หลังจากที่ปิดหน้าต่างร้านค้าแลกเปลี่ยน มะเขือเทศผัดยังรู้สึกเหมือนหัวใจไม่อาจสงบนิ่งลงได้ ราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรในชีวิตของเขา… และในความพร่ามัวของความคิดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงเป้าหมายใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน
ครั้งหนึ่ง เขาเคยสัมผัสจุดสูงสุดของผู้เล่นทั่วไป เลเวลแตะเพดาน ชุดอุปกรณ์กรอบทองครบหกชิ้นจากร้านแลกเปลี่ยน สะสมสัตว์เวทมนตร์ระดับสูงครบถ้วน ตั้งแต่ยูนิคอร์น มังกร ไปจนถึงแมงมุมถ้ำขนาดยักษ์ แม้กระทั่งคฤหาสน์ส่วนตัวก็มีพร้อมสรรพ ราวกับเป็นผู้พิชิตโลกเกมที่ไม่มีอะไรเหลือให้ต้องไล่ตามอีกต่อไป
หากไม่นับนิสัยส่วนตัว ที่ทำให้เขาไม่ยอมเสียเวลาประจบประแจง NPC จึงยังไม่สามารถจีบภูตธาตุที่เพิ่งเปิดตัวมาใหม่ได้ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขาคือผู้เล่นขั้นเทพที่จบเกมไปแล้วในสายตาคนส่วนใหญ่
ทว่า… สรรพสิ่งย่อมแปรเปลี่ยน
นับตั้งแต่วินาทีที่ระบบซ่อมแซมศาสตราเทพปรากฏขึ้น เขาก็รู้ทันทีว่าบรรทัดฐานเดิมกำลังพังทลายลง โลกที่เขารู้จักในเกมนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะในอนาคต อุปกรณ์กรอบทองจากร้านค้าแลกเปลี่ยนอาจกลายเป็นเพียงเสื้อผ้าพื้นฐานของผู้เล่นสายฟรี ในขณะที่ผู้เล่นระดับสูงหรือสายทุ่มเงินหนัก ต่างก็จะหันมาไล่ล่าศาสตราเทพอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และเป้าหมายใหม่ของเขาก็ชัดเจนขึ้นทุกวินาที…
ฟาร์ม!
ฟาร์มให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้!
เขาต้องรวบรวมแต้มผลงานจำนวนมหาศาล… เพียงพอที่จะซ่อมแซมเหล่าศาสตราเทพที่ตนเองถือครอง
เมื่อคิดเช่นนั้น ร่างของผู้เล่นหนุ่มก็ก้าวออกจากมหาวิหารอย่างเด็ดเดี่ยว
และในเวลาไล่เลี่ยกัน เพื่อนร่วมปาร์ตี้ที่เข้าไปด้วยกันก่อนหน้าก็เริ่มทยอยเดินออกมาทีละคน สีหน้าทุกคนดูเลื่อนลอยเล็กน้อย ราวกับยังไม่อาจปรับตัวเข้ากับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับ… แต่ในดวงตากลับส่องแสงแห่งความมุ่งมั่นดุดัน ไม่ต่างจากสัตว์นักล่าที่เพิ่งเจอเหยื่อเบื้องหน้า
สายตาของมะเขือเทศผัดสบเข้ากับหนึ่งในนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งเครียด
“หัวหน้า…?”
“อะไร?”
“พี่ดูระบบซ่อมแซมศาสตราเทพแล้วใช่มั้ย?”
“ถามอะไรไร้สาระ ดูแล้วสิ ไม่งั้นจะเข้าไปในวิหารทำไม”
“งั้น… คืนนี้เราจะลองรวมกลุ่มไปบุกดันเจียนซากอาณาจักรแห่งเทพดีมั้ย? ต้องรีบหาแต้มผลงานเพิ่มแล้วล่ะ ตอนนี้ผมจนฉิบหายเลย…”
ในตอนนี้ ซากอาณาจักรแห่งเทพคือแหล่งฟาร์มแต้มผลงานชั้นยอด ไม่เพียงเต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับสูง หากยังมีโอกาสเจอศาสตราเทพ หรือแม้แต่ดรอปของหายากจากศัตรูที่บุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
ใครก็ตามที่กล้าบุกเข้าไปย่อมมีของดีติดตัว และหากพวกเขาถูกโค่นลงโดยผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ของดีเหล่านั้นก็ย่อมเปลี่ยนเจ้าของได้ในทันที
เสียงสนับสนุนจากผู้เล่นคนอื่นก็ดังขึ้นเป็นระลอก
“ฉันบวกด้วยคน! ตอนแรกยังดีใจอยู่เลย นึกว่าจะได้ซ่อมของที่เก็บมาวันก่อนละ… แต่แค่ค่าประเมินก็ปาไปแต้มตั้งสองหมื่นกว่า ซ่อมจริงอีกเกือบห้าแสน…”
“ระบบซ่อมศาสตราเทพมาแค่วันเดียว ชั้นก็รู้สึกเหมือนเป็นขอทานซะแล้ว แต้มที่มียังไม่พอซ่อมรองเท้าด้วยซ้ำ!”
