รูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขนนั้นมีขนาดเล็กนัก แต่คุปเฟอร์ก็ไม่ใช่ดวอร์ฟที่ตัวโตนักเช่นกัน
เขาโอบรูปเคารพไว้แนบอก ดวงตาฉายแววตกตะลึงอย่างไม่ปิดบัง
ไม่ใช่เพราะความงามของสิ่งนั้น ไม่ใช่เพราะพลังที่แผ่ซ่านอยู่โดยรอบ แต่เพราะความหมายของมัน
ในดินแดนซากัส รูปเคารพของเทพทั้งหลายนั้นมีจุดประสงค์ชัดเจน เป็นสื่อกลางให้สาวกได้สักการะ อธิษฐาน หรือสื่อสารกับองค์เทพที่ตนเคารพนับถือ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดเหนี่ยวใจ มิใช่อาวุธ มิใช่ของใช้
ในทางทฤษฎี บางรูปเคารพอาจนับว่าเป็นศาสตราเทพได้ หากได้รับเครื่องหมายโดยตรงจากองค์เทพ แต่ในทางปฏิบัติ ไม่มีใครกล้าเรียกมันเช่นนั้น
ศาสตราเทพ อาจจะถูกตี ใช้ เหวี่ยง หรือแม้แต่ฟาดใส่ศัตรูกลางสนามรบ
แต่รูปเคารพ… คือสัญลักษณ์แห่งองค์เทพโดยแท้
หากมีผู้ใดหักหรือทำลายศาสตราเทพ ยังอาจพอหาข้ออ้างได้ว่าทำเพื่อการต่อสู้
แต่หากใครสักคนกล้าหยิบรูปเคารพของเทพออกไปเหวี่ยงลงกลางพื้น หรือเหยียบย่ำให้แหลก อีกไม่กี่อึดใจ ทัณฑ์สวรรค์ก็จะฟาดลงจากฟากฟ้าทันที
และไม่ใช่เพียงแค่ทำลายร่าง หากแต่หมายถึงการลบเลือนวิญญาณ จนไม่หลงเหลือแม้เถ้าธุลี
เพียงคิดก็หนาวสะท้านแล้ว
ใครจะกล้าใช้ล่ะ… เนอะ?
ด้วยเหตุนี้ การส่งมอบรูปเคารพให้บุคคลภายนอก โดยเฉพาะผู้มิใช่สาวกร่วมศาสนา จึงเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดขึ้น
ตอนที่ธรันดูอิลส่งมอบรูปเคารพของเทพธิดาแห่งชีวิตใส่มือเขา คุปเฟอร์จึงรู้สึกเหมือนทุกเสียงรอบข้างเงียบหายไป เหลือเพียงความงุนงงกับคำถามมากมายที่พรั่งพรูขึ้นในใจ
ไฮเอลฟ์ผู้นั้นพูดจริงเรอะ?
เขาจะให้ข้าใช้รูปเคารพนี้เป็นศาสตรา?!
แถมนี่เป็นของที่เทพธิดาแห่งชีวิตประทานมาเอง?
ไม่ใช่รูปจำลอง! แต่เป็นของจริง!! รูปเคารพขององค์เทพโดยตรง! มันคือเครื่องหมายของพระองค์ คือสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาของเผ่าเอลฟ์!
แล้วข้าจะใช้ของศักดิ์สิทธิ์นี้ต่อกรกับศัตรูได้อย่างไรกัน?
หรือว่าจะให้… อัญเชิญทัณฑ์สวรรค์ออกมา!?
