“แต่ว่านะ ไหนๆก็อยู่ที่เดียวกันแล้วทั้งทีไม่เห็นต้องแยกกันกินก็ได้นี่? ใช่ว่ารินทาโร่จะต้องเป็นคนทำอาหารเสมอไปก็ได้”
“…นั่นมันก็จริงอยู่”
เรย์พยักหน้ารับคำพูดของคานอน
ก็จริงอยู่ว่าที่พูดก็ไม่ได้ผิด
อาศัยอยู่ชั้นเดียวกันแล้วทั้งที มันคงน่าเบื่อไปหน่อยหากกลับที่เดียวกัน แต่แยกกันอยู่และกินอาหารคนเดียว
ถึงแม้ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับฉันหรือไม่ก็ตาม แต่ทั้งสามคนก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันอย่างเป็นส่วนตัว
“เอาเถอะถึงจะเพิ่มขึ้นสักคนสองคนก็ไม่น่าจะลำบากเกินมือไปหรอก แต่เนื่องจากฉันต้องรับเงินจากเรย์เพื่อแลกกับการทำอาหาร คงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ถ้าต้องเตรียมอาหารให้พวกเธออย่างไร้เงื่อนไข”
“อืม นั่นสินะ…”
แม้ว่าปริมาณที่ต้องทำจะเพิ่มขึ้น แต่สิ่งเดียวที่น่ารำคาญก็คงจะเป็นปริมาณจานที่ต้องล้าง
กลับกันต้องรู้สึกขอบคุณมากกว่าที่ไม่ต้องกังวลว่าจะทำออกมามากเกินไป
เพียงแต่เรย์ให้เงินค่างานของฉันทั้งหมดประมาณ 150,000 เยนรวมค่าเช่าห้อง สาธารณูปโภค และค่าวัตถุดิบ
แค่ต้องการหลีกเลี่ยงการทำให้คนอื่นโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกัน
แน่นอนว่าหากเป็นการทำแค่เพียงครั้งคราวอย่างเช่นวันนี้ก็ไม่มีปัญหา
“ฉันคิดว่าความเห็นของรินทาโร่ก็สมเหตุสมผลนะ มีอาล่ะว่ายังไง?”
“…เราเองก็คิดว่ารินทาโร่พูดถูกแล้ว แต่มีข้อเสนออย่างนึง ว่าหากคานอนและเราอยากจะกินอาหารของรินทาโร่แล้วล่ะก็จะซื้อวัตถุดิบมาให้เองเป็นไง?”
ข้อเสนอนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะแต่—
ฉันหันไปมองหน้าของเรย์
“อืม เอางั้นก็ได้ ขอแค่ฉันได้กินข้าวของรินทาโร่ก็เพียงพอแล้ว”
“งั้นรินทาโร่คุงล่ะว่ายังไง?”
ฉันพยักหน้าลงหนึ่งครั้งโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าเรย์บอกว่าดี แล้วก็ไม่ได้รบกวนเวลาและความพยายามของฉันก็ไม่มีปัญหา ซื้อวัตถุดิบที่ชอบมากันเลย”
“ใจกว้างจังเลย ขอบคุณนะ เดี๋ยวจะขอใช้บริการบ่อยๆเลยดีไหม”
ยังไงเสีย มีอากับคานอนก็คงไม่รีบร้อนมาใช้ทุกวันหรอก
ถึงจะไม่รู้ว่าทำงานกันยังไง แต่ก็พอรู้สึกได้ว่ารู้จักพอประมาณและมีมารยาท
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือคานอนคือคนที่ดูมีความรู้มากที่สุดและดูเด็กที่สุดเช่นกัน
อาจจะเป็นผลมาจากที่เธอมีพี่น้องหลายคนก็ได้
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เหลืออีกแค่เดินเดียวก็จะถึงวันไลฟ์แล้วสินะ เร็วจังเลยเนอะ”
“อีกหนึ่งเดือนก็คือ…ต้นเดือนกรกฎาคมสินะ”
“หวังว่าอากาศจะไม่ร้อนเกินไปนะ เวลาเครื่องสำอางไหลออกจากเหงื่อนี่น่ารำคาญจริงๆเลยล่ะ”
“ไลฟ์ก่อนหน้านี้คือเมื่อต้นปีใช่ไหม?”
“เอ๊ะ รู้ดีจังเลยนะ…ตอนที่เจอกันครั้งแรกดูไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เลยแท้ๆ”
“ได้ดูการซ้อมระยะใกล้ขนาดนั้น ถึงจะไม่อยากก็ต้องรู้สึกสนใจอยู่ดี เข้าใจอีกครั้งเลยล่ะว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ”
มิลสตาร์จะจัดแสดงสดใหญ่สามครั้งในหนึ่งปี
ฤดูหลักคือ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว และดูเหมือนว่าจะมีการปล่อยเพลงใหม่ที่เข้ากับฤดูกาล—ทุกครั้ง
ที่นั่งจะเต็มทุกครั้ง หากพลาดซื้อตั๋วที่ขายในรอบแรกก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหาซื้อตั๋วที่มีการขายต่อในราคาสูง และดูเหมือนว่าจะมีมาตรการรับมือโดยมีการขายตั๋วรอบรองทันทีที่มีการยืนยันว่ามีการขายต่อในราคาสูง
“รินทาโร่ ไลฟ์ครั้งหน้าจะมาดูไหม?”
“รู้สึกว่าอยากไปอยู่หรอก แต่บอกตามตรงว่าไม่มั่นใจว่าจะซื้อตั๋วได้เลย”
“หายห่วง มีตั๋วสำหรับบุคคลเกี่ยวข้องอยู่”
“เอ๊ะ…จะดีเหรอ ให้รับมาแบบนั้น?”
“รินทาโร่เป็นผู้เกี่ยวข้อง ถ้าฉันพูดแบบนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ก็จริงอยู่ว่าใช่ผู้เกี่ยวข้องไหมก็ใช่อยู่หรอก
“ที่จริงแล้วก็มีการจำกัดจำนวนคนที่เราสามารถเชิญเป็นการส่วนตัวได้อยู่ แต่เพิ่งเปิดตัวได้สองปี เราเลยไม่มีคนรู้จักในวงการบันเทิงมากพอจะใช้การเชิญได้หมด แค่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในแต่ละครั้งเอง”
“งั้นทำไมไม่เชิญพ่อแม่หรือเพื่อนในโรงเรียนล่ะ?”
“แน่นอนว่าถ้าพ่อแม่ว่างเราก็จะเรียกมา แต่ถ้าเราเรียกใครที่โรงเรียนมาก็จะดูเหมือนว่าเราชอบคนๆนั้นใช่ไหมล่ะ? พอมีชื่อเสียงก็พอจะรับรู้ได้น่ะ”
“อ่า…พอจะเข้าใจอยู่”
คงไม่มีโควต้าพอจะเชิญทุกคนในโรงเรียนมาได้
แทนที่จะเชิญใครคนหนึ่งจนกระตุ้นความเกลียดชังและความอิจฉาจากรอบข้าง สู้ไม่เชิญใครเลยก็ดูสมเหตุสมผล
“สถานการณ์ของฉันก็คล้ายของมีอาเหมือนกัน ฉันรู้จักนักแสดงหนุ่มคนหนึ่งที่เข้าฉันด้วยเจตน่าแอบแฝง คงจะเกิดปัญหาหากเชิญเขามาและถูกเข้าใจผิด”
“…เห”
“อะ อะไรล่ะนั่นปฏิกิริยาแบบนั้น!?”
“เปล่า แค่คิดว่าเธอเองก็มีผู้ชายเข้าหาเหมือนกันด้วยสินะ”
“หยาบคายไปปะ!? เพราะน่ารักขนาดนี้ไงถึงได้เข้าหา ถ้าไม่มีสิแปลก!?”
พูดแล้วคานอนก็ยืนขึ้นต่อหน้าฉัน
ก็จริงว่าหากพูดถึงความน่ารักก็อาจจะมากที่สุดในบรรดามิลสตาร์
ทั้งเรย์และมีอา หากให้พูดคงเหมาะกับคำว่าสวยมากกว่า
อย่างไรก็ตามความน่ารักนั้นก็พังทลายลงเพราะใบหน้าที่ดูสิ้นหวัง
“คานอนน่ะถ้าเงียบอยู่ก็น่ารัก”
“ห๊า!? หมายความว่าไงกัน เรย์! ถึงจะพูดก็น่ารักเหลือล้นไม่ใช่รึไง!”
“…อืม”
“ ‘อืม’ ที่ไหนเล่า! ถ้าเธอไม่ยอมรับแล้วใครจะยอมเชื่อฉันกันล่ะ!?”
ปรี๊ด เป็นผู้หญิงที่เหมาะกับเสียงเอฟเฟคแบบนั้นแหละ
คุ้มค่าจริงๆที่แกล้ง
“…อ๊ะ จะว่าไปมีหนังที่อยากดูด้วยกันสี่คนอยู่”
ทันใดนั้นเรย์ก็หยิบ DVD ออกมาจากกระเป๋า
เหมือนว่าเธอยังคงใช้การเช่าแผ่นอยู่ในยุคนี้
“…‘ความแค้นของคุณซาดาโกะ’? เรย์ เจ้านี่มัน?”
“หนังสยองขวัญ”
“ไม่สิ เรื่องนั้นเราก็รู้อยู่หรอก…”
เข้าใจดีว่ามีอาอยากจะพูดอะไร
ไม่รู้จะอธิบายยังไงนอกจากหนังเกรดบี—หาคำพูดดีๆไม่ได้จริงๆ
ฉัน คานอนและมีอารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆและมองหน้ากัน
“ก่อนหน้านี้เห็นในเว็บไซต์วิดีโอมาก่อนเลยสงสัย แต่ฉันไม่ถนัดกับเรื่องสยองขวัญ ถ้าเป็นไปได้เลยอยากจะดูกับทุกคน”
“กะ ก็นะ…คงจะสนุกถ้าได้ดูไปพลางกับกินข้าวพร้อมเพื่อน…ละมั้งนะ?”
คานอนเลือกคำพูดเหมาะๆและพูดเห็นด้วยกับเรย์
แน่นอน ฉันคิดว่าการดูอนิเมะและหนังกับเพื่อนมีข้อดีต่างจากการดูคนเดียว
นอกจากนี้ยังไม่รู้สึกสบายใจที่จะปฏิเสธกับเรย์ที่เช่ามาโดยบอกว่า “ไม่อยากดูเพราะไม่น่าสนใจ”
“รินทาโร่คุง รู้สึกหิวเหรอ?”
“…ฉันออกไปทำอาหารไว้หยิบกินตอนว่างได้ไหม?”
“ไม่ได้เชียวนะ ถ้าออกไปไหนเดี๋ยวเรย์จะนั่งกลัวคนเดียวเอานะ”
มีอาคว้าแขนของฉันไว้ด้วยรอยยิ้ม
ทางหนีถูกปิดกั้นเรียบร้อย—
ฉันยอมแพ้และหันหน้าไปทางเรย์
“ดีล่ะ มาดูด้วยกันสี่คนนะ”
“ทุกคน ขอบคุณนะ ถ้างั้น—”
เรย์นำแผ่น DVD ใส่ในเครื่องเกมที่ติดตั้งไว้กับทีวีที่บ้านของฉัน
แม้จะเป็นเครื่องเกมแต่ก็สามารถเล่น DVD ได้เช่นกัน และฟุจเทจความยาวประมาณสองชั่วโมงที่ต้องสู้กับความง่วงก็ได้เริ่มขึ้นบนจอทีวี
MANGA DISCUSSION