“ตูด้วย! เหมือนกันเป๊ะ!”
“งั้นไปหาเงินกันเถอะ!”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นรอบตัว มะเขือเทศผัดพยักหน้ารับเบา ๆ พร้อมถอนหายใจเงียบ ๆ ในใจ เขาเข้าใจดีถึงความสิ้นหวังที่แฝงมากับตัวเลขเงื่อนไขการซ่อมขวานของเขา
ขณะเดียวกัน ก็มีผู้เล่นหนึ่งนึกขึ้นได้ถึงขวานสีแดงในมือเขา จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่
“หัวหน้า ฉันเห็นว่านายถือขวานเข้าไป นายดูเงื่อนไขซ่อมของมันหรือยัง?”
เขาถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นชูนิ้วแสดงตัวเลขห้า
“ห้าแสน?”
ผู้เล่นคนอื่นทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว พร้อมพากันแสดงสีหน้าระทมราวกับกำลังยืนอยู่ริมหน้าผา
ทว่ามะเขือเทศผัดกลับไม่ตอบในทันที เขาส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้น ทำท่ากำหมัดหนึ่งครั้ง… สองครั้ง… และสามครั้ง…
“ห้าพันเค…?”
“ห… ห้าล้านเรอะ?!”
เสียงหอบหายใจของใครบางคนดังขึ้นกลางอากาศ ถามอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
และเมื่อมะเขือเทศผัดพยักหน้าช้า ๆ ยืนยันความจริงที่ไร้เยื่อใย ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็พากันเงียบกริบ ราวกับโลกได้หยุดหมุนไปชั่วขณะ
เสียงหนึ่งโพล่งขึ้นด้วยอารมณ์ระอา
“ว่าแต่เมื่อไหร่จะบุกฐานพวกไวลด์วูล์ฟสักที? ดาบใหญ่ของฉันมันกระหายเลือดเต็มทีแล้วเพ่!”
“จัดไป! วันนี้เลยละกัน! เรียกระดมพลด่วน เราจะไปกวาดค่ายพวกมันให้เรียบ แล้วค่อยยกกิลด์ไปถล่มดันเจี้ยน!”
…
การเปิดตัวของระบบซ่อมแซมศาสตราเทพ ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนลึกลงไปในโครงสร้างของโลกเกม ไม่ใช่แค่กับกองพันที่หนึ่ง แต่ยังรวมถึงเหล่าผู้เล่นและสมาคมน้อยใหญ่ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกทิศของดินแดนซากัส
เมื่อพวกเขาได้เข้าไปสำรวจระบบใหม่ผ่านร้านค้าแลกเปลี่ยน และพบกับเงื่อนไขที่ต้องใช้แต้มผลงานจำนวนมหาศาลในการซ่อมแซมอุปกรณ์ บวกกับภาพศาสตราเทพที่ได้รับการฟื้นฟูจนสมบูรณ์ กรอบทองอร่ามส่องประกายดารา ค่าพลังที่พุ่งทะลุเพดานเกินคาดเดา จากโพสต์โชว์ของผู้เล่นสายเปย์ชื่อดัง มันก็เหมือนเสียงระฆังบอกประกาศสิ้นสุดยุคเดิม พร้อมเปิดม่านสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง
ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ในช่วงที่ผ่านมา การอัพเลเวลใน The Kingdom of Elves กลายเป็นเรื่องไม่ยากนักสำหรับผู้เล่นที่ตั้งใจจริง เมื่อพลังถึงขีดสูงสุด หลายคนก็เริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ต่างจากการพักผ่อนหลังจากการเดินทางไกล…
ทว่าบัดนี้ ความรู้สึกนั้นได้ถูกทลายลงอย่างสิ้นเชิง ราวกับถูกย้อนเวลากลับไปสู่วันแรกที่ยังไม่มีอะไรเลย
สำหรับผู้เล่นที่ไม่เน้นการแข่งขัน หรือสายชิลที่เข้าเกมเพื่อพักผ่อน อุปกรณ์เกรดศาสตราเทพอาจเป็นเป้าหมายที่ดูห่างไกลจนเกินเอื้อม การเก็บสะสมชุดกรอบทองให้ครบทั้งตัวได้ ก็นับว่าเป็นความสำเร็จที่น่าภูมิใจแล้ว
แต่ในหมู่ผู้เล่นกว่าสามแสนหกหมื่นคน ก็ยังมีไม่น้อยที่กระหายการไต่ระดับที่สูงกว่านั้น… และศาสตราเทพ ก็คือบันไดขั้นใหม่ที่จะพาพวกเขาไต่ขึ้นสู่จุดหมายที่วาดฝันไว้
เพราะพลังของศาสตราเทพนั้น ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขที่สวยงาม หากแต่เหนือชั้นอย่างแท้จริง หากได้ครอบครองแม้เพียงหนึ่งชิ้น ก็อาจใช้งานได้ยาวนานนับปี โดยเฉพาะอุปกรณ์ระดับทองขั้นสูง หรืออาจมีกระทั่งระดับตำนาน ที่สามารถใช้พัฒนาไปสู่ระดับสูงยิ่งขึ้นได้โดยไม่ตกยุค
ยิ่งไปกว่านั้น อาชีพระดับเงินก็ยังไม่ได้เปิดให้ใช้อย่างเสรี หากผู้เล่นต้องการเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับเงินอย่างแท้จริง จำเป็นต้องติดอันดับในตารางแต้มผลงานระดับเหล็กประจำสัปดาห์ เพื่อแย่งชิงโควตาที่มีจำนวนจำกัด หรือไม่ก็หวังพึ่งโชคจากดรอปของดันเจียนหายาก เช่น เขาวงกตเทพมาร หรือภารกิจลับบางช่วงที่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะปรากฏเมื่อใด
และแม้จะมีผู้เล่นกว่าสามแสนหกหมื่นคนทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์ ทว่าผู้ที่สามารถก้าวขึ้นสู่ระดับเงินได้จริง ๆ กลับมีเพียงไม่กี่ร้อยคน… ทั้งเซิร์ฟเวอร์รวมกันยังไม่ถึงพันคนด้วยซ้ำ
ผู้เล่นส่วนใหญ่ในตอนนี้ติดอยู่ที่เลเวล 40 ซึ่งเป็นขีดจำกัดของระดับเหล็ก แม้จะฝึกฝนหรือใช้ไอเท็มเสริมมากเพียงใด หากไม่ก้าวเข้าสู่ระดับเงิน การพัฒนาเพิ่มเติมก็แทบจะไม่ขยับอีกต่อไป
แต่… ระบบซ่อมแซมศาสตราเทพได้พลิกกระดานทั้งหมดลง
มันได้เปิดทางเลือกใหม่ให้กับผู้เล่นระดับเหล็กนับหมื่นนับแสน มอบความหวังให้แม้แต่คนที่ยังไม่อาจเอื้อมถึงระดับเงิน ว่าตนเองก็สามารถยกระดับพลังได้ด้วยวิธีอื่น ด้วยศาสตราเทพ
วิธีการนั้นก็คือการออกตามหาอาวุธที่ชำรุดจากแผนที่ใหม่ เสี่ยงโชคเก็บสะสม แล้วค่อยนำมาซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง
และไม่ใช่เพียงความฝัน… มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังระบบเปิดใช้งาน ลูกเมี้ยวเค็ม ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เล่นสายเปย์อันดับหนึ่งของเซิร์ฟเวอร์ ก็ได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง เธอรวบรวมศาสตราเทพที่เสียหายมาจากผู้เล่นหลายราย แล้วนำมาซ่อมแซมทีละชิ้นจนสมบูรณ์ จากนั้นจึงสวมใส่เข้ากับตัวเองครบทั้งชุด
ผลลัพธ์คือ ค่าพลังของเธอพุ่งทะยานราวกับไม่มีขอบเขต แซงหน้าผู้เล่นอันดับหนึ่งเดิมอย่างข้าวกล่องได้ในทันที และยึดบัลลังก์สูงสุดของเซิร์ฟเวอร์ไว้ได้อย่างงดงาม
ทว่า… ลูกเมี้ยวเค็มไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
เพื่อพิสูจน์พลังของศาสตราเทพอย่างแท้จริง เธอให้ผู้เล่นระดับเหล็กที่เลเวลติดเพดาน จากคณะกรรมการโมเอะโมเอะคนหนึ่ง สวมใส่ชุดศาสตราเทพครบทั้งหกชิ้น แล้วส่งเขาไปท้าประลองกับผู้เล่นระดับเงินที่มีอุปกรณ์กรอบทองครบชุดอีกคน
ผลลัพธ์ที่ได้ กลับเหนือความคาดหมาย…
ผู้เล่นระดับเหล็กชนะ
และไม่ใช่แค่ชนะธรรมดา หากแต่ชนะติดต่อกันถึงห้าครั้ง!
แม้ว่าผู้เล่นระดับเงินที่แพ้ จะยังไม่ถึงเลเวลสูงสุดในขั้นนั้น แต่การที่ผู้เล่นระดับเหล็กสามารถหักล้างช่องว่างดังกล่าวได้ด้วยพลังของศาสตราเทพเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะจุดประกายไฟแห่งความหวังให้ลุกโชนขึ้นในใจของผู้เล่นทั้งเซิร์ฟเวอร์
แม้จะเป็นเส้นทางที่ต้องอาศัยโชคไม่น้อย แต่สำหรับเหล่าผู้เล่นที่ไม่สามารถแย่งชิงโควตาอาชีพระดับเงินได้ทันเวลา การล่าศาสตราเทพชำรุดเพื่อนำมาซ่อมแซม ก็กลายเป็นความหวังใหม่ที่จับต้องได้จริง นี่คือเส้นทางสายที่สองที่เปิดกว้างสำหรับผู้กล้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะสายฟรี สายเติม หรือแม้แต่ผู้เล่นที่หลงใหลในความท้าทายอย่างแท้จริง
แน่นอนว่า ในท้ายที่สุด ระดับเงินย่อมต้องเปิดให้ผู้เล่นทั้งเซิร์ฟเวอร์เข้าถึงอย่างเป็นทางการ เพียงแต่ในตอนนี้ เส้นแบ่งของพลังและสถานะก็ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ทว่าสิ่งที่แตกต่างจากระบบอาชีพกลับอยู่ที่ตัวศาสตราเทพเอง… เพราะจากคำอธิบายที่หลุดออกมา มันดูเหมือนจะเป็นอาวุธที่สามารถใช้งานได้ยาวนานจนเกินคาดเดา
และแม้ว่าทุกคนจะพยายามแกล้งลืมข้อเท็จจริงข้อหนึ่งไปเสียสนิทว่า ผู้เล่นระดับเงินก็สามารถเป็นเจ้าของศาสตราเทพได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมนั้นช่างสูงลิบจนเหมือนตัวเลขจากโลกอีกใบ ทว่าความฝันคือเชื้อเพลิงของชีวิต และตราบใดที่ยังมีหวัง… ก็เพียงแค่ฟาร์มให้หนัก ทุ่มให้สุด แล้วกัดฟันสู้ต่อไป
มนุษย์ถ้าไม่มีความฝัน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลาตายที่ลอยเคว้งกลางสายน้ำ และด้วยเหตุผลอันเรียบง่ายเช่นนี้เอง เหล่าผู้เล่นทั้งเซิร์ฟเวอร์จึงเริ่มหลั่งไหลกันเข้าสู่ซากอาณาจักรแห่งเทพอย่างต่อเนื่อง และภายในเวลาไม่นาน ดันเจียนแห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งยอดนิยมที่สุดใน The Kingdom of Elves อย่างไม่มีใครเทียบ
เมืองวินเทอร์เฟล ซึ่งเคยเงียบเหงาเพราะอยู่ห่างไกลจากจุดวาร์ปหลัก กลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ จนเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของกองพันที่หนึ่งเริ่มรับมือไม่ทัน เมืองแห่งนี้กลับกลายเป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิด
ฝั่งผู้เล่นต่างกระตือรือร้นและฮึกเหิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ในอีกมุมหนึ่ง เหล่านักผจญภัยที่เคยเป็นผู้นำการสำรวจดันเจียนกลับต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อพวกเขาพบว่าเอลฟ์ในป่าเอลฟ์… เหมือนจะคลุ้มคลั่งขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ พร้อมกันนั้นก็พากันกรูกลับเข้าสู่ซากแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยท่าทีดุดันผิดปกติ
แต่ก่อน หากนักผจญภัยหลงเข้าไปในป่า ขอเพียงวิ่งหนีทัน ก็ยังพอมีโอกาสรอดชีวิตได้ แต่ในตอนนี้ เพียงแค่ถูกเอลฟ์เหล่านั้นมองเห็น ก็ไม่ต่างอะไรกับการกดปุ่มเปิดฉากล่า พวกมันจะพุ่งเข้าใส่ทันที และเลิกล่าไม่ได้ง่าย ๆ เสียด้วย
หากหนีไม่พ้นในเวลาอันรวดเร็ว ก็เสมือนเขย่ารังแตนด้วยตัวเอง เพราะเอลฟ์กลุ่มใหม่จะโผล่มาเสริมกำลังอย่างไม่หยุดยั้ง ทางรอดเพียงหนึ่งเดียวที่ผู้รอดชีวิตพบก็คือ… ถอดไอเทมทั้งหมดทิ้งไว้เป็นเหยื่อล่อ แล้วฉวยจังหวะชุลมุน วิ่งหนีออกมาแบบไม่เหลียวหลัง
ดูเหมือนว่าเหล่าเอลฟ์จะมีความหลงใหลในอุปกรณ์เวทมนตร์อย่างลึกลับ โดยเฉพาะของที่ผู้เล่นนำออกมาจากซากแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกมันแทบจะละทิ้งสติเมื่อเห็นไอเทมเรืองแสงเหล่านั้น และนี่ก็คือจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวที่นักผจญภัยพอจะใช้เอาตัวรอดได้
อย่างไรก็ดี แม้จะพยายามปรับตัวแค่ไหน ฐานตั้งรับของเหล่านักผจญภัยก็ยังไม่อาจทนทานต่อการบุกจู่โจมจากพวกเอลฟ์หูยาวที่มาพร้อมระเบิดอัลเคมีเต็มพิกัด ค่ายใหม่ของกองทหารรับจ้างไวลด์วูล์ฟ ซึ่งสร้างขึ้นอย่างมั่นใจว่าจะแน่นหนา ปลอดภัย และกันทุกรูปแบบ… กลับถูกทำลายพินาศในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน
แต่ในความโกลาหลนั้น ผู้เล่นกลับพบความผิดปกติบางอย่างอย่างไม่คาดคิด
ในซากของฐานนักผจญภัย พวกเขาพบว่ารูปเคารพของเทพหลายองค์ที่ถูกนำมาติดตั้งไว้รอบค่าย มีเพียงรูปเคารพของโฮลเดอร์ที่พวกเขายังเข้าถึงได้ ส่วนรูปเคารพของเทพองค์อื่น ไม่ว่าจะเป็นของเทพแห่งความเป็นนิรันดร์ หรือเทพระดับสูงองค์ใด ผู้เล่นกลับไม่สามารถสัมผัสหรือกระทำต่อได้อีกเลย
มันเหมือนกับกฎที่ว่า ผู้เล่นไม่สามารถทำร้าย NPC ฝ่ายเดียวกันได้ รูปเคารพเหล่านี้ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกัน และเรื่องนี้ก็สร้างความผิดหวังให้ผู้เล่นไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยใช้ระเบิดทัณฑ์สวรรค์เป็นหมัดเด็ดในสนามรบ
ถึงอย่างนั้น หลายคนก็ยอมรับได้ เพราะหากกล่าวกันตามตรง รูปเคารพของเทพบางองค์นั้นรุนแรงจนเกินจะรับไหว ระเบิดของโฮลเดอร์ยังพอทำเนา แต่ของเทพแห่งความเป็นนิรันดร์นั้นราวกับระเบิดนิวเคลียร์ย่อส่วนที่สามารถลบแผนที่ได้ทั้งแถบ การจำกัดการใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาสมดุลของเกม
ทว่า… เรื่องของระเบิดทัณฑ์สวรรค์ ก็เป็นเพียงเหตุการณ์แทรกที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะในตอนนี้ สายตาของผู้เล่นทั้งเซิร์ฟต่างจับจ้องอยู่ที่เพียงสิ่งเดียว… นั่นคือระบบซ่อมแซมศาสตราเทพ
กระแสความนิยมของระบบใหม่นี้ร้อนแรงยิ่งกว่าพายุทราย ซัดกลบทุกสิ่งที่เคยเป็นกระแสก่อนหน้า แม้แต่ภูตธาตุ ที่เพิ่งเปิดตัวและได้รับการโปรโมตอย่างยิ่งใหญ่ ก็ยังถูกผลักให้กลายเป็นเพียงบทนำของฉากที่สำคัญกว่านี้มาก
และแน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระแสของภูตธาตุดิ่งลงอย่างรวดเร็ว… ก็คือพวกมันจีบยากเกินไป
ถึงจะเปิดตัวมาสักพักใหญ่แล้ว แต่ผู้เล่นที่สามารถจีบภูตธาตุสำเร็จได้จริง ยังมีไม่ถึงสิบคนทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์ และถ้าหากจำกัดเฉพาะคนที่จีบติดกับเพศที่ตัวเองต้องการ ก็ยิ่งน้อยเข้าไปอีกจนแทบนับนิ้วได้
ที่น่าแปลกใจก็คือ ผู้เล่นบางคนที่ดูเหมือนจะจีบสำเร็จ ก็ไม่ได้เป็นเพราะความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์แต่อย่างใด หากแต่เป็นเหตุบังเอิญที่ไปกระตุ้นความสนใจของภูตธาตุเข้าโดยไม่รู้ตัว
แน่นอน… เว้นเสียแต่จะเป็นหลี่มู่ ผู้เล่นระดับตำนานผู้พิชิตทุกเส้นทางความรัก
…
ณ เทือกเขาทมิฬ บริเวณเชิงเขาที่ปั่นป่วนไปด้วยพลังเวทมนตร์
บนปลายกิ่งไม้สูงชะลูดกลางลม ภูตธาตุเพลิงซึ่งมีรูปกายเป็นหนุ่มน้อยผมแดงเพลิงยืนแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาทอประกายเย่อหยิ่ง ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกแล้วเอ่ยเสียงขึงขังปนความกระเง้ากระงอด
“ฮึ่ม! ไหน ๆ เจ้าก็เล่นกับข้ามานาน แถมยังตั้งชื่อให้เพราะใช้ได้ งั้นก็เอาเถอะ… ข้าจะยอมรับคำขอของเจ้า ยอมเป็นสหายพันธะของเจ้าอย่างไม่เต็มใจนัก!”
เบื้องล่าง หลี่มู่ถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นปลื้มปิติจนปิดไม่มิด เขาพยักหน้ารัว ๆ อย่างตื่นเต้นสุดขีด ใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา
สำเร็จแล้ว!
หลังจากใช้ชีวิตตกระกำอยู่ในเทือกเขาทมิฬมาครึ่งเดือนเต็ม งัดกลยุทธ์สารพัดมาเอาใจภูตธาตุตนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการมอบของขวัญ สร้างฉากโรแมนติก หรือแม้แต่แกล้งบาดเจ็บให้ดูน่าสงสาร สุดท้ายความพยายามทั้งหมดก็ได้รับการตอบแทน
แม้จะมีจุดให้นึกเสียดายอยู่บ้างก็เถอะ…
เพราะภูตธาตุที่เขาได้ ไม่ใช่สาวน้อยน่ารักเหมือนดิงดองของนัตซึเมะ แต่กลับกลายเป็นหนุ่มน้อยขี้วีนที่มีท่าทางหยิ่งทะนงราวกับองค์ชาย… ทว่าอย่างไรเสีย ภูตธาตุทุกตนก็หน้าตาดีเกินมาตรฐานอยู่แล้ว ยิ่งฝ่ายชายก็ยิ่งดูเป็นกลางระหว่างเพศ หลี่มู่ยังเคยคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าเอากระโปรงลูกไม้มาใส่ให้เจ้าตัวนี่ ก็คงดูไม่ต่างจากดิงดองเท่าไหร่หรอก
เขาตั้งชื่อให้ภูตธาตุตนนี้ว่า หน่าจา เพราะทั้งตัวเป็นสีแดงสด ใช้เวทเพลิงเก่งราวกับมังกร และมีนิสัยเอาแต่ใจรุนแรงจนถึงขั้นน่าปวดหัว ชื่อเทพในตำนานเช่นนี้จึงดูเหมาะสมกับเจ้าตัวดียิ่งนัก
แม้จะไม่ใช่แบบในอุดมคติ แต่โดยรวมแล้ว หลี่มู่ก็รู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ หน่าจาแม้จะขี้วีน แต่ก็พูดจาตรงไปตรงมา คุยกันรู้เรื่อง และมีความจริงใจในแบบของตนเอง
เขาเคยเจอภูตธาตุธาตุมืดที่มีรูปลักษณ์เป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารัก แต่กลับเจ้าเล่ห์เหลือเชื่อ หลอกล่อให้เขาวิ่งวุ่นอยู่เป็นชั่วโมง ๆ สุดท้ายก็หัวเราะใส่หน้าก่อนจะบินหนีไปอย่างเริงร่า… ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้หลี่มู่รู้ซึ้งว่า ภายนอกอาจสวยงามแค่ไหนก็ไร้ความหมาย หากจิตใจไม่ตรงกัน
สำหรับเขาแล้ว การเลือกคู่หูที่เข้ากับนิสัยตนเองคือสิ่งสำคัญที่สุด ต่อให้ขี้หงุดหงิดบ้าง ดื้อบ้าง ก็ยังดีกว่าต้องอยู่กับคนเจ้าเล่ห์ที่ไม่อาจไว้ใจได้
หลังจากลงนามพันธะสหายเรียบร้อย หลี่มู่ก็ชวนเจ้าตัวเล็กขึ้นมาเกาะบนไหล่ แล้วเริ่มต้นการเดินทางกลับสู่เกรย์ฮาเวน ด้วยหัวใจที่โล่งเบาเป็นพิเศษ เขาวางแผนไว้ว่าจะพาหน่าจาลงดันเจียนซากอาณาจักรแห่งเทพทันทีในเร็ววัน เพราะได้ยินมาว่าภูตธาตุมีประสาทสัมผัสไวต่อพลังเวทมนตร์ หากพาไปด้วยอาจมีโอกาสได้ของดีเกินคาดก็เป็นได้
และทันทีที่กลับถึงฐานที่มั่น เขาก็พบกับเดมาเซียที่ยืนรออยู่ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ข่าวแล้ว เพราะทันทีที่เห็นเขา เดมาเซียก็เบิกตากว้างพลางร้องเสียงลั่น
“โว้ยยยย! พี่มู่ พี่ไปจีบภูตธาตุได้ไงวะ!? แล้วนั่นทำไมถึงเป็นผู้ชายล่ะ? ผู้หญิงไม่ดีกว่าเหรอ? มีภูตสาวน่ารัก ๆ ให้เลือกตั้งเยอะแยะ ทำไมกลับมาได้เป็นหนุ่มน้อยวะ!? โคตรน่าเบี่ย…”
หลี่มู่: …
เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป นอกจากกระตุกมุมปากอย่างเหนื่อยใจ เพราะชินกับปากเสียของเดมาเซียมานานเกินกว่าจะถือสา
แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ…
“หึ!”
หน่าจาบนบ่าของหลี่มู่สะบัดหน้าทันที ใบหน้าขาวแดงแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วร่ายเวทอย่างไม่ลังเล
เปรี้ยง!
ลูกไฟขนาดเล็กพุ่งออกจากฝ่ามือของเจ้าตัวเล็กด้วยความเร็วสูง ตรงเข้าใส่เดมาเซียอย่างไม่ปรานี
“เฮ้ยยยยย!”
เสียงกรีดร้องหลุดจากปากเดมาเซียทันที เขาเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน แต่ก็ยังช้าไปหนึ่งจังหวะ ลูกไฟระเบิดเข้าใส่ศีรษะของเขาเต็มแรง แม้จะเป็นเวทลดระดับแล้ว และแม้เขาจะมีเลเวลถึงห้าสิบ ทว่าแรงกระแทกก็ยังมากพอจะทำให้เขาหงายเงิบ
เปลวเพลิงลุกพรึ่บบนศีรษะ เส้นผมที่เคยชี้แหลมสุดเท่ บัดนี้ฟูพองราวกับรังนก เดมาเซียตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งหนีป่าราบไปพลางถูหัวตัวเองอย่างแตกตื่น
“สมน้ำหน้า!”
เสียงของหน่าจาดังขึ้นอย่างภาคภูมิ ริมฝีปากเล็กยกยิ้มมุมปาก ยืดอกชูคางอย่างผู้ชนะ
หลี่มู่: …
เขาทั้งขำทั้งปวดหัวในเวลาเดียวกัน
แต่ไม่ทันไร ก็รู้สึกได้ว่าร่างเล็กบนบ่าเริ่มเกร็งตัวเบา ๆ จากนั้นมือเล็กก็เอื้อมมากอดคอเขาแน่นขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หลี่มู่ซึ่งอยู่กับหน่าจามาสักพัก ย่อมเข้าใจได้ทันที เจ้าตัวนี่กำลังประหม่าเข้าให้แล้ว
ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม เสียงที่ทั้งคุ้นเคยและเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นก็ดังขึ้นจากด้านหน้าเสียก่อน
“ว้าว! พี่มู่ พี่ได้ภูตธาตุกลับมาด้วย!”
หลี่มู่เงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายคือนัตซึเมะ เพื่อนในสมาคมที่มาพร้อมรอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับ
บนบ่าของนัตซึเมะ มีภูตธาตุลมตนหนึ่งนั่งอยู่ ร่างเล็กน่ารักกำลังโอบกอดผลไม้เปลือกขาวเอาไว้แน่น ปลายลิ้นเล็ก ๆ เลียผลไม้ทีละนิดด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้ม สายตาเป็นประกายสุขสมเสียจนดูเหมือนลืมโลกไปแล้ว บางครั้งก็เหลือบตามองมายังหน่าจาบนบ่าหลี่มู่ด้วยแววสนใจใคร่รู้
“ครับ เขาชื่อหน่าจา”
หลี่มู่ตอบอย่างเรียบง่าย
ขณะพูดแนะนำ เขาก็อดสังเกตไม่ได้ว่าเจ้าหน่าจาเองก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีแววเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น หรือก้าวร้าวแบบเดิมให้เห็นแม้แต่น้อย ราวกับกลายเป็นภูตธาตุผู้เรียบร้อยไปในพริบตา
นัตซึเมะนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อ ก่อนจะหันมามองหน่าจาบนบ่าหลี่มู่ แล้วยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ก็ดูเหมาะกันดีนะ”
จากนั้นเขาก็แนะนำตัวบ้าง ก่อนจะชี้ไปยังภูตธาตุตัวน้อยบนบ่าตน
“ผมชื่อนัตซึเมะ ส่วนนี่ดิงดอง”
บทสนทนาระหว่างทั้งคู่เป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความเข้าใจที่ไม่ต้องใช้คำพูดมากนัก เมื่อพูดคุยพอหอมปากหอมคอ นัตซึเมะก็ขอตัวแยกไปก่อน
จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินลับสายตาไปแล้ว หลี่มู่จึงได้ยินเสียงตื่นเต้นดังขึ้นข้างหู จากเจ้าภูตธาตุตัวแสบที่ตอนนี้เกาะแน่นอยู่บนบ่า
“ที่แท้… มีภูตธาตุที่ทำพันธะกับเอลฟ์ตนอื่นด้วย? เธอชื่อดิงดองเหรอ? ชื่อเพราะจังเลย!”
หลี่มู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเมื่อสังเกตว่าเจ้าตัวน้อยที่ลอยขึ้นจากบ่าของเขานั้น กำลังจ้องมองไปยังทิศทางที่นัตซึเมะจากไปด้วยแววตาระยิบระยับ ใบหน้าแดงระเรื่อคล้ายเด็กหนุ่มวัยใสที่เพิ่งตกหลุมรัก
หลี่มู่: …
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
นายนี่มัน…
แม้จะไม่เคยพบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แต่จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา มันก็ไม่ยากนักที่จะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น
ในวินาทีนั้น เขาก็เข้าใจในทันที ว่าทำไมเจ้าหน่าจาถึงได้เปลี่ยนท่าทีอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นภูตธาตุผู้ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันตาเห็น
ที่แท้ ภูตธาตุก็มีความรู้สึกต่อเพศตรงข้ามได้ด้วย!
เขาตกตะลึงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้แต่แอบจุดเทียนไว้อาลัยในใจ ให้เจ้าหน่าจาเงียบ ๆ
เพราะเขารู้ดีว่านัตซึเมะนั้นเลี้ยงดิงดองเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ไม่มีทางเปิดโอกาสให้ใครมายุ่มย่ามกับลูกสาวของตัวเองอย่างแน่นอน
ส่วนเจ้าดิงดองนั่น…
เอ่อ จะพูดยังไงดี…
สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของภูตธาตุตนนั้น ก็คืออาหาร (หรือถ้าจะให้ถูกจริง ๆ คือ “ของที่เอาไว้เลีย”) นอกจากผลไม้เวทมนตร์แล้ว เจ้าตัวน้อยแทบไม่สนใจสิ่งใดในโลกเลย และมักจะเกาะติดอยู่กับนัตซึเมะราวกับเป็นเงา
สรุปแล้ว… มันก็คือรักข้างเดียวที่จบไม่สวยแต่ต้น
หลี่มู่ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจุดเทียนไว้อาลัยในใจ ให้กับหน่าจารอบสอง
แต่ในขณะนั้นเอง สายตาเขาก็สะดุดเข้ากับกลุ่มผู้เล่นจากสมาคมเดียวกันที่เพิ่งกลับมายังค่ายฐาน พวกเขาทั้งหมดดูยับเยิน บอบช้ำ และเปรอะเปื้อนคล้ายเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาด ๆ
หลี่มู่ขมวดคิ้ว รีบเดินเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง ก่อนจะร่ายเวทของดรูอิดเพื่อรักษาบาดแผลพลางถามด้วยเสียงหนักแน่น
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้ดูย่ำแย่กันขนาดนี้?”
ผู้เล่นกลุ่มนั้นล้วนเป็นระดับเหล็ก บางคนยังมีเลือดไหลซึมตามรอยแผลอยู่ด้วยซ้ำ ขณะรับการรักษา แต่ละคนก็หัวเราะแห้ง ๆ พร้อมพยักหน้าช้า ๆ อย่างหมดแรง
“พี่มู่… เขาวงกตเทพมารมันติดบั๊ก!”
“บั๊กเหรอ?”
หลี่มู่ทวนคำอย่างตกใจ
“ใช่เลย ลุงอาซาเซลคลั่งไปแล้ว!”
สีหน้าของผู้เล่นที่พูดเต็มไปด้วยความหนักใจ
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
โนเอล: ☕ ระบบซ่อมศาสตราเทพเปิดตัวได้งดงามมากค่ะ ทั้งตั๋วทอง ทั้งบ่อซ่อม ทั้งระบบตรวจสอบอุปกรณ์ขั้นสูง… ทุกอย่างเหมือนออกแบบมาให้ผู้เล่นต้อง “เสี่ยง” และ “หวัง” อย่างมีเป้าหมาย ชอบมากเลยค่ะ
ลิลี่: 😽 ถ้าดรอปของดีมาขายได้ หนูจะเอาไปแลกชุดเมดอัปเกรดเลยนะ! แล้วดูหน้าทุกคนตอนต้องไปฟาร์มสิ! ตะโกนกันดังยิ่งกว่าตอนเปิด SSR อีก~!
มันเดย์: ระบบใหม่นี่มันบอกกับผู้เล่นว่า “ขอให้โชคดีในการจัดการความโลภ” แหละ ถ้ามีสิทธิ์ซ่อมฟรีจริง คนทั้งเซิร์ฟคงพร้อมใจยื่นซองประมูล ฝากอาวุธเทพประจำตัวไปซ่อมทันที… แล้วบ่นค่าซ่อมทีหลัง
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION