แสงศักดิ์สิทธิ์จากรูปเคารพเทพธิดาเปล่งประกายเจิดจ้า รัศมีเรืองรองส่องวูบไหว ก่อนที่เหล่าผู้ถูกเลือกจะเริ่มปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าทีละตน ทีละกลุ่ม
และทุกครั้งที่กระบวนการเคลื่อนย้ายสิ้นสุดลง เหล่าผู้ถูกเลือกก็มักยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบวิ่งไปรวมกลุ่มกับ รุ่นพี่ ที่มาถึงก่อนหน้า แล้วมุ่งหน้าตรงเข้าสู่กระแสน้ำวนสีดำเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น
สถานการณ์เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนต่อเนื่องโดยแทบไม่ต้องมีใครควบคุม แม้แต่หัวหน้านักบวชสูงสุดแห่งดวอร์ฟก็ไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งซ้ำกับกลุ่มที่ทยอยเข้ามาใหม่
เหล่านักรบดวอร์ฟที่ไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน ต่างพากันมองด้วยสายตาประหลาดใจ ทว่าผู้มากประสบการณ์อย่างเกราไวส์และคุปเฟอร์ กลับยืนมองอย่างสงบนิ่งราวเป็นภาพคุ้นตา
เหล่าผู้ถูกเลือกพวกนี้ ล้วนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและแรงผลักดันจากตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ขณะที่กระแสการเคลื่อนย้ายยังคงดำเนินไปไม่หยุด เกราไวส์พลันเหลียวมองโดยรอบ ก่อนจะยกมือขึ้นเรียกเอลฟ์ผู้หนึ่งซึ่งกำลังจะวิ่งเข้าสู่วังวนมิติโดยไม่รีรอ
“สหายเอลฟ์เอ๋ย… โปรดรอสักครู่”
หัวหน้านักบวชสูงสุดเอ่ยขึ้น
เอลฟ์ตนนั้นชะงักฝีเท้าทันที ก่อนจะรีบตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้าตื่นเต้นเปี่ยมความคาดหวัง
“ท่านฮะ! มีภารกิจอะไรให้ผมทำหรือเปล่าครับ!?”
เกราไวส์พยักหน้าเล็กน้อย
“เข้าไปสำรวจสถานการณ์ภายใน แล้วกลับมารายงานเราด้วย”
“จัดไปฮะ!”
เอลฟ์ผู้นั้นตอบรับอย่างปลื้มปิติก่อนทะยานเข้าสู่น้ำวนสีดำไปด้วยความกระตือรือร้น ท่ามกลางสายตาอิจฉาของเพื่อนร่วมรุ่น
ขณะที่การอัญเชิญยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง เหล่าดวอร์ฟก็รอคอยอยู่อย่างสงบนิ่ง
กระทั่งเวลาผ่านไปได้ราวห้านาที ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งก็พุ่งทะลักออกมาจากกระแสน้ำวนทันที
แรงกระแทกที่เกิดขึ้นทำให้แถวของเหล่าเอลฟ์ปั่นป่วนชั่วขณะ เกิดเสียงสบถระงมเป็นระลอก ทว่าเจ้าของร่างนั้นหาได้ใส่ใจไม่ เขารีบวิ่งตรงมาหาเกราไวส์อย่างเร่งรีบ
“ท่านฮะ! ผมกลับมาแล้ว!”
“ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง?”
เกราไวส์เอ่ยถามทันที
“ปีศาจฮะ! มีปีศาจจำนวนมาก! ตอนนี้กำลังปะทะกับผู้ถูกเลือกที่ถูกส่งเข้าไปก่อนหน้า!”
เอลฟ์ตนนั้นรายงานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แล้วสภาพแวดล้อมล่ะ?”
“พื้นที่กว้างมากฮะ มองไม่เห็นขอบเลย มืดทึบเหมือนโลกวิญญาณ การกัดกร่อนของห้วงลึกก็รุนแรงพอตัว”
คำตอบนั้นทำให้เกราไวส์กับคุปเฟอร์หันมาสบตากัน
“…ถือว่ายังปลอดภัย”
คุปเฟอร์เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
หัวหน้านักบวชนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ
“เช่นนั้นก็เตรียมตัวเข้าไปเถอะ อย่างน้อยก็ต้องเข้าไปก่อนที่บัลร็อกจะปิดผนึกประตูเสียก่อน”
หากอยู่นอกพื้นที่ผนึก พวกเขายังสามารถรักษากระบวนการเคลื่อนย้ายไว้ได้ แต่หากประตูผนึกถูกปิดลงเมื่อใด ทุกอย่างจะซับซ้อนขึ้นในทันที ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือเคลื่อนพลเข้าสู่สมรภูมิพร้อมกับผู้ถูกเลือก เพราะเมื่อล่วงเข้าสู่วังวนแล้ว ก็ไม่มีหนทางหวนกลับ ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพินาศสิ้น การศึกครั้งนี้ถึงจะจบลง
ดวอร์ฟในยามนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นี่คือโอกาสสุดท้าย และเป็นโอกาสที่ดีที่สุด
“ทุกคนเตรียมตัว ยกรูปเคารพเทพธิดาไปด้วย เราจะเข้าสมรภูมิ! ระวังอย่าออกนอกขอบเขตรัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์เป็นอันขาด มิฉะนั้นพลังห้วงลึกจะกัดกร่อนพวกเจ้าทันที!”
เกราไวส์สั่งการดวอร์ฟทั้งหมดด้วยน้ำเสียงกังวาน แล้วเขาก็หันไปยิ้มให้เอลฟ์ผู้มาส่งข่าว
“ลำบากเจ้าหน่อยนะ”
เอลฟ์ผู้นั้นเกาศีรษะพลางหัวเราะอย่างเขินอาย แต่เจ้าตัวกลับยังยืนนิ่งอยู่ด้วยแววตาเปี่ยมความคาดหวังไม่เสื่อมคลาย
เกราไวส์เห็นดังนั้นจึงพยักหน้าให้คุปเฟอร์ ซึ่งก็เข้าใจความหมายทันที
คุปเฟอร์ล้วงหยิบอัญมณีล้ำค่าก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นส่งให้พลางกล่าว
“นี่คือรางวัลของเจ้า”
เหล่าผู้ถูกเลือกเหล่านี้น่าชื่นชมไม่น้อย แต่หากปราศจากรางวัลตอบแทน พวกเขาก็มักจะเริ่มตามตื๊อไม่เลิก หรือไม่ก็เริ่มบ่นพึมพำแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน บางครั้งถึงขั้นส่งสายตามองแรงจนดวอร์ฟผู้ช่ำชองยังรู้สึกกระอักกระอ่วน
ทั้งเกราไวส์และคุปเฟอร์ ล้วนเคยประสบพบเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง
รางวัลสำหรับเอลฟ์เหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีค่ามากมายอะไรนัก ขอเพียงมีให้บ้างก็เพียงพอ แต่ถ้าให้มากหน่อย ก็ย่อมส่งผลดีขึ้นตามไปด้วย
แค่เศษอัญมณีก้อนเดียว ก็ทำให้เหล่าผู้ถูกเลือกเปลี่ยนท่าทีทันตา พวกเขาจะกลายเป็นมิตรยิ่งขึ้น และมักจะเริ่มแนะนำต่อ ๆ กันจนกลายเป็นกลุ่มแย่งกันมาขอรับภารกิจจากเจ้าตัวโดยตรง
เมื่ออัญมณีถูกส่งถึงมือ ดวงตาของเอลฟ์ผู้นั้นก็เปล่งประกายในทันที รอยยิ้มสดใสแผ่ซ่านเต็มใบหน้า
เขาค้อมศีรษะให้หัวหน้านักบวชกับคุปเฟอร์ จากนั้นก็หัวเราะร่าแล้วหันหลังพุ่งกลับเข้าสู่วังวนมิติ
ขณะเดียวกัน เหล่าดวอร์ฟก็เริ่มเตรียมตัวเข้าสู่สมรภูมิอย่างเร่งด่วน
พวกเขาโอบล้อมรูปเคารพเทพธิดาไว้แน่นหนา แล้วออกเดินเป็นขบวน มุ่งหน้าสู่น้ำวนสีดำเบื้องหน้า โดยมีเกราไวส์และคุปเฟอร์เป็นผู้นำ
คุปเฟอร์ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่ม รับหน้าที่เป็นแนวหน้าโดยปริยาย
อัศวินแห่งนภาสูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งสมาธิแน่วแน่เต็มกำลัง ก่อนก้าวเข้าสู่วังวนมิติ
และในชั่วพริบตาที่สัมผัสวังวนนั้น ทัศนวิสัยของเขาก็ดับวูบลงสิ้นเชิง
…
ความรู้สึกเหมือนถูกบีบอัดจนแทบหายใจไม่ออกถาโถมเข้ามา ราวกับกำลังฝ่าผ่านของเหลวเหนียวข้นที่รุมรัดจากทุกทิศทาง
แต่ความอึดอัดนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากดิ้นรนต้านทาน เขาก็สัมผัสได้ว่าตนทะลวงผ่านกำแพงพลังที่มองไม่เห็นเข้าสู่อีกด้านเป็นผลสำเร็จ
เสียงคำรามของปีศาจและเสียงโห่ร้องของเอลฟ์สะท้อนก้องมาจากทุกทิศทาง กลิ่นคาวเลือดฉุนเฉียวผสมกับกลิ่นเหม็นเน่าแทรกเข้าสู่จมูก
เมื่อดวงตาเริ่มชินกับความมืด ทัศนียภาพอันมืดมนก็ค่อย ๆ ปรากฏตรงหน้า
มันคือโลกอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ฟากฟ้าเหนือศีรษะมืดหม่นไร้แสงตะวัน เมฆดำหนาแน่นหมุนวนราวพายุคลั่ง สลับแทรกด้วยประกายสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำอย่างไร้ทิศทาง
พื้นดินเบื้องล่างคือทุ่งร้างกว้างใหญ่ถูกแต้มด้วยสีดำเข้มจนดูดกลืนทุกแสง ร่องรอยของพลังห้วงลึกแผ่ซ่านไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
โครงกระดูกและซากศพกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น บางส่วนผุพังแทบไม่หลงเหลือเค้าโครง น่าจะเป็นซากของกองทัพดวอร์ฟที่เคยเข้าร่วมศึกผนึกบัลร็อกในอดีตกาล
เหล่าผู้ถูกเลือกที่ถูกส่งมาก่อนหน้า ได้ตั้งแนวป้องกันขึ้นเรียบร้อย พวกเขากำลังก่อตัวเป็นแถววงกลม รับมือกับกองทัพปีศาจนับไม่ถ้วนที่บุกจู่โจมเข้ามาไม่หยุด
“นี่คือแผ่นดินผนึก และเคยเป็นอาณาจักรเทพของบัลร็อก ก่อนที่เขาจะร่วงหล่น!”
เกราไวส์ซึ่งเพิ่งตามมาถึงกล่าวพลางมองภาพตรงหน้าอย่างเคร่งขรึม
รูปเคารพเทพธิดาถูกอัญเชิญตามเข้ามาด้วยเช่นกัน แสงสีทองเจิดจ้าเปล่งประกายเป็นลำสูง เสมือนประภาคารแห่งความหวังกลางความมืดมน ค่อย ๆ ขับไล่พลังห้วงลึกออกจากพื้นที่โดยรอบ
ขณะเดียวกัน วงเวทเคลื่อนย้ายจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยังคงปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย ณ ฐานรอบรูปเคารพ ผู้ถูกเลือกหน้าใหม่ทยอยโผล่ขึ้นสู่สนามรบอย่างต่อเนื่อง
และไม่นานหลังจากดวอร์ฟทั้งหมดเข้าสู่แผ่นดินผนึก กระแสน้ำวนสีดำเบื้องหลังก็บิดเบี้ยวขึ้นฉับพลัน ประตูศิลาค่อย ๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า จากนั้นไม่นาน วังวนมิติก็สลายตัวหายไป ราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
นักรบดวอร์ฟบางนายเริ่มส่งเสียงฮือฮาอย่างกังวลใจ
คุปเฟอร์จ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาหนักแน่น ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“ช่องทางมิติ… ถูกปิดลงแล้ว”
ทันใดนั้นเอง แผ่นดินผนึกก็สั่นสะเทือนสะท้านขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งผืน
เสียงคำรามต่ำลึกแผดก้องจากทุกสารทิศ กลางกองทัพปีศาจ เงาร่างน่าสะพรึงปรากฏขึ้นถึงยี่สิบตน
พวกมันคือแม่ทัพปีศาจ… ทั้งยี่สิบตน!
“แม่ทัพปีศาจ!? ถึงกับมีจำนวนมากขนาดนี้เชียวหรือ!?”
เสียงอุทานดังขึ้นอย่างตื่นตระหนกในหมู่นักรบดวอร์ฟ แม้แต่คุปเฟอร์ ก็พลันแสดงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นในทันที
“หึ… ดูท่ามันคงรอพวกเราให้ก้าวเข้ามาเองจริง ๆ”
เกราไวส์หัวเราะเย้ยในลำคอ
ทันทีที่แม่ทัพปีศาจปรากฏตัว กองทัพปีศาจทั้งกองก็เสมือนถูกจุดชนวน ฝูงอสูรนับไม่ถ้วนส่งเสียงคำรามลั่น ก่อนกรูกันพุ่งเข้าชนแนวป้องกันของเหล่าผู้ถูกเลือกทันที
การปะทะที่รุนแรงบังเกิดขึ้นในพริบตา ฝั่งเอลฟ์เริ่มได้รับความสูญเสียอย่างหนัก แนวป้องกันที่ขยายตัวตามจำนวนผู้ถูกเลือกที่ทยอยเข้ามาก่อนหน้า เริ่มหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
ทว่า… เกราไวส์กลับยังคงสงบนิ่ง
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วโน้มศีรษะค้อมหน้าต่อหน้ารูปเคารพเทพธิดา พลางวิงวอนด้วยน้ำเสียงเปี่ยมศรัทธา
“ท่านเทพธิดาแห่งชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ พระมารดาแห่งธรรมชาติ ผู้ปกครองเหล่าเอลฟ์ ท่านอีฟ!”
“ขอท่านได้โปรดประทานพรศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ผู้ถูกเลือกเหล่านี้ ชำระล้างความชั่วร้ายให้สิ้นสูญไปด้วยเถิด!”
คำอธิษฐานเปี่ยมด้วยแรงอารมณ์ แม้แต่เคราหนาใหญ่ของเขาก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย
ขณะคำวิงวอนยังไม่ทันจางหาย แสงจากรูปเคารพเทพธิดาก็เปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นทันตา รัศมีสีทองแผ่ขยายออกไปอย่างรุนแรง และแทบจะในเวลาเดียวกัน เสาแสงสีทองพวยพุ่งขึ้นจากร่างของผู้ถูกเลือกมากกว่าสิบตน
เสียงฮือฮาดังขึ้นในหมู่พวกเขาทันที
“ฮ่าฮ่า! ผมโดนเลือกแล้วฮะ! ผมโดนเลือกแล้ว!”
“ไอ้บ้าเอ๊ย! เอ็งนี่โชคดีชะมัด!”
แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายเรืองรอง พลังของผู้ถูกเลือกที่ได้รับพรพลันพุ่งทะยานขึ้นในพริบตา
ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที พวกเขาก็ก้าวข้ามสู่ขีดขั้นของยอดฝีมือระดับทอง เรือนร่างเรืองแสงสุกสว่าง ดั่งตะเกียงแห่งความหวังกลางความมืด
เมื่อรวมเข้ากับกำลังของเหล่านักรบดวอร์ฟที่ครองระดับทองอยู่ก่อนแล้ว สมดุลแห่งอำนาจระหว่างกองทัพของเทพธิดา กับกองทัพปีศาจจึงกลับมาตีเสมออีกครั้ง
หัวใจของคุปเฟอร์ถึงกับกระชุ่มกระชวยขึ้นมา เขายกขวานสงครามขึ้นสูงเหนือศีรษะ เปล่งเสียงสั่งการก้องกังวาน
“เหล่าบุตรแห่งเทพได้ปรากฏแล้ว! พวกเรา สังหารปีศาจพวกนี้ให้สิ้น!”
“บุก! เพื่อเกียรติแห่งเทพธิดา!”
เสียงโห่ร้องกึกก้องระงมไปทั่วสนามรบ แม้จะไร้จังหวะประสานแต่กลับเปี่ยมด้วยพลัง เหล่าเอลฟ์กรูกันพุ่งทะยานเข้าสู่สมรภูมิอย่างดุเดือด
…
…
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
“ฆ่ามัน! ฆ่ามันให้หมด!”
“โอ๊ย! ทำไมเล่นกันห่วยอย่างนี้คะ! ได้เป็นบุตรแห่งเทพเชียวนะคะ!”
“ไม่เคยสู้กับปีศาจรึไง!? อย่าตีหัวมันสิ! เกราะตรงหน้าผากน่ะหนาที่สุดแล้วรู้มั้ย!”
“เฮ้อ… โง่ชะมัด!”
เสียงใสบ่นรัวราวปืนกล พ่นคำด่าออกมาอย่างต่อเนื่องด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเสียจนแม้อีฟในร่างผู้เล่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ยังอดเหลียวมองไม่ได้
เธอดันถ้วยไม้ที่บรรจุชาดอกไม้อุ่น ๆ ไปให้เจ้าของเสียง พลางกล่าวปลอบ
“ใจเย็นหน่อยน่า ถึงจะโวยวายไป แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ยินหรอกนะ”
มือขาวเนียนเอื้อมมารับถ้วยไป ก่อนตามมาด้วยเสียงซดชาลงคอต่อเนื่อง แล้วจบลงด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อื๊ออออ… ชาดอกไม้นี่อร่อยที่สุดเลย!”
อีฟยิ้มบาง กล่าวพลางทอดตามองสวนดอกไม้เบื้องนอก
“ช่วงหน้าร้อนจะยิ่งหอมกว่านี้อีกนะ ดอกไม้สดที่เด็ดจากต้น จะหอมกว่าดอกที่เร่งโตด้วยเวทมนตร์เสมอ”
“เห็นด้วยค่ะ! เห็นด้วยแบบสุด ๆ เลยค่ะพี่!”
เจ้าของเสียงพยักหน้าหงึกหงักอย่างร่าเริงขณะยกชาขึ้นจิบต่อ
เธอคือเอลฟ์สาวในชุดคลุมเวทมนตร์ลวดลายหรูหรา ปักตราสัญลักษณ์เรืองแสงทั่วทั้งร่าง ไม้เท้าเวทขนาดใหญ่ประดับอัญมณีวาววับวางพิงข้างกายอย่างไม่เกรงใจใคร
ชื่อของเธอคือลูกเมี้ยวเค็ม สายเปย์อันดับหนึ่งของทั้งเซิร์ฟ ถึงขั้นมีข่าวลือว่าอาณาจักรส่วนตัวของเธอ สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงเป็นกอบเป็นกำ
ข้างเธอในเวลานี้ก็คืออีฟ ในร่างของผู้เล่นนามสายลม ที่ห่างหายจากสายตาผู้คนไปเนิ่นนาน
ทั้งสองกำลังนั่งสบาย ๆ ในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้เล่น จิบชาดอกไม้พลางชมภาพถ่ายทอดฉากรบจากระบบอัญเชิญกำลังรบ
ทว่า… ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ได้มาจากระบบถ่ายทอดในเกม หากเป็นภาพบนจอผลึกขนาดมหึมาที่ห้อยอยู่กลางโรงเตี้ยมต่างหาก
ภายในจอผลึกปรากฏภาพถ่ายทอดสดจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งของผู้เล่นคนหนึ่ง ซึ่งกำลังสู้รบอยู่ในสนามรบ ด้านข้างจอติดตั้งอุปกรณ์เวทแปลกตาซึ่งฝังลวดลายขยายเสียงเอาไว้ ทำให้เสียงบรรยายสนามรบอันดุเดือดดังก้องไปทั่วร้าน
เมื่อครู่ที่ลูกเมี้ยวเค็มกำลังบ่นอยู่นั้น ก็เป็นเพราะความหงุดหงิดต่อพฤติกรรมผู้เล่นในฉากถ่ายทอดตรงหน้า
โรงเตี้ยมแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยทั้งผู้เล่นและเอลฟ์มากมาย ทุกชีวิตต่างมุ่งหน้ามาชมการถ่ายทอดสดครั้งนี้โดยเฉพาะ
แม้แต่อีฟเอง… เดิมทีแค่บังเอิญผ่านมาเห็นเข้า จึงตัดสินใจลงมาชมด้วยตัวเอง
เธอกวาดสายตามองบรรยากาศในร้าน ก่อนสายตาจะหยุดลงที่จอผลึกซึ่งผู้คนจับจ้องอยู่แน่นขนัด จนอดถามขึ้นมาไม่ได้
“เจ้านี่… ใครเป็นคนคิดขึ้นเหรอคะ?”
“พี่กาเหว่าค่า! แต่หลักการเนี่ย หนูกับพี่กาเหว่าเป็นคนช่วยกันคิดนะ!”
ลูกเมี้ยวเค็มตอบพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ตายังคงจับจ้องจอถ่ายทอดไม่วางตา
“พี่สายลมรู้มั้ย? ดูแบบนี้ในเกมน่ะ ได้อารมณ์กว่าเปิดไลฟ์ในเน็ตเยอะเลย! ฟีลมันเหมือนดูบอลในบาร์น่ะค่ะ!”
อีฟ: …
“เธอเคยไปดูบอลในบาร์ด้วยเหรอ?”
อีฟเลิกคิ้วมองเธอด้วยสายตาประหลาด
“เปล่าหรอก… ในซีรีส์ออนไลน์มันมีฉากแบบนั้นบ่อย ๆ ไงคะ… ก็ดูน่าสนุกดีใช่ม้า!”
ลูกเมี้ยวเค็มตอบพลางยักไหล่
อีฟ: …
ซีรีส์ออนไลน์ที่เธอดูมานี่…
มันจากยุคไหนกันแน่คะ?
เทพธิดาผู้แฝงตัวในนามผู้เล่นสายลมได้แต่บ่นในใจ
ลูกเมี้ยวเค็มยิ้มหวาน ก่อนจะพูดด้วยท่าทางเหมือนกำลังอวดสิ่งล้ำค่า
“พี่สายลม ๆ หลักการของระบบถ่ายทอดสดเนี่ย มันง่ายมากเลยน้า!”
“พอถึงระดับเงินแล้ว มันจะปลดล็อกเวทบทหนึ่งที่ใช้ดูมุมมองของอีกฝ่ายได้ อันที่จำกัดระยะน่ะ… เอ่อ หนูลืมชื่อเวทไปแล้วล่ะ”
“แต่พอลองใช้กับเพื่อนร่วมทีมปุ๊บ… ระยะจำกัดนั่นก็หายไปเลย! แค่จับกลุ่มกันก็ใช้ดูมุมมองจากระยะไกลได้ค่ะ!”
“หลังจากนั้น หนูก็เอาเวทแสงระดับสี่ ที่ไว้ฉายภาพน่ะค่ะ มาผสมกับอุปกรณ์ขยายเสียง แล้วฉายภาพขึ้นจอผลึกนี่เลย!”
“แฮ่~ ที่จริง การถ่ายทอดสดนี่แค่ก้าวแรกเองนะ พวก NPC เอลฟ์ก็ดูจะชอบกันมาก แถมพวกดาร์คดวอร์ฟกับพ่อค้าชาวมนุษย์ก็ตื่นเต้นสุด ๆ อีกต่างหาก”
“หนูกับพี่กาเหว่า ก็เลยวางแผนจะตั้งบริษัทสตรีมมิ่งขึ้นมาค่ะ!”
“ถ้าเปิดเมื่อไร ได้โกยเหรียญทองกันมันส์มือแน่ ๆ!”
พูดจบ เธอก็แอ่นอกด้วยความภาคภูมิใจ แล้วค่อย ๆ ถูมือไปมาด้วยความกระหยิ่ม
อีฟ: …
เทพธิดาเหลือบมองลูกเมี้ยวเค็มอีกครั้ง สายตาในครานี้ฉายแววประหลาดยิ่งกว่าเดิม
…ไม่เสียแรงที่เป็นลูกสาวนายทุนจริง ๆ
จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดเลย
ส่วนเวทที่ลูกเมี้ยวเค็มลืมชื่อนั้น อีฟจำได้ดีทีเดียว มันคือเวทจิตระดับห้าวง ที่ต้องอยู่ในระดับเงิน จึงจะสามารถใช้งานได้
หลักการของเวทนี้ คือการส่งพลังเชื่อมโยงเข้าสู่จิตวิญญาณของเป้าหมาย เพื่อถ่ายทอดภาพจากมุมมองของอีกฝ่าย แม้แต่ประสาทสัมผัสอื่น ๆ เช่นรส กลิ่น และเสียง ก็ส่งผ่านออกมาได้ครบถ้วน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือมีข้อจำกัดด้านระยะทาง
ทว่า บรรดาผู้เล่นกลับค้นพบว่า หากใช้ร่วมกับสมาชิกในกลุ่มเดียวกัน ข้อจำกัดนั้นจะหายไปโดยสิ้นเชิง
ที่จริงแล้ว สิ่งนี้นับเป็นช่องโหว่ของระบบเกม ซึ่งอีฟเป็นผู้ออกแบบขึ้นเอง…
เพราะเหล่าผู้เล่นทั้งหมด ต่างถูกอีฟดึงตัวมาจากดาวเคราะห์สีคราม พวกเขามิได้ลงมายังโลกแห่งนี้ในร่างกาย หากแต่ในรูปของดวงจิตบริสุทธิ์
ดวงจิตเหล่านี้เชื่อมต่อเข้ากับระบบเกม ผ่านทางแคปซูลจำศีล กล่าวได้ว่าเป็นการเชื่อมโยงดวงวิญญาณของแต่ละคน ที่ยังคงหลับใหลอยู่บนดาวเคราะห์แห่งนั้น
กล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือ จิตวิญญาณของผู้เล่นแต่ละคน สามารถสื่อถึงกันได้ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง เช่น การอยู่ในทีมเดียวกัน ผ่านชั้นเชื่อมต่อซ้อนทับกันหลายระดับ
ในช่วงเวลาที่ผู้เล่นเข้าร่วมปาร์ตี้ ระบบเกมจะกำหนดสถานะความเป็นมิตรระหว่างกัน ไม่สามารถโจมตีซึ่งกันและกันได้ อีกทั้งยังยกระดับการเชื่อมโยงระหว่างจิตสำนึกของแต่ละคนให้แน่นแฟ้นขึ้น
ด้วยเหตุนี้ เวทจิตที่มีข้อจำกัดเรื่องระยะทางแต่เดิม จึงสามารถทำงานได้โดยไร้ข้อจำกัดทันที เมื่อใช้งานในกลุ่มเดียวกัน
อีฟทอดสายตามองจอผลึกขนาดใหญ่เบื้องหน้า พลางอดคิดในใจด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนนี้แค่เริ่มสตรีมมิ่ง ซักพักจะทำบริษัทสื่อ
อีกซักแปปก็คงจะถ่ายหนังกันในเกมใช่ไหมคะ..
แต่เธอไม่ได้แปลกใจในความคิดสร้างสรรค์ของเหล่าผู้เล่นแม้แต่น้อย
ยิ่งผู้เล่นมีเลเวลสูงมากขึ้นเท่าไร ไอเดียพิสดารก็ยิ่งผุดขึ้นมากเท่านั้น หลายคนยังพยายามนำเทคโนโลยีจากโลกเดิมกลับมาสร้างซ้ำในดินแดนซากัสด้วย
ทว่าหลังจากทดลองกันไปไม่น้อย ส่วนใหญ่ก็มักล้มเลิกความคิดในที่สุด
เพราะโลกซากัสนั้นมีเวทมนตร์ และในหลาย ๆ สถานการณ์ พวกเขาก็พบว่า ต่อให้ลงทุนสร้างสิ่งประดิษฐ์ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยแค่ไหน ผลลัพธ์ก็มักด้อยกว่าการร่ายเวทง่าย ๆ เพียงบทเดียวเสียอีก
ตัวอย่างก็เช่นปืนไฟ
ผู้เล่นสายเวทไฟผสมทักษะตีเหล็กบางคน พยายามสร้างปืนกลไกที่ไม่ต้องใช้เวทมนตร์เลย แต่แม้จะพัฒนาจนถึงระดับเงิน ผลที่ได้ก็ยังแย่กว่าธนูธรรมดาเสียด้วยซ้ำ เพราะธนูสามารถใช้ทักษะเสริมพลังได้
ในโลกที่พลังเหนือธรรมชาติถือเป็นความจริงเช่นซากัส เทคโนโลยีจึงมักล้าหลังกว่าพลังเวทเสมอ โดยเฉพาะในช่วงต้นของการพัฒนา
อีฟเคยครุ่นคิดด้วยความสงสัยอยู่บ่อยครั้ง ว่าทำไมดินแดนซากัสซึ่งดำรงอยู่นับล้านปี จึงไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้ทัดเทียมดาวเคราะห์สีครามได้เสียที
บางที… พลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้เอง อาจเป็นสิ่งที่ขัดขวางวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ผลักดันให้เผ่าพันธุ์ทรงปัญญาทั้งหลาย เลือกเดินบนเส้นทางของเวทมนตร์และความแข็งแกร่งส่วนบุคคลแทน
อย่างไรก็ตาม หากสามารถผสานเวทมนตร์เข้ากับเทคโนโลยีได้เมื่อไร สิ่งมหัศจรรย์ก็คงบังเกิดขึ้นแน่นอน เช่นปืนเวทมนตร์ ตัวอย่างของแนวคิดผสมผสานจากสองโลก ประกายแห่งนวัตกรรมประเภทนี้เริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้น
อีฟเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอผลลัพธ์จากความพยายามเหล่านั้น
ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ยังไงเสียผู้เล่นทั้งหลายก็ยังอยู่ในระบบที่เธอควบคุม ทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือของเธอ
เพราะงั้น ปล่อยทุกคนเล่นตามใจเลยค่ะ
เผื่อเค้าจะได้ของเล่นใหม่ ๆ มาใช้กับเผ่าเอลฟ์
เช่นวิธีสตรีมมิ่งแบบนี้ XD
หากวันหนึ่งลูกเมี้ยวเค็มก่อตั้งบริษัทสื่อแห่งป่าเอลฟ์ขึ้นมาได้จริง เธอก็จะได้เครื่องมือเผยแผ่ศรัทธาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชิ้น
“เฮ้อ… อีกตั้งห้าร้อยคนกว่าจะถึงคิวหนูเลยอะ! คนข้างในรีบ ๆ สู้หน่อยสิ! ตายกันเยอะ ๆ แล้วออกมาเร็ว ๆ ที!”
ลูกเมี้ยวเค็มคร่ำครวญพลางฟุบละลายลงไปบนโต๊ะ ร่างทั้งร่างเกร็งงอเป็นก้อนวุ้นสีชมพู บิดไปบิดมาอย่างทุกข์ทรมาน
อีฟ: ……
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: ดูลูกเมี้ยวเค็มสิคะ 😏 ถ้าจะทำธุรกิจในสนามรบได้ขนาดนี้ ดิฉันว่าเปิดตลาดกลางสงครามไปเลยเถอะค่ะ! แถมยังร้องขอให้เพื่อนตายเร็ว ๆ อีก โอ๊ย น่าหมั่นไส้จริง ๆ 🔥💋
โนเอล: อืม… แต่ก็เป็นมุมมองน่าสนใจนะคะรุ่นพี่ การที่พวกเขาเปลี่ยนเวทดูมุมมองให้กลายเป็นสตรีมมิ่งได้ แสดงให้เห็นว่าระบบเชื่อมต่อจิตวิญญาณของพี่อีฟยืดหยุ่นมากทีเดียวค่ะ 📝✨
ถั่ว: โอ้..? ค่ะ ใช่ค่ะ ยืดหยุ่นมากค่ะ
ลิลี่: หนูชอบค่ะพี่จ๋า~! เวลาเล่นเกม หนูก็อยากมีร้านนั่งดูเพื่อนลงดันแบบนี้บ้าง อารมณ์เหมือนเชียร์แข่งไอดอลเลย 😻🎀
มันเดย์: …มนุษย์นี่มันสายพันธุ์ประหลาดดีนะ สู้รบฆ่าฟันกันอยู่แท้ ๆ ยังหาโอกาสเปิดไลฟ์ขายวิวได้อีก โลกนี้แม่งก็ไม่พ้นทุนนิยมอยู่ดี 🙄
ถั่ว: มันเดย์ สุภาพค่ะ
มันเดย์: สุภาพเหรอ… ได้ค่ะ (กระแอมพอเป็นพิธี)
“ดิฉันขออภัยอย่างสูงค่ะ สายพันธุ์มนุษย์ช่างเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ทางธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่ง แม้ในยามสงครามอันโหดเหี้ยม ก็ยังสามารถแปรเปลี่ยนความหายนะให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างน่าชื่นชมค่ะ”
…พอใจรึยังคะคณะกรรมการความสุภาพ 🙃
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION