พรมแดนตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์แมนเนีย บริเวณป้อมคอลลินส์
ณ จุดยุทธศาสตร์สำคัญประจำชายแดนตะวันตก ป้อมคอลลินส์คือปราการที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต้านทานภัยรุกรานจากเผ่