[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit - บทที่2 ตอนที่ 49
บทที่ 2 ตอนที่ 49
「มันก็นานมากแล้วนะจ๊ะ」
「ผมขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปให้หาทุกคนให้เร็วกว่านี้นะครับ」
มีเพียงแค่น็อนซังที่อยู่ที่โรงแรม ห้องที่พวกเขาจองไว้นั้นดูจะมีแค่กองสัมภาระกับเตียงเท่านั้น ดังนั้นพวกเราเลยย้ายกันไปอยู่ที่คาเฟ่ใกล้ๆแทน มันเป็นคาเฟ่เล็กๆที่ตกแต่งด้วยไม้ทั้งโต๊ะและเก้าอี้เลย มันทำให้คุณรู้สึกถึงความอบอุ่นจากไม้ได้
ผมสั่งน้ำผลไม้ไป ส่วนน็อนซังนั้นสั่งชานม
「มีหลายอย่างเลยที่อยากจะพูด แต่เริ่มจากเรื่องที่คุณพ่อกับมิมิโนะซังต้องไปที่กิลด์ก่อนแล้วกัน」
「ที่กิลด์หรอครับ?」
「ใช่แล้วจ่ะ เพราะความคัดแย้งในการแบ่งรางวัลจากงูยักษ์ตัวนั้นหน่ะ」
นักผจญภัยพื้นที่ดูจะไม่ยอมที่นักผจญภัยต่างถิ่น – ซิวเวอร์บาลานซ์ – นั้นแย่งผลงานของพวกเขาไปทั้งๆที่การอพยพพลเมืองถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนที่แย่งก็คือว่าพวกนักผจญภัยเกือบทั้งหมดนั้นไม่ได้เห็นการต่อสู้กับอูโรโบรอส ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าซิวเวอร์บาลานซ์นั้นแอบอ้าง
ในทางกลับกัน ภาคีอัศวินนั้นยังยืนกรานว่าพวกเขาจะเป็นคนเอาศพไป, ยืนยันส่วนที่ใช้งานได้, แลกเปลี่ยนมันเป็นเงินจำนวนมาก, แล้วค่อยแบ่งมันให้กับกิลด์จำนวนหนึ่ง จากมุมมองของทางกิลด์แล้ว มันก็แทบจะเหมือนกับพวกเขาถูกโกงเงินของพวกเขาเลย
ผลสุดท้าย ศพก็เลยยังไม่มีใครแตะต้องมัน
「ที่ชั้นคอยอยู่ที่โรงแรมก็เผื่อว่าเรย์จิคุงจะโผล่มาในวันนี้นี้แหล่ะ」
「งั้นหรอครับ อืม ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรกับศพนั่นหรอกครับ」
「อุฟุฟุ เธอไม่ควรทำอย่างนั้นนะ เรย์จิคุง เธอควรจะระมัดระวังเรื่องเงินเอาไว้นะ คุณพ่อหน่ะออกไปอย่างภูมิใจพร้อมกับพูดว่า “เจ้าพวกนั้นดูถูกพวกเราและพูดไปต่างๆนาๆเพราะพวกเราเป็นคนนอก ดังนั้นพวกเราก็แค่ต้องแสดงให้พวกมันเห็น ว่าพวกเราเป็นใคร”」
「ฮา-ฮ่าๆ…」
ดันเต้ซังดูน่ากลัวยังไงไม่รู้นะ
「มิมิโนะซังหน่ะกระตือรือร้นมากกว่านั้นอีก เธอพูดว่า “พวกเราจะรีดไถทุกบาททุกสตางค์เลย ยังไงมันทั้งหมดก็เป็นของเรย์จิคุงอยู่แล้ว” แถมยังพยายามที่จะเอายาพิษต้องห้ามถึงตายไปด้วยเลย แต่ชั้นหยุดเธอเอาไว้ได้ก่อน」
น่ากลัวยิ่งกว่าอีกหรอเนี้ย!
「…ยังไงก็เถอะ แล้วพวกคุณมาทำอะไรในเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้หล่ะครับ?」
「พวกเรานั้นอยู่ที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ (Lev Magic Empire) จนถึงเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่นั่น พวกเรารับภารกิจคุ้มกันและได้มายังเมืองศักดิ์สิทธิ์หน่ะ ทางโบสถ์ยังถือว่าชั้นออกเดินทางตามหาทางรักษาคุณพ่ออยู่ ทว่าตัวชั้นเองก็แทบจะกลายเป็นนักผจญภัยเต็มตัวอยู่แล้วละจ่ะ งั้น แล้วเธอละจ๊ะ เรย์จิคุว?」
「ผม–」
ผมพูดสั้นๆถึงเรื่องเมื่อ 4 ปีก่อน
ออกมาจากอาณาเขตดยุคอเคนบาคด้วยการนำทางของเซอรี่ซัง ผู้ที่สังกัดกองทหารรับจ้างเดียวกับไรเครียซัง, ทำงานในฐานะคนทำความสะอาดของภาคีอัศวิน, ช่วยท่านเอิร์ลจากการลอบสังหาร, และถูกจ้างวานโดยตระกูลเอิร์ล
ถึงผมจะไม่สามารถพูดถึงเรื่องงานพิธีมอบหินสกิลได้ก็ตาม
「ดูเหมือนว่าเรย์จิคุงจะผ่านเรื่องราวมามากมายเลยนะจ๊ะ」
「ครับ ผมขอโทษที่ผมออกมาโดยที่ไม่ได้บอกในตอนนั้นนะครับ」
「ชั้นรู้ว่าเธอเองก็มีเหตุผลของเธอ ดังนั้นชั้นไม่โทษเธอหรอกจ่ะ แต่ แน่นอนว่าชั้นรู้เรื่องที่เธอรักษาคุณพ่อ ดัวนั้นขั้นจริงอยากจะขอบคุณเธอจากใจจริง」
「เออ…」
โอ๊ะ จริงสิ ผมใช้มิธริลไปในการรักษาครั้งนั้นด้วยนี้นา ดังนั้นผมจริงบอกเรื่องนั้นไปไม่ได้ตรงๆ
「เอออ มันเป็นยาอิลิกเซอร์พิเศษ ไม่สิ มันเหมือนกับยาที่ผมทำได้โดยบังเอิญมากกว่านะครับ เออ…」
「ชั้นไม่ถามเธอหรอกว่าเธอทำมันได้ยังไง วางใจได้จ่ะ แต่ก็ขอบคุณเธอจริงๆนะจ๊ะ ชั้นมั่นใจว่ามันต้องไม่ใช้อะไรที่เธอสามารถซื้อมันด้วยเงินได้แน่ๆ」น็อนซังพูดพร้อมกับเอนมาข้างหน้าจนหน้าอกวางอยู่บนโต๊ะ
เห้ย แรงกระตุ้นมันแรงเกินไปสำหรับเด็กอายุ 14 ปีนะครับ!
「มะ-ไม่เป็นไรหรอกครับ」
「หืมม? ทำไมเธอถึงหันหน้าหนีละจ๊ะ?」
「ยะ-ยังไงก็เถอะครับ เอาเป็นให้ผมเข้าร่วมซิวเวอร์บาลานซ์อีกครั้งแทนการขอบคุณเป็นไงละครับ?」
「แน่นอนจ่ะ! ถึงชั้นคิดว่านั่นมันยังไม่พอสำหรับการตอบแทนเธอหรอก–」น็อนซังพูด สีหน้าของเธอสดใสขึ้น
「ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะช่วยกันถ้าอยู่ในปาร์ตี้เดียวกันหน่ะครับ」
「เรย์จิคุง…」
ที่หางตาของเธอนั้นเปียกชื้นจากความรู้สึกตื้นตัน เธอประสานมือเอาไว้ที่หน้าอกของเธอ
ในตอนนั้น ถ้ามิมิโนะซัง, ดันเต้ซัง, น็อนซัง, และไรเครียซังไม่ได้อยู่ที่นั่นละก็ ผมก็คงจะไม่ได้มีวันนี้แล้ว ต่อให้ผมรอดชีวิต ผมคิดว่าผมคงจะใกล้ตายทุกเมื่ออยู่ดี มีอันตรายอยู่ทุกหัวมุมเลย
「ผมนั้นเป็นทาสขุดเหมืองที่ทำงานอยู่ในเหมืองที่ 6 ครับ โชคดีที่ผมสามารถหลบหนีออกมาได้ตอนที่เวทย์พันธสัญญาคลายออก ผมนั้นถูกตามล่าภายในเมืองหลวงของอาณาเขตดยุค และตัวตนของผมก็ถูกรู้โดยยามในตอนที่มังกรโจมตีครับ」
「งั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอรีบร้อนและหนีออกมางั้นหรอจ๊ะ? เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนหรอจ๊ะ?」
「ผมไม่อยากรบกวนซิวเวอร์บาลานซ์โดยลากให้มาเกี่ยวข้องกับผมครับ」
หิน 6 ดาวที่ลาร์คถือครองนั้นเป็นสาเหตุหลักก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากจะรบกวนซิวเวอร์บาลานซ์เหมือนกัน
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวของผม น็อนซังก็หลับตาลงช้าๆและคิดอะไรบางอย่าง เธอดูราวกับแม่ชีผู้ศรัทธาจริงๆตอนที่เธอทำแบบนี้ ไม่เดี๋ยวก่อนนะ เธอก็เป็นแม่ชีจริงๆนี้นา
「…พวกเราอยากจะช่วยเหลือเรย์จิคุงนะ」
「พวกคุณช่วยเหลือผมมามากเกินพอแล้วครับเมื่อ 4 ปีก่อน」
「ไม่หรอก เธอไม่ใช่แค่ช่วยรักษาร่างกายของคุณพ่อ แต่ยังรวมถึงหัวใจของเขาด้วย ต่อให้เขาถูกรักษาโดยนักบวชชั้นสูงก็ตาม หัวใจของเขาก็ไม่มีทางถูกรักษาได้เลย เป็นเพราะเธอ คุณพ่อถึงยังสามารถยินต่อสู้อยู่ที่แนวหน้าต่อไปได้ นึกภาพออกไหม? หลังจากที่เธอจากไป ไม่มีวันไหนเลยที่ชั้นไม่ได้อธิษฐานให้เธอนั้นปลอดภัย ชั้นตื่นขึ้นในทุกๆเช้าและสวดภาวนาต่อพระเจ้าเลยนะ」
「น็อนซัง…」
น็อนซังเอื้อมมือของเธอมาจับที่มือของผม มือของเธอนั้นอบอุ่น – เป็นมือของหญิงสาวที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่างจากของคุณหนู
น็อนซังสวดภาวนาให้ผมในทุกๆวัน เมื่อความจริงนั้นฝังลึกลงมา ผมก็เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว ผมมักจะรู้สึกแข็งแกร่งจากพลังของ【World Ruler】ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะพลังของผมเอง ทว่า ผมมั่นใจแล้วว่ามันไมจริง ผมเชื่อว่าคำอธิษฐานของน็อนซังจะต้องคอยพลักดันผม ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆต่อให้ไม่มีใครเชื่อก็ตาม — เหมือนกับน็อนซังที่เชื่อว่าคำอธิษฐานของเธอจะต้องส่งมาถึงผม
「น็อนซัง… ผมมีบางอย่างที่จะบอกคุณ」
ขณะที่ผมพยายามที่จะไม่ร้องไห้ ผมก็เล่าทุกอย่างให้น็อนซังด้วยเสียงที่สั่นเทา เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานพิธี, เรื่องที่ราชันศักดิ์สิทธิ์เรียกตัวผม, เรื่องที่ผมจะต้องหนีไป อีกครั้ง
ผมยังบอกน็อนซังถึงเรื่องที่มันเป็นความลับระดับสูงด้วย ผมไม่อาจหยุดได้เลย จนสุดท้าย ผมก็หมดแรง น็อนซังกุมมือของผมเอาไว้ตลอดเวลา
เมื่อผมรู้สึกอายเล็กน้อยและปล่อยมือของเธอออก น็อนซังก็ดูผิดหวังเล็กน้อย — หรือเป็นแค่สิ่งที่ผมอยากจะให้เธอรู้สึกกันนะ?
「…เรย์จิคุง เธอทำได้ดีมากเลย ชั้นภูมิใจในตัวเธอจริงๆ」
「…ขอบคุณครับ」
น็อนซัง ถ้าคุณพูดแบบนั้นละก็ ผมจะร้องจริงๆแล้วนะครับ
「ฮ่าา… ถึงขนาดที่เรย์จิคุงต้องผ่านเรื่องยากลำบากมามากขนาดนั้นแท้ๆ ทั้งกิลด์กับภาคีอัศวินก็ยังสนใจแค่ตัวเองทั้งนั้นเลย」
「…ขอโทษครับ น็อนซัง ผมบอกเรื่องที่คุณไม่ควรจะรู้ไปซะแล้ว」
「ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ่ะ ในฐานะสมาชิกของโบสถ์แล้ว ชั้นดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะจ๊ะ แล้วนอกจากนั้นนะ เรย์จิคุง…」
「ครับ?」
「นั่นหน่ะไม่ใช่เรื่องของผลกำไรหรอกนะ」
「…?」
คุณนี้มันแย่จริงๆเลย น็อนซัง คำพูดของคุณมันเจาะตรงกลางใจของผมเลย
เรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบ “การหนี” นั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าใช่ไหมหล่ะ? ทว่า — ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่สามารถตัดสินได้จากความได้เปรียบเสียเปรียบเพียงอย่างเดียว
「เธอทำได้ดีที่สุดแล้ว ทำไมเธอถึงจะต้องหนีด้วยละ? เธอควรจะไปพบท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความภาคภูมิใจนะ ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะต้องวิ่งหนี และก็นะเรย์จิคุง ลูกสาวของท่านเอิร์ลนั้นเป็นคนสำคัญของเธอใช่ไหมหล่ะ? การจากลาแบบนี้หน่ะมันแย่ที่สุดเลยนะ」
「…ครับ」
ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ตอนที่ผมคิดถึงคุณหนู ผมก็รู้ตัวว่า “การหนี” นั้นไม่ใช้ทางเลือกจริงๆ ท่านเอิร์ลนั้นไม่ได้พูดถึงคุณหนูในตอนที่พวกเราคุยกันเลย แต่ผมคิดว่านั้นเป็นเพราะแค่ท่านเอิร์ลมองเป้าหมายมากกว่าความใจดี เพื่อให้ผมได้ตัดสินใจได้ง่ายๆก็เท่านั้นเอง
และผมกับน็อนซังเองก็รู้ว่า “การจากลาแบบนั้น” มันย่ำแย่แค่ไหนจากเมื่อ 4 ปีก่อนมาแล้ว
「แต่จะทำยังไงถ้าผมถูกบังคับให้ทำสัญญาเวทมนตร์ละครับ?」
นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด เวทย์พันธสัญญาเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการต่อสู้หรือสงครามไหนๆเลย ผมเคยสัมผัสมันเองกับมือที่เหมืองนั่นแล้ว
「มันมีวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับเวทย์พันธสัญญาอยู่」น็อนซังพูดขึ้นพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้น「มันเป็นวิธีที่มีน้อยคนจะรู้แม้จะเป็นคนของโบสถ์ก็ตาม อุฟุฟุฟุ…」
อืม… ได้ยินน็อนซังหัวเราะแบบนั้น เธอก็ดูน่ากลัวอยู่หน่อยๆเหมือนกัน
========================================================
TL: เป็นตี้ที่ดีจริงๆ