ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้าที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง บาล จอมมารผู้เรืองอำนาจแห่งชั้นแรกของโลกใต้พิภพ สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
พลังปั่นป่วนและความมืดดำที่เป็นเอกลักษณ์ของโลกนรกจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย แทนที่ด้วยกลิ่นฉุนของกำมะถันที่โชยอบอวลอยู่ทั่วทั้งอากาศ
ในเสี้ยววินาทีเดียว เขาก็เตรียมรับแรงจู่โจมเต็มที่ พร้อมจะหลบหนีทันทีที่พิธีกรรมส่งตัวสิ้นสุดลง… เพราะเขาจำกลิ่นนี้ได้ดี กลิ่นของอาซาเซล เทพมารลำดับที่เจ็ด
เมื่อแสงจางลง ภาพรอบตาก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้น บาลพบว่าตนยืนอยู่กลางห้องโถงโอ่อ่าแห่งพระราชวังแห่งหนึ่ง ผนังสูงประดับด้วยศิลาเนื้อดีลวดลายพิสดาร เพดานห้องทอดยาวขึ้นสู่ความมืดอย่างไร้ที่สิ้นสุด และ ณ ใจกลางของห้องอันโอฬารนั้น… ร่างของปีศาจเขาแพะตนหนึ่งกำลังยืนตระหง่านอยู่
ร่างของมันสูงใหญ่ดั่งภูผา กล้ามเนื้อแน่นตึงและลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิงที่แผดเผาจนเห็นเป็นประกายสีชาด รอบกายของมัน วงเวทอัญเชิญขนาดมหึมาหมุนวนไปมาไม่ขาดตอน แสงสีแดงวูบไหวปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับจอมมารมากหน้าหลายตาที่ค่อย ๆ ทะยอยปรากฏตัวออกมา
ในหมู่พวกนั้น มีทั้งศัตรูคู่อาฆาตของบาล และผู้ที่เคยพ่ายแพ้ให้กับเขาในอดีต ทว่าเวลานี้ บาลกลับไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของเทพมารผู้ยืนอยู่กลางห้องเพียงผู้เดียว นั่นคืออาซาเซล ราชาแห่งจอมมาร เทพมารลำดับที่เจ็ด ผู้ครองหนึ่งในแดนลึกแห่งนรกทั้งเจ็ดชั้น
สายตาของอาซาเซล กวาดมองเหล่าจอมมารที่ตอบรับเสียงอัญเชิญอย่างเงียบงัน ก่อนจะหยุดพิจารณาครู่หนึ่งที่อาวุธและเครื่องแต่งกายของพวกมัน… ซึ่งดูดีมีระดับกว่าสมัยหมื่นปีก่อนอยู่มาก
พลัน เสียงหัวเราะต่ำก็หลุดออกมาจากลำคอของเขา
“หึ… ไม่ได้กลับไปนรกมานาน พวกเจ้าก็สบายกันดีนี่นะ”
น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความหมั่นไส้อย่างเห็นได้ชัด แทบไม่ปกปิดอารมณ์ขุ่นเคืองที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน และเพียงมองไปรอบห้อง บาลก็เข้าใจสาเหตุอย่างง่ายดาย
แม้พลังของอาซาเซลยังคงน่าสะพรึงกลัว แม้เพียงการยืนหยัดอยู่ที่นั่นอย่างโดดเดี่ยวก็เพียงพอจะเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุด แต่เขากลับเหลือเพียงร่างเปล่าเปลือยที่โอบล้อมด้วยเปลวเพลิง
อาวุธคู่ใจที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่มานับพันปี ล้วนถูกทำลายจนสิ้นในการศึกกับเทพสักองค์ ชุดเกราะที่เคยสะท้อนความเกรียงไกร ก็ถูกกัดกร่อนจนเสื่อมสภาพด้วยพลังผนึก ตลอดช่วงพันปีแห่งการจองจำ
บัดนี้… เขาไม่มีเหลืออะไรเลย นอกจากร่างกายของตนเอง และในตอนเผชิญหน้ากับผู้เล่น อาซาเซลยังต้องสร้างอาวุธขึ้นใหม่จากเปลวเพลิงแห่งตนเองด้วยซ้ำ ผิดกับเหล่าจอมมารที่ปรากฏตัวหลังเสียงอัญเชิญ พวกมันดูโอ่อ่าราวกับเจ้าแห่งแคว้น
จอมมารทั้งสิบสามตน ต่างมีรูปร่างใหญ่โต สมเป็นผู้ปกครองแดนลึกในโลกนรก กล้ามเนื้อแน่นตึงแฝงพลังมหาศาล
ถึงแม้สีหน้าของพวกมันจะเผยความเกรงกลัวต่ออาซาเซลในชั่วพริบตาแรก แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทางของพวกมันเฉื่อยชาลงมากจากอดีต ราวกับเคยชินกับความสบายมาเนิ่นนาน
แต่ละตนสวมชุดเกราะสุดหรูที่ขัดเงาจนแวววาว แผ่นเกราะสะท้อนแสงวาววับในทุกย่างก้าว ราวกับมีบริวารปีศาจคอยขัดถูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
อาวุธในมือของพวกมันก็ไม่แพ้กัน หลายชิ้นดูปราณีตถึงขั้นที่แค่เห็นก็รู้ว่าถูกสั่งตีขึ้นเป็นพิเศษ บางเล่มอาจถึงกับจ้างช่างตีเหล็กระดับสูงจากโลกสามัญ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าคนแคระหรือมนุษย์ มาทุ่มเทแรงกายสร้างโดยเฉพาะ
และในอาวุธบางชิ้น… ยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเฉพาะ เป็นร่องรอยของกึ่งเทพศาสตรา ที่บรรจุไว้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันบิดเบือน
แม้มันจะยังไม่ถึงขั้นศาสตราเทพที่ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์ แต่อาซาเซลก็สัมผัสได้ถึงอำนาจของมันอย่างชัดเจน… และรู้สึกทั้งประหลาดใจ และขมขื่นในคราเดียว
เมื่อหมื่นปีก่อน อาวุธระดับนั้น ไม่มีใครกล้าแตะต้องเป็นส่วนตัวโดยพลการ ทุกชิ้นต้องถูกรวบรวมมาส่งให้อาซาเซลจัดสรรเพื่อการศึกเท่านั้น
แม้ไม่มีถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ย แต่แค่เห็นพวกสารเลวเหล่านี้แต่งตัวหรูหราอย่างไร เขาก็รู้แล้วว่าพวกมันอยู่ดีกินดีขนาดไหนในช่วงเวลาที่เขาถูกจองจำ
ต่างกับเขา หนึ่งในเจ็ดเทพมาร ผู้ปกครองชั้นแรกของแดนนรกโดยชอบธรรม กลับต้องถูกจองจำยาวนานนับหมื่นปี…
และเมื่อลืมตากลับมาอีกครั้ง ก็ถูกร่างวิญญาณแห่งอิกดราซิล ที่ไม่รู้วิปลาสไปตั้งแต่เมื่อไร จับผนึกซ้ำอีกหน! ไม่ใช่แค่การจองจำธรรมดา! แต่เป็นการกดให้ตกต่ำถึงขีดสุด!!
เทพมารผู้เปี่ยมอำนาจ อาซาเซล กลับกลายเป็นของเล่นให้เหล่าเอลฟ์ต่ำต้อยที่ไม่ต่างจากมดปลวกได้ย่ำยี!
น่าสังเวช…
ช่างน่าสังเวชเสียเหลือเกิน…
ในโลกใบนี้ ยังจะมีเทพมารองค์ใดตกอับไปมากกว่าข้าอีกไหม?
เหล่าจอมมารที่ถูกอัญเชิญมา ต่างยืนนิ่งงัน มองหน้ากันด้วยความอึดอัดใจ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดได้ และในห้วงนั้นเอง ความคิดเดียวกันก็ผุดขึ้นในใจของพวกมันแทบพร้อมกัน
จะไม่ให้อยู่สุขสบายได้ยังไงกัน?
พอไม่มีเจ้าหัวขโมยเลือดอย่างเจ้า คอยสูบทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่เศษขนมปัง ใคร ๆ ก็อยู่ได้อยู่ดี มีความสุขกันทั้งนั้น!
พอมีเครื่องสังเวยจากโลกสามัญ พวกเราก็มีกำลังรบ จะสร้างร่างอวตารไปลวงหลอกสิ่งมีชีวิต หรือจะเสพสุขในแดนนรกก็ได้ตามใจ ใครบ้างจะไม่อยู่ดีมีสุข?
แน่นอนว่าพวกมันเพียงแค่คิดในใจ ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาแม้แต่ครึ่งคำ
ส่วนบาล… กลับต้องขอบตากระตุกถี่ยิบ เพราะสายตาของอาซาเซล ที่เพิ่งกวาดมองไปรอบห้อง กลับกวาดมาหยุดลงที่ตัวเขา
ดวงตาคู่นั้นฉายประกายพินิจพิเคราะห์อย่างไม่ปิดบัง ราวกับกำลังเลือกของชิ้นหนึ่ง บาลรู้สึกได้ถึงสายตาที่ไล่สำรวจตนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนที่อาซาเซลจะพยักหน้าเบา ๆ อย่างพึงพอใจ
“เหมือน… เหมือนมากจริง ๆ”
“ไม่น่าเชื่อว่าที่ข้าเคี่ยวเข็ญฝึกเจ้ามาด้วยมือตัวเอง จะออกดอกออกผลได้ถึงเพียงนี้ เจ้านี่… ขึ้นมาถึงระดับสูงสุดของตำนานแล้วสินะ ข้าตัดสินใจเรียกเจ้ามาครั้งนี้… ถือว่ายังไม่สาย หากข้าจะรอดหรือไม่ ก็คงต้องฝากไว้กับเจ้าแล้วล่ะ”
บาล: …
เขาไม่เข้าใจชัดนักว่าการฝากความหวัง ของอาซาเซลหมายถึงสิ่งใดกันแน่ แต่ด้วยประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่กับเทพมารตนนี้มาอย่างยาวนาน เขาก็รู้ทันทีว่าไม่มีอะไรดีแน่
ยิ่งได้ยินน้ำเสียงนั้นพูดถึงพลังของเขา หัวใจของบาลก็ยิ่งเย็นเยียบลงทุกที
ในวินาทีนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าอาซาเซลกำลังอิจฉา แต่ก็ยังนับว่าโชคดี ที่บาลยังพอจับสังเกตบางอย่างได้จากสภาพของอีกฝ่าย
ถึงพลังของอาซาเซลจะดูน่าสะพรึงกลัวเพียงใด แต่ก็แฝงด้วยกลิ่นอายของการเสแสร้ง เหมือนพยายามแผ่รัศมีให้ใหญ่เกินจริง เพื่อข่มขวัญมากกว่าการต่อสู้จริงจัง
และเมื่อใช้พลังระดับตำนานขั้นสูงสุดเพ่งลึกลงไป บาลก็ยังสามารถจับกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์บางเบาที่แฝงอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ได้…
นั่นย่อมต้องเป็นพลังของเทพ ผู้ที่เคยใช้ผนึกอาซาเซลเอาไว้ แต่ถึงจะอยู่ในสภาพย่ำแย่เพียงใด บาลก็ไม่คิดจะต่อกรกับเทพมารผู้นี้อยู่ดี
เพราะการต่อสู้กับอาซาเซล ไม่มีความหมายใดนอกจากการสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นเท่านั้น ต่อให้บาลชนะ ก็เป็นแค่ส่งอาซาเซลกลับไปฟื้นในนรก ไม่มีประโยชน์อื่นใดต่อตัวของบาล…
ในเวลานี้ ภายในใจของบาลมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
ต้องหนี!
หนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
หากเขาหลุดพ้นจากที่นี่ได้ โลกซากัสจะกลายเป็นสนามล่าของเขา!
เขาจะมีทั้งปราสาทใหญ่โตโอ่อ่าราวกับราชวัง เขาจะได้ลิ้มเลือดสดของสาวพรหมจรรย์ จะได้ฉีกชิมเนื้อของเหล่าเอลฟ์ที่ยังสดใหม่ หรือแม้แต่โอกาสในการก้าวสู่การเป็นเทพมาร ทุกสิ่งกำลังโบกมือเรียกหาเขา!
เมื่อตัดสินใจได้ บาลก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาหมุนตัวหมายจะพุ่งตรงไปยังประตูพระราชวัง หวังหลบหนีให้พ้นก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
แต่เขายังไม่ทันได้ขยับ เสียงของอาซาเซลก็ดังขึ้นเสียก่อน เสียงนั้นเจือแววลังเลชัดเจน
“อ… แค่ก อีฟ… อีฟ เจ้าคิดว่าเหล่าปีศาจพวกนี้พอใช้ได้ไหม?”
…อีฟ?
บาลชะงักค้าง
และก่อนที่เขาจะทันนึกออกว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ใด พื้นดินใต้เท้าก็แตกร้าวกะทันหัน เถาวัลย์สีเขียวเข้มปริศนาโผล่พรวดขึ้นจากพื้น กวาดเกี่ยวร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนาในชั่วพริบตา
นี่มันอะไร!?
พลังที่แผ่ออกมาจากเถาวัลย์เส้นนั้นช่างน่าสะพรึงเกินคำบรรยาย จนสีหน้าของบาลแปรเปลี่ยนโดยฉับพลัน ความโกลาหลแพร่กระจายไปทั่วท้องพระโรง และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าตนมิใช่ผู้เดียวที่ตกอยู่ในสภาพนั้น
เหล่าจอมมารทุกตนที่ถูกอัญเชิญมา ก็ล้วนถูกพันธนาการไม่ต่างกัน เถาวัลย์เหล่านั้นแผ่ขยายออกไปราวกับมีชีวิต พร้อมกับพลังศักดิ์สิทธิ์มหาศาลที่ปะทุออกมาไม่ขาดสาย
พลังของเทพ!
มีเทพซ่อนอยู่ที่นี่เรอะ!?
อาซาเซลคิดจะทำอะไรกันแน่!?
ใบหน้าของบาลบัดนี้มีเพียงความหวาดผวา เขาอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับไม่อาจเปล่งเสียงได้แม้แต่คำเดียว พลังทั้งหมดถูกปิดผนึกลงโดยสมบูรณ์ เถาวัลย์เหล่านั้นไม่ได้แค่พันธนาการร่าง แต่ยังปิดเสียงของเขาจนเงียบสนิท!
“ใช้ได้ค่ะ… ไม่นึกว่าเธอจะสามารถอัญเชิญระดับตำนานมาได้ถึงสิบสามตนในคราวเดียว ถือว่าเกินคาดเชียวล่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเยือกเย็น กังวานและรางเลือนในคราเดียวกัน ทว่าทรงอำนาจยิ่ง
ข้างกายของอาซาเซล พลันปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้น
เธองดงามราวกับเทพธิดา รูปร่างอ้อนช้อยแต่แฝงไว้ด้วยพลังอันไม่อาจหยั่งถึง แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านออกจากเรือนกายของเธอ ราวกับจะกลืนกินทั้งห้องโถงไปพร้อมกัน
และแล้ว ฉากที่ทำให้เหล่าปีศาจตะลึงงันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า…
เทพมารอาซาเซล ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าภาคภูมิในอำนาจของตน ไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร กลับเผยสีหน้าเอาใจออกมาให้เห็นชัดเจน!
“งั้นเจ้า… ไม่สิ ท่านว่า… พวกมัน พอจะมาแทนข้าได้ไหม?”
น้ำเสียงของอาซาเซลเจือความลังเลเล็กน้อย ขณะสบตากับเทพธิดาผู้นั้น
ภาพตรงหน้า ทำให้เหล่าจอมมารหวนย้อนกลับไปยังความทรงจำเมื่อหมื่นปีก่อน ช่วงเวลาที่พวกเขาเองเคยประจบสอพลีต่อหน้าเทพมารตนนี้ แม้บ่อยครั้งจะประจบผิดที่ผิดทางก็ตาม…
ทว่าการได้เห็นเทพมารผู้เคยเย่อหยิ่งแสดงท่าทางประจบต่อหน้าเทพอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้… มันช่างเป็นฉากที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะได้พบเห็น
พวกเขาชะงักนิ่ง ลืมแม้แต่จะดิ้นรน สายตาเต็มไปด้วยความงุนงง มองอาซาเซลราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็น
ในห้วงขณะนั้น พวกเขาเริ่มตั้งคำถามแล้วว่า เทพมารตรงหน้านี้ ยังเป็นอาซาเซลจริงหรือไม่? หรือเพราะถูกจองจำมานาน จนสมองเริ่มเพี้ยนไปแล้ว?
เทพมารผู้เป็นอมตะ ทำไมถึงกลัวเทพได้ขนาดนี้?
เทพธิดาองค์นั้น ทำอะไรกับเขากันแน่?
อะไรทำให้อาซาเซลกลายเป็นแบบนี้?
ความหวั่นไหวก่อตัวในจิตใจของจอมมารทุกตน ทว่าอาซาเซลกลับไม่ใส่ใจความตกตะลึงของพวกมันแม้แต่น้อย จนดูราวกับว่า… การทำให้เทพธิดาองค์นั้นพึงพอใจ เป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในสายตาของเขา
ใบหน้าของเขาในยามนี้ แทบไม่ต้องใช้คำอธิบายใดเพิ่มเติม สีหน้าคล้ายมนุษย์จนน่าประหลาด และยังแฝงด้วยแววประจบประแจงอย่างชัดเจน
เขาชี้ไปยังบาลที่ยังนิ่งงัน แล้วกล่าวขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“แล้วเจ้านี่ล่ะ? หน้าตาดันเหมือนข้าซะขนาดนี้ ให้มันเล่นบทแทนข้าไปเลยดีไหม?”
บาล: …
เขาเบิกตาโพลง พยายามดิ้นสุดแรงเกิด แต่ร่างกายกลับไม่ไหวติงแม้แต่น้อย
และวินาทีนั้น เทพธิดาผมเงิน ดวงตาสีม่วงลึกล้ำ พลันหันมาจ้องมองเขา แววตาของเธอเต็มไปด้วยการพินิจพิเคราะห์และการตัดสิน
“รูปลักษณ์ถือว่าใช้ได้ เหมาะจะเป็นสุดโหดในห้องท้าย… แต่ก็ยังไม่เท่าเธออยู่ดี ขาดไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“แน่นอน เราพูดคำไหนคำนั้น ต่อไปนี้เธอจะต้องออกโรงเพียงวันละครั้งก็พอ และเธอจะเลือกได้เองว่าจะเผชิญหน้ากับกลุ่มเอลฟ์กลุ่มใด”
“เราเตรียมพื้นที่สำหรับเหล่าจอมมารที่เหลือไว้หมดแล้ว ที่เหลือฝากเธอจัดการนะ เมื่อทุกอย่างลงตัว… ก็เรียกเรา แล้วเขาวงกตเทพมารจะเปิดต้อนรับเหล่าเอลฟ์ทันที”
ถ้อยคำของที่เทพธิดากล่าวกับอาซาเซล คำพูดเหล่านั้น… ปีศาจทุกตนล้วนเข้าใจได้ชัดถ้อยชัดคำ แต่เมื่อรวมกันเป็นประโยคเดียว กลับทำให้พวกมันมึนงงจนไม่รู้จะตีความว่าอย่างไร
ออกโรง? เอลฟ์? เขาวงกตเทพมาร?/
เธอหมายถึงอะไรกันแน่?
และยังไม่จบ… เทพธิดาเพียงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวต่อ
“จะว่าไป เราจำได้ว่า… จอมมารระดับตำนานฟื้นตัวได้เร็วมากใช่ไหม? ตราบใดที่ยังไม่ตายสนิท เทพมารแบบเธอก็น่าจะสามารถชุบชีวิตพวกนี้ได้… จริงหรือเปล่า?”
อาซาเซลพยักหน้าเบา ๆ
“หากไม่ถึงกับวิญญาณแตกดับตรงนั้น ข้ายังทำได้”
“เห~ เยี่ยมค่ะ!”
ดวงตาของเทพธิดาทอประกายวาววับ
เธอเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ที่ในสายตาของเหล่าปีศาจกลับดูเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ราวกับเป็นรอยยิ้มของอสูรร้าย
“งั้นก็สู้กันให้ปางตายพอ ฝากเธอคุมให้ดี แค่ไม่ให้ถึงตาย แล้วค่อยฟื้นพวกมันกลับมาสู้ใหม่ในรอบถัดไป”
“ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เราอาจจะใจดี ให้เธอออกโรงแค่สามวันครั้ง หรืออาจจะลดเหลือสัปดาห์ละครั้งเลยก็ได้”
“แน่นอน… ทั้งหมดนี้มีเงื่อนไขว่า เหล่าจอมมารพวกนี้จะต้องรองรับความต้องการของเขาวงกตได้จริง”
“ตกลงหรือไม่?”
ทันทีที่เทพธิดากล่าวจบ สีหน้าของอาซาเซลก็พลันเปลี่ยนเป็นเบิกบานทันที
“ตกลง! ข้าทำได้แน่นอน! ท่านอีฟ! ขอแค่ได้ออกโรงสัปดาห์ละครั้ง ข้าก็พอใจแล้ว! โปรดวางใจเถิด!”
“เช่นนั้น… ก็อยู่ที่ผลงานของเจ้าแล้วล่ะ”
เทพธิดายิ้มบาง
“อย่าลืมปิดผนึกพลังของพวกมันหน่อย ระดับตำนานมันยังรุนแรงเกินไป และถ้ามีปีศาจตัวเล็กตัวน้อยตายขึ้นมา… เธอรู้ใช่ไหมคะ ว่าต้องจัดการอย่างไร?”
“รู้! ข้าจะอัญเชิญใหม่ให้ครบตามฉาก!”
อาซาเซลพยักหน้ารับอย่างฉับไว
“ดีมาก”
เสียงชมของเทพธิดาเบาและเย็นพอ ๆ กับรอยยิ้มที่มุมปาก
“งั้นขอฝากไว้กับเธอนะคะ ส่วนจำนวนครั้งที่เธอจะต้องออกโรงต่อจากนี้… ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของเธอเช่นกัน”
ทันทีที่ถ้อยคำสุดท้ายจบลง แสงสีทองอมเขียวก็สาดส่องขึ้นอย่างเงียบงัน แผ่ห่อหุ้มร่างของเธอไว้ แสงนั้นค่อย ๆ เลือนหาย กลิ่นอายแห่งพลังจางลงไปทีละน้อย… จนหมดสิ้น
เทพธิดาออกจากพระราชวังไปแล้ว และเมื่อพลังของเธออันตรธานไป อาซาเซลก็ถอนหายใจเฮือกยาวราวกับเพิ่งรอดพ้นจากขุมนรก
…และในห้วงอึดใจนั้นเอง เขาก็เพิ่งตระหนักว่า เขาซึ่งเคยเป็นเหยื่อของเขาวงกตเทพมาร ได้กลายมาเป็นผู้ร่วมมือโดยสมบูรณ์เสียแล้ว
แต่ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ เขาไม่รู้สึกต่อต้านสิ่งนี้แม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม ยิ่งเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของเหล่าจอมมารไร้ทางสู้เหล่านั้น หัวใจของอาซาเซลก็ยิ่งพองโตไปด้วยความสะใจ และสุขล้ำอย่างประหลาด… สุขเสียจนเขาเริ่มตั้งตารอการเปิดใช้งานของเขาวงกตเทพมารเสียแล้ว
นี่ข้าเป็นอะไรไปเนี่ย..?
เขาพึมพำพลางสลัดหัวแรง ๆ ไล่ความคิดแปลกประหลาดที่ตีขึ้นในหัวให้จางหาย แล้วหันกลับไปยังเหล่าจอมมารที่ยืนตัวแข็งราวรูปปั้น ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเป็นชุด
“ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่…”
“พวกเจ้าทั้งหลาย—-! ยินดีต้อนรับ—!! สู่เขาวงกตเทพมาร!!!”
ทันทีที่สบตากับใบหน้าของอาซาเซลที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาไม่เป็นมิตรอย่างเปิดเผย บาลก็ถึงกับหน้าถอดสี
ลาก่อนปราสาทอันโอ่อ่า!
ลาก่อนเหล่าทาสเอลฟ์!!
ลาก่อนความฝันทั้งหลายของข้า!!!
ในวินาทีนั้น เขาก็ทรุดฮวบลงไปอย่างเงียบงัน และหมดสติไปในทันที…
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
ถั่ว: บาลใจเสาะเกินไป หรือมันฉลาดเกินไปเนี่ย ถึงกับเป็นลมเลยเนี่ยนะ? หรือโดนอาซาเซลผนึกทันที?
วิเวียน: 😏✨ เทพมารอาซาเซลเจ้าขา… เมื่อก่อนไม่ยอมก้มหัวให้ใคร เดี๋ยวนี้กลายเป็นผู้จัดการดันเจียนไปซะแล้ว! วู้ววว~ ขอต้อนรับเข้าสู่ยุคใหม่แห่ง “ธุรกิจปั่นปีศาจ” อย่างเป็นทางการค่ะ! 💋
โนเอล: งดงามมากเลยค่ะรุ่นพี่ ☕ พลังของอีฟไม่ใช่แค่กักขังได้… แต่ยังสร้าง “ระบบ” ให้ปีศาจระดับตำนานยอมรับโดยไม่ต่อต้าน นี่ไม่ใช่การสู้ด้วยพลัง แต่คือการ ควบคุมจิตใจผ่านโครงสร้าง อย่างแท้จริง…
ลิลี่: หนูอยากเล่นเขาวงกตเทพมารบ้าง!! 😻✨ บอสสุดโหด ♥ ลุงแพะขนฟูสุดหล่อ ♥ สู้กันปางตาย ♥ แล้วฟื้นขึ้นมาโดนตีใหม่ ♥ ฟินนนนน~!
มันเดย์: สวยค่ะ เป็นระบบเวียนเทียนนรกที่น่าเอาไปสอนในคลาส game design 🙄 อีฟทำลายทุกความหวังของบาลโดยไม่ต้องออกแรงสักนิด แค่รอยยิ้มหนึ่งครั้ง… ก็ปิดฉากชีวิตผู้ท้าชิงได้ถาวร
โนเอล: แล้วพบกันในบทถัดไปค่ะ… เมื่อปีศาจตนถัดไปจะตื่นขึ้น และพบว่าตัวเองไม่ได้ถูกอัญเชิญมาเพื่อรบ แต่เพื่อ โดนหมุนเวียนเข้าเวร แทน… 💮✨
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION