแล้วส่งเข้าปากของนายน้อยแห่งตระกูลฉินทีละลูก ๆ
ด้านหลังเก้าอี้เอนมีเด็กชายอายุสิบห้าปียืนอยู่ เด็กคนนี้มีใบหน้าซุกซนสมวัย เขาสวมหมวกสักหลาดใบเล็กและกำลังโยกเก้าอี้ให้ฉินเฟิงอย่างเบามือพร้อมกับเอ่ยคำเยินยอ
“นายน้อย ท่านหาทางออกได้เสมอ! ข้าเพิ่งดูมาเมื่อกี้ กล่องของขวัญของเรามีสองร้อยตำลึงเงินแล้ว!”
ชื่อของเด็กหนุ่มคือฉินเสี่ยวฝู เขาเป็นสหายของฉินเฟิง สายตาที่มองไปยังนายน้อยตระกูลฉินเปี่ยมล้นไปด้วยความนับถือ
นายน้อยก็คือนายน้อย ไม่เพียงแต่ผลาญเงินของตระกูลเท่านั้น แม้แต่เงินของบ่าวรับใช้ก็ไม่ละเว้น!
ฉินเฟิงใจสลายเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้แต่พวกบ่าวรับใช้ยังร่ำรวยกว่าเขาเสียอีก
ตัวเขาในตอนนี้เรียกได้ว่ายากจนสุดชีวิต ไม่มีของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียวในลานบ้าน
เพราะไม่มี เขาจึงใกล้ล้มละลาย…
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินเฟิงอยากจะอาเจียนเป็นโลหิตออกมาคือ เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ใช่นายน้อยเจ้าสำราญของตระกูลฉิน แต่เป็นผู้จัดการแผนกจากบริษัทในศตวรรษที่ 21 ต่างหาก เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอตื่นขึ้นมาวิญญาณก็ทะลุมิติมายังโลกที่ไม่คุ้นเคยใบนี้แล้ว
โลกนี้คล้ายกับราชวงศ์ซ่งในความทรงจำก่อนหน้านี้ของเขามาก ทว่าด้อยกว่าในแง่ของนวัตกรรมและวัฒนธรรม
สำหรับฐานะของร่างนี้ เขาเป็นนายน้อยเสเพลที่มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนในเมืองหลวง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นถึงบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม
เพราะถือว่าตนมีพี่สาวสี่คนที่รักใคร่เอ็นดู ฉินเฟิงผู้นี้จึงแทบจะไม่ทำตามกฎหมาย เขารู้จักชิงตัวสาวชาวบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย เที่ยวหอโคมเขียว เข้าบ่อนพนัน เป็นอันธพาล…
สิบวันก่อน เขาถูกหลอกให้เดิมพันครั้งใหญ่กับหลี่รุ่ยบุตรของเสนาบดีกรมคลัง ด้วยเหตุนี้เขาจึงสูญเสียที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ของตระกูลฉินที่อยู่นอกเมืองให้กับอีกฝ่ายถึงหนึ่งหมื่นหมู่ ทำให้บิดาโมโหจนแทบจะกระอักเลือดตาย…
ผู้เป็นพ่อจึงสั่งกักบริเวณนายน้อยแห่งตระกูลฉินด้วยความโกรธเกรี้ยว
แต่ฉินเฟิงผู้นี้ก็ยังไม่ยอมอยู่เฉย!
ความดื้อรั้นประกอบกับการยั่วยุของหลี่รุ่ยทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจปีนกำแพงออกจากจวนกลางดึก มุ่งหน้าไปยังเรือสำราญเพื่อดื่มกินและเที่ยวเล่นกับกลุ่มสหายสุนัขพวกนั้น
สุดท้ายไม่รู้ไปอย่างไรมาอย่างไร ฉินเฟิงถึงได้ถูกมอมเหล้าจนเมามายและพลัดตกลงไปในทะเลสาบ กว่าจะช่วยขึ้นมาได้ เขาก็ตายไปแล้ว!
ทว่า
หลังจากเรียบเรียงความทรงจำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉินเฟิงรู้ดีว่าเขาไม่ได้จมน้ำตายแต่โดนวางยาพิษต่างหาก
เมื่อนึกถึงคืนนั้นเขาก็พบว่าหลี่รุ่ยแปลกไปจากปกติ อีกฝ่ายยิ้มอย่างมีมารยาท ดูแลแขกในงาน เลี้ยงอาหาร ทั้งยังจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญผู้มีชื่อเสียงมาร่วมดื่มกิน
ดังคำกล่าวที่ว่า ถ้ามีสิ่งใดผิดจากปกติจะต้องมีกับดัก หลี่รุ่ยต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นแน่
สถานการณ์ปัจจุบันของฉินเฟิง หาได้สงบราบเรียบดั่งเช่นที่เห็นไม่
หลี่รุ่ยรู้ว่าเขาสบายดีและอาจจะกลับมาฆ่าเขาอีกครั้ง
อีกฝ่ายกล้าที่จะลงมือกับบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม การพัวพันของผลประโยชน์ต้องไม่ธรรมดา!
ลูกธนูไม่มีวันย้อนกลับ แม้ว่าฉินเฟิงจะปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น อย่างไรเสีย หลี่รุ่ยก็คงจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ
ดังนั้น เขาต้องเตรียมการรับมือล่วงหน้า
จะเตรียมตัวอย่างไรน่ะหรือ?
แน่นอนว่าก้าวแรกก็คือการหาเงินไงเล่า!
ต้องมีเงินก่อนถึงจะสามารถเกณฑ์ทหาร รับสมัครผู้มากความสามารถเพื่อสร้างอิทธิพลได้
ทว่าหลังจากที่เขาตื่นขึ้น หลิ่วหงเหยียนพี่สาวคนรองกลับประกาศการตัดสินใจครั้งใหญ่ นางตัดเงินเดือนของเขาเหลือหนึ่งร้อยตำลึงเงิน!
แล้วจะให้ฉินเฟิงใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
หากไม่ให้เงินข้า เช่นนั้นข้าก็จะหาเงินเอง!
จะดีร้ายเช่นไรข้าก็เคยเป็นถึงพนักงานขายอันดับหนึ่ง ขนาดนี้ยังต้องกลัวว่าจะหาเงินเป็นกอบเป็นกำในสมัยโบราณไม่ได้อีกหรือ?
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉาก ‘บ่าวให้เงินนาย’ เบื้องหน้าปรากฏขึ้น…
“แน่นอน! นายน้อยคนนี้คือใคร? กับอีแค่เงินทอง จะทำอะไรข้าได้?”
ฉินเฟิงท่าทางราวคนสุรุ่ยสุร่าย เขาพูดอย่างไม่ละอายใจ “อย่าว่าแต่สามหรือสี่ร้อยตำลึงเงินเลย ต่อให้เป็นสามหรือสี่ล้านตำลึงเงิน สำหรับข้านายน้อยผู้นี้ก็ใกล้แค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น”
“คืนนี้พวกเราก็ออกไปเที่ยวเล่นให้สนุกกันเสียหน่อย ได้ยินมาว่าหออี้หงมีคนมาใหม่ เรียกได้ว่าขาวละมุน…”
ในขณะที่เขากำลังคิดอย่างมีความสุข ฉินเสี่ยวฝูพลันหดคอลงด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มจ้องมองนายน้อยของตนด้วยดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับทำปากส่งสัญญาณอย่างแข็งขัน
“คุณหนูรอง… ข้างหลัง”
ในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นหอมจาง ๆ โชยเข้าจมูก
บัดซบ!
ฉินเฟิงรู้สึกราวกับใจของเขาหล่น ‘ตุ้บ’
จบแล้ว พี่หญิงรอง?!
MANGA DISCUSSION