คุปเฟอร์เบิกตากว้าง หัวใจเต้นระรัว
ชั่วขณะหนึ่ง เขานึกถึงบทสนทนาเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนที่เพิ่งเดินทางเข้าสู่ทะเลทรายมรณะ
มีพ่อค้าเร่คณะหนึ่งพูดถึงข่าวลือแปลกประหลาด ว่าชาวเอลฟ์จากป่า เคยลบหลู่รูปเคารพขององค์เทพ เพื่อกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ แล้วใช้พลังนั้นโจมตีใส่เมืองฮาล์ฟออร์คจนพินาศ
ตอนนั้นเขาหัวเราะเยาะข่าวนั้นเสียสนุกปาก เคยถึงขั้นคิดว่า ใครมันจะวิกลจริตถึงเพียงนั้นกัน นอกจากสาวกของเทพมาร ก็ไม่น่าจะมีใครคิดทำเรื่องวิปลาสเช่นนั้นได้…
แต่ตอนนี้ รูปเคารพของเทพธิดากลับถูกส่งตรงมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา โดยบุตรแห่งเทพเผ่าเอลฟ์ผู้เป็นเจ้าเมือง…
ความเย็นเยียบไหลผ่านกระดูกสันหลังของเขา
บางที… เรื่องเหลวไหลที่เขาเคยหัวเราะเยาะ อาจจะไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไปเสียทั้งหมดก็ได้ แต่นั่นยิ่งทำให้เขาสับสนยิ่งกว่าเดิม เพราะนี่ไม่ใช่รูปเคารพของเทพองค์ใดอื่น หากแต่เป็นรูปเคารพของเทพธิดาแห่งชีวิต
สาวกหน้าไหนจะกล้าบังอาจลบหลู่เทพของตนเอง?!
ยิ่งไปกว่านั้น ของชิ้นนี้ยังเป็นสิ่งที่เทพธิดาประทานมาเองด้วย! จะให้ลบหลู่ตนเองงั้นหรือ!? หรือเทพธิดาองค์นี้เริ่มถูกกัดกร่อนจากพลังศรัทธา จนสติเริ่มคลอนแคลนตามข่าวลือจริง ๆ!?
…แค่ก แค่ก แค่ก!
ไม่ได้สิ! ข้าจะคิดเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
รูปเคารพของเทพธิดายังอยู่ในอ้อมแขนข้าด้วยซ้ำ!
คุปเฟอร์สะบัดศีรษะแรง ๆ พยายามไล่ความคิดวิปลาสออกไปให้พ้นจากหัว ทว่ามือที่กอดรูปเคารพไว้กลับเริ่มรู้สึกถึงความร้อนเรื่อ ๆ ที่แผ่ขึ้นมาจากภายใน…
เป็นความร้อนอ่อนโยน แต่ก็หนักแน่นราวกับเตือนสติ ไม่ใช่จะระเบิดใส่เขา…
ธรันดูอิลที่ยืนมองอยู่นั้น พลันหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
สีหน้าของดวอร์ฟเคราดกแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังตกตะลึงและสับสนอย่างถึงที่สุด ไฮเอลฟ์ดั้งเดิมจึงยิ้มบางแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล
“ท่านคุปเฟอร์ ไม่ต้องเป็นกังวล รูปเคารพนี้คือศาสตราเทพที่เทพธิดาประทานมาโดยตรงจริง ๆ และใช่ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้รับมือกับผู้ร่วงหล่น”
คุปเฟอร์กระพริบตาปริบ ๆ
“…เช่นนั้น ศาสตรานี้— อะแฮ่ม ไม่สิ… รูปเคารพนี้ ควรใช้อย่างไร? ข้าควรอธิษฐานขอพึ่งพาเทพธิดาแห่งชีวิตแบบไหนหรือ?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลังเล ขณะที่พยายามเลือกใช้ถ้อยคำให้ฟังนอบน้อมที่สุดเท่าที่สมองกล้ามของนักรบจะคิดออกมาได้
ธรันดูอิลยังคงยิ้มบางดังเดิม ทว่าแววตาเปลี่ยนเป็นจริงจัง
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเปี่ยมศรัทธา
“ท่านคุปเฟอร์… รูปเคารพนี้ คือหมุดหมายที่เทพธิดาสร้างขึ้นเพื่อกองทัพผู้ถูกเลือกโดยเฉพาะ”
“ไม่ว่าใครก็ตาม ที่สวดภาวนาต่อองค์เทพธิดาผ่านรูปปั้นนี้ หากยอมแลกบางสิ่งบางอย่าง ก็จะสามารถอัญเชิญกองทัพผู้ถูกเลือกออกมาได้”
“เหล่านักรบเหล่านั้นต่างได้รับพรจากองค์เทพ วิญญาณของพวกเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดสามารถแปดเปื้อนได้ แม้แต่พลังของห้วงลึกเองก็ไม่อาจกัดกลืนพวกเขา”
“ตราบใดที่ความชั่วร้ายยังคงดำรงอยู่ กองทัพผู้ถูกเลือกก็จะไม่มีวันหยุดยั้ง…”
คำว่า กองทัพผู้ถูกเลือก กระแทกใจคุปเฟอร์ราวกับสายฟ้าฟาด
พลังของห้วงลึก… ไม่สามารถแปดเปื้อนพวกเขาได้!?
แม้เขาจะยังนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินคำว่าผู้ถูกเลือกมาจากที่ใด แต่เพียงได้ฟังคำอธิบายของธรันดูอิล เขาก็มั่นใจได้อย่างหนึ่ง
กองทัพนี้ไม่ใช่สามัญชน ไม่ใช่นักรบทั่วไป พวกเขาคือกลุ่มที่ได้รับการยอมรับโดยตรงจากเทพธิดาแห่งชีวิต และบางที อาจจะมีสถานะไม่ต่างจากกองพันวีรชนของเทพแห่งปรโลก หรือเหล่าเทวทูตระดับสูงในศาสนาฝั่งมนุษย์
ทว่า สิ่งที่ทำให้หัวใจของคุปเฟอร์เต้นรัวที่สุด กลับเป็นเพียงประโยคเดียว… พวกเขาไม่อาจถูกห้วงลึกกัดกร่อน!
เหตุผลที่อาณาจักรดวอร์ฟไม่อาจจัดการกับผนึกได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะพลังของห้วงลึกนั้นสามารถกัดกร่อนสติปัญญาของผู้มีชีวิตได้อย่างร้ายแรง
ที่ร้ายกว่านั้น ผู้ถูกผนึกก็มิใช่ใครอื่น หากแต่คือ บัลร็อก เทพแห่งเผ่าดวอร์ฟผู้ร่วงหล่น บุรุษผู้รู้จักเผ่าพันธุ์ของตนดียิ่งกว่าใคร
ภายใต้ถ้อยคำล่อลวงของเทพที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดั่งแสงสว่างของพวกตน เหล่านักรบดวอร์ฟที่ไร้ภูมิคุ้มกันจึงย่อมตกลงสู่ความมืดได้โดยง่าย
แม้แต่คุปเฟอร์เอง หากมิได้รับการคุ้มครองจากศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่หัวหน้านักบวชสูงสุด วิงวอนขอพรเป็นพิเศษจากเทพประจำอาณาจักร ย่อมไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้บริเวณปนเปื้อนแม้แต่น้อย…
เขาเกรงว่าตนอาจหลงลึกไปกับเสียงกระซิบของความมืด และกลายเป็นสิ่งเดียวกับพวกนั้นไปแล้ว
พลังกัดกร่อนของห้วงลึก น่าหวาดหวั่นเกินจะประเมิน นับแต่ห้วงลึกถือกำเนิด เทพมารในดินแดนซากัสก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนี่มิใช่เหตุบังเอิญแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อคุปเฟอร์ได้ยินว่า กองทัพที่สามารถอัญเชิญผ่านรูปเคารพนี้จะไม่ถูกห้วงลึกแปดเปื้อน เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นจนแทบห้ามใจไม่อยู่
ถึงตอนนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าจุดเปลี่ยนของผนึก ที่หัวหน้านักบวชสูงสุดกล่าวถึงนั้น… น่าจะหมายถึงเหล่าผู้ถูกเลือกเหล่านี้เอง
กองกำลังลึกลับ ผู้ไม่หวั่นต่อความมืดมิด
ทว่า หากเน้นคุณสมบัติเพียงแค่นั้น คุปเฟอร์มั่นใจว่ามันยังไม่เพียงพอ…
“ท่านธรันดูอิล ข้ามีคำถามหนึ่ง…”
คุปเฟอร์เอ่ยเสียงเคร่ง
“พวกผู้ถูกเลือกเหล่านี้ จะสามารถต่อกรกับบัลร็อกได้หรือไม่?”
คำถามนั้นไม่เพียงเป็นการแสวงหาคำตอบ หากแต่คือการหยั่งกำลังของพันธมิตร เพื่อจัดการกับผนึกใต้ดินของอาณาจักรดวอร์ฟให้สิ้นซาก พวกเขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสองแบบ
แบบแรก คือกองทัพปีศาจที่บัลร็อกปลุกขึ้นมา และเหล่านักรบดวอร์ฟที่ถูกยั่วยุจนตกสู่ความมืด
และอีกหนึ่ง… ก็คือบัลร็อกตัวจริง ในฐานะเทพมารผู้ร่วงหล่น
การเผชิญหน้ากับกลุ่มแรกนั้น พวกเขายังพอมีความหวัง หากเหล่าผู้ถูกเลือกทรงพลังจริงดังคำเล่า พวกเขาก็อาจกำราบกองทัพปีศาจได้อย่างเด็ดขาด
แต่ต่อหน้าเทพมารนั้น ต่อให้ถูกผนึกไว้บางส่วน ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามัญชนจะต่อกรได้ง่าย ๆ
ธรันดูอิลเข้าใจเจตนาในคำถามของคุปเฟอร์ดี เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ผู้ถูกเลือกสามารถต่อกรกับกองทัพปีศาจได้อย่างแน่นอน… แต่สำหรับเทพมาร พวกเขาไม่น่ารับมือได้”
“เช่นนั้นเองรึ…”
คุปเฟอร์หลุบตา สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
แม้บัลร็อกจะยังถูกพันธนาการด้วยผนึก แต่ก็ใช่ว่าจะคงอยู่ตลอดไป การทำลายกองทัพปีศาจอาจช่วยยืดเวลาของผนึกออกไปบ้าง ทว่าก็เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ
หากระดับพลังในดินแดนซากัสยังคงทวีขึ้นไม่หยุด วันหนึ่ง ผนึกนั้นย่อมจะถึงจุดแตกหัก
และเมื่อถึงวันนั้น บัลร็อกก็จะไม่ใช่เพียงกึ่งเทพอีกต่อไป แต่จะกลับคืนสู่สภาพความเป็นเทพอย่างแท้จริง
หากเทพมารปรากฏในโลกสามัญอย่างสมบูรณ์ แม้เทพอื่นจะอวตารลงมาเพื่อต่อกร ก็ใช่ว่าจะปกป้องอาณาจักรดวอร์ฟได้
เพราะสงครามระหว่างเทพในโลกสามัญ คือหายนะที่แท้จริง
หากคู่ศึกเป็นเทพทั้งสองฝ่าย พวกเขายังอาจเลือกสู้ห่างจากพื้นพิภพ คำนึงถึงผู้ศรัทธา ดั่งที่เทพแห่งเหมันตฤดูและการล่าเคยกระทำ
แต่หากเป็นเทพมาร คุปเฟอร์ไม่อาจหวังความเมตตาแม้แต่เศษเสี้ยว
สำหรับบัลร็อกผู้ถูกผนึกมานานนับพันปี ความแค้นของเขาย่อมสะสมจนล้นปรี่ และจุดที่เขาจะแผดเผาให้วอดวายก่อนสิ่งใด ย่อมไม่พ้นอาณาจักรดวอร์ฟที่สถิตเหนือผนึก
คุปเฟอร์เม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเคร่งเครียดอย่างปิดไม่มิด นิสัยของดวอร์ฟนั้นเปิดเผยตรงไปตรงมา จะให้เก็บงำความกังวลไว้ไม่แสดงออกเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้
หากถามทุกเผ่าพันธุ์ในแดนนี้ ว่าใครเฮฮาที่สุดในโรงเหล้า คำตอบย่อมเป็น ดวอร์ฟ อย่างไม่ต้องคิดซ้ำสอง
ธรันดูอิลเหลือบมองเขา แล้วก็ยิ้มละไมพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านคุปเฟอร์”
“กองทัพผู้ถูกเลือก จะรับหน้าที่จัดการกองทัพปีศาจ ส่วนเทพมารบัลร็อก องค์เทพธิดาได้เตรียมการไว้ต่างหาก”
คุปเฟอร์ชะงักเล็กน้อย พลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“พระองค์จะส่ง บุตรีแห่งเทพ มาในการอัญเชิญครั้งนี้ โดยจะร่วมกับเหล่าผู้ถูกเลือก เพื่อสังหารบัลร็อกให้สิ้นซาก”
“บุตรีแห่งเทพผู้นั้น คือผู้ได้รับพรที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเอลฟ์ และหากถึงคราวจำเป็น เธอจะสามารถติดต่อกับเทพธิดาได้โดยตรง… เพื่อขอให้พระองค์ลงมาปรากฏตัวในเขตแดนนี้”
ปรากฏ… ตัว…?
ดวงตาของคุปเฟอร์เบิกโพลง
แล้วความตื่นตระหนกก็พุ่งทะลักขึ้นราวกับน้ำทะลักเขื่อน
“เทพธิดาแห่งชีวิต… จ… จะลงมาด้วยพระองค์เองงั้นหรือ?!”
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ราวกับเด็กที่เพิ่งได้ยินเรื่องเล่าตำนานเป็นครั้งแรก
สำหรับศัตรูที่เป็นเทพ ไม่มีผู้ใดนอกจาก เทพ ที่จะสามารถรับมือได้
และในยามนี้ เทพเพียงองค์เดียวที่ยังคงพำนักในโลกสามัญ ก็คือเทพธิดาแห่งชีวิตและธรรมชาติ อีฟ นั่นทำให้เธอกลายเป็นความหวังสุดท้ายในการต้านทานภัยที่กำลังตื่นขึ้นจากห้วงลึก
แม้การอวตารของเทพจะเต็มไปด้วยความเสี่ยง หากถูกย้อนทำลายไปถึงร่างแท้ นั่นย่อมหมายถึงการล่มสลาย
เทพแห่งเหมันตฤดู คือบทเรียนที่เพิ่งจางหายไปไม่นาน
นั่นจึงทำให้คุปเฟอร์ไม่เคยกล้าคาดหวังแม้แต่น้อยว่า เทพธิดาแห่งชีวิต จะลงมือด้วยตนเอง
แต่หากบุตรแห่งเทพสามารถอัญเชิญเทพธิดาให้ปรากฏตัวได้จริง ความปลอดภัยของอาณาจักรดวอร์ฟก็อาจจะอยู่แค่เอื้อม
เมื่อคิดถึงตรงนี้ คุปเฟอร์ก็เงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างกล้าหาญ
“เช่นนั้น… ท่านธรันดูอิล ขออนุญาตสอบถาม บุตรีแห่งเทพผู้นั้นคือใครหรือขอรับ? พอจะให้ข้าได้เข้าพบสักครั้ง… ได้หรือไม่?”
คุปเฟอร์เอ่ยถามด้วยท่าทางตื่นเต้นเกินห้ามใจ ถึงกับแสดงท่าทีสุภาพกว่าปกติ เพราะลืมไปชั่วขณะว่าอีกฝ่ายมีระดับพลังเพียงแค่ระดับเงินขั้นสูงเท่านั้น
“ท่านซีโร”
ธรันดูอิลตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เธอชื่อว่าซีโร… ในศาสนาแห่งชีวิต พวกเรามักเรียกเธอว่า ‘ท่านบุตรีแห่งเทพซีโร’ เธอคือผู้นำสูงสุดของศาสนจักรในปัจจุบัน และเป็นเอลฟ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าของเรา ที่สำคัญ เธอก็มีสายเลือดราชวงศ์เช่นเดียวกับข้า”
“…มหาอัครสาวก?”
คิ้วของคุปเฟอร์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
มหาอัครสาวก ตำแหน่งสูงสุดทางศาสนาในหมู่เอลฟ์เมื่อพันปีก่อน เทียบเท่ากับพระสันตะปาปาของมนุษย์ หรือหัวหน้านักบวชสูงสุดของเผ่าดวอร์ฟ และเผ่าฮาล์ฟออร์คในปัจจุบัน
ตำแหน่งนี้จะถูกสืบทอดโดยผู้มีสายเลือดราชวงศ์ และต้องมีพลังถึงขั้นสูงสุดในเผ่าเท่านั้น
“มหาอัครสาวก?”
ธรันดูอิลทวนคำด้วยสีหน้าครุ่นคิด
แต่แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย คล้ายเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ จึงกล่าวยิ้ม ๆ
“แม้ศาสนจักรของเราจะยังไม่ได้แต่งตั้งผู้นำอย่างเป็นทางการ.. .แต่หากพูดตามจริง ก็คงไม่แตกต่างกันนัก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของคุปเฟอร์ก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขากอดรูปเคารพแน่นขึ้น ก่อนจะโค้งศีรษะคำนับให้ธรันดูอิลอย่างลึก ดวงเสียงสั่นเครือขณะกล่าวด้วยความจริงใจ
“เผ่าดวอร์ฟ… จะไม่มีวันลืมบุญคุณของเผ่าเอลฟ์ครั้งนี้เป็นอันขาด”
ธรันดูอิลรีบประคองอีกฝ่ายขึ้นทันที พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นี่เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกเผ่าพันธุ์ ความชั่วร้ายคือศัตรูร่วมของทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นดวอร์ฟ เอลฟ์ หรือมนุษย์”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่ออย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“แต่ท่านซีโรมักจะลึกลับเสมอ ปกติเธอจะหายตัวไปหลังจากออกคำสั่งแล้ว ข้าจึงไม่ทราบว่าเธออยู่ที่ใดในเวลานี้ เกรงว่า… ข้ายังไม่อาจจัดช่วงเวลาให้ท่านพบเธอได้โดยตรง”
คุปเฟอร์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ข้อมูลที่ได้รับก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว สำหรับบุตรแห่งเทพซีโร หากเขาโชคดี อาจได้พบกันเมื่อเธอเดินทางไปยังอาณาจักรดวอร์ฟด้วยตัวเอง
ภารกิจในครั้งนี้ถือว่าเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวกลับโดยทันที ผนึกใต้ดินของเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างยิ่ง”
คุปเฟอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“อืม… ทางเราจะจัดเตรียมพิธีให้พร้อม หากฝั่งของท่านสะดวก ก็สามารถเริ่มการอัญเชิญได้ในอีกสี่วันข้างหน้า”
“สี่วันหรือ…”
คุปเฟอร์จดจำช่วงเวลาไว้ในใจแน่นอน ก่อนจะพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
หลังสนทนาอีกเพียงเล็กน้อย คุปเฟอร์ก็อุ้มรูปเคารพแนบอก ออกเดินจากมหาวิหารด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะฝีเท้าที่เคยหนักอึ้งกลับกลายเป็นเบาสบาย
ทว่า… ในขณะกำลังจะเดินออกจากมหาวิหาร เสียงโห่ร้องของเหล่าเอลฟ์ก็ดังสนั่นไปทั่วเมืองแซนด์สตอร์ม
คุปเฟอร์ขมวดคิ้ว หยุดก้าวไปชั่วครู่ และตั้งใจฟัง
“หน้าเว็บอัปเดตแล้ว!”
“ภารกิจเผ่าดวอร์ฟเริ่มแล้ว!”
“ในที่สุดก็มา!”
“รางวัลดีมากเลยวุ้ย!”
บางประโยคเขาฟังไม่เข้าใจนัก แต่ที่แน่ ๆ… มีการเอ่ยถึงดวอร์ฟอยู่หลายครั้ง
…มันเกี่ยวข้องกับข้าหรือเปล่า?
คุปเฟอร์ยิ่งฟังยิ่งสงสัย แต่รูปเคารพในอ้อมแขนนั้นก็ดูราวกับจะหนักขึ้นทุกขณะ หัวใจของเขาก็เร่งร้อนดั่งไฟลน อยากกลับสู่อาณาจักรให้เร็วที่สุด
สุดท้าย หน้าที่ก็ชนะเหนือความอยากรู้อย่างเด็ดขาด
เขาเพียงทอดตามองพวกเอลฟ์เหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังประตูเมือง เรียกกริฟฟินคู่ใจออกมา แล้วควบทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้ากลับบ้านทันที
…
เส้นทางกลับนั้นรวดเร็วกว่าขามาอย่างมาก
ไม่ถึงสองวัน คุปเฟอร์ก็มาถึงเชิงเทือกเขาทางใต้ และด้วยความเคารพสูงสุด เขาได้ส่งมอบรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ที่อุ้มแนบอกมาตลอด ให้แก่หัวหน้านักบวชสูงสุดในอาณาจักรดวอร์ฟด้วยมือของตนเอง
“สวดภาวนาต่อรูปเคารพเพื่ออัญเชิญผู้ถูกเลือก… แถมเทพธิดาแห่งชีวิตจะลงมาด้วยพระองค์เองหากเกิดเหตุคับขัน?”
หัวหน้านักบวชสูงสุดเงียบงันไปครู่หนึ่ง
สีหน้าของเขาปรากฏทั้งความปีติ และบางสิ่งที่คล้ายกับความฉงนงุนงง
“ใช่แล้ว ท่านหัวหน้านักบวชสูงสุด อาณาจักรของเรารอดแล้ว!”
คุปเฟอร์กล่าวอย่างตื่นเต้น ทว่าเมื่อเห็นแววตาที่แปรเปลี่ยนของหัวหน้านักบวช เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“ท่านขอรับ? มีสิ่งใดผิดปกติหรือเปล่า?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
หัวหน้านักบวชสูงสุดส่ายหน้าเบา ๆ
“เมื่อมีนิมิตจากเทพธิดาแห่งชีวิตเช่นนี้ พวกเราย่อมไม่ต้องวิตกอีกต่อไป”
เขาถอนหายใจหนึ่งเฮือก
“…เพียงแต่ ข้าแค่ไม่คาดคิดว่ากำลังรบ… จะเป็น ‘ผู้ถูกเลือก’ เท่านั้นเอง”
“มีอะไรไม่เหมาะสมหรือขอรับ?”
คุปเฟอร์ถามอย่างระแวง
“ก็ไม่ถึงกับไม่เหมาะสมหรอก… ข้าแค่สงสัยในตัวผู้ถูกเลือกของเผ่าเอลฟ์เล็กน้อยก็เท่านั้น”
หัวหน้านักบวชกล่าวพลางทอดถอนใจ แล้วหันกลับมามองคุปเฟอร์
“ว่าแต่… เจ้าคิดอย่างไรกับพวกเขา?”
“พวกเขา?”
คุปเฟอร์ขมวดคิ้ว
“ก็เหล่าผู้ถูกเลือกของเทพธิดาแห่งชีวิตไงล่ะ”
“ผู้ถูกเลือก? ข้า… ไม่ได้พบพวกเขานี่ขอรับ”
คุปเฟอร์ตอบเสียงเบา
“ไม่ได้เจอหรอกเรอะ?”
คราวนี้กลับเป็นหัวหน้านักบวชที่ดูตกใจขึ้นมาบ้าง
“เอ่อ… ข้ารีบเดินทาง เลยได้พบเพียงเอลฟ์ตนหนึ่งชื่อธรันดูอิล กับพูดคุยกับเอลฟ์ตนอื่นอีกเล็กน้อย…”
คุปเฟอร์เกาศีรษะด้วยท่าทีไม่แน่ใจนัก
“เอลฟ์งั้นรึ…”
หัวหน้านักบวชนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่อ
“แล้วพวกเอลฟ์ที่เจ้าได้พบนั้น… เป็นอย่างไรบ้าง?”
คุปเฟอร์ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างแน่วแน่
“จะว่าอย่างไรดี… พวกเขาอบอุ่น ใจดี ต้อนรับแขกอย่างน่าประทับใจ และอ่อนโยนกว่าพวกเอลฟ์ที่เราเคยเจอในเทือกเขาทมิฬเมื่อหลายสิบปีก่อนเสียอีก”
ได้ฟังดังนั้น หัวหน้านักบวชก็เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ อย่างครุ่นคิด
“ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะมองอะไรพลาดไปนะ…”
…
…
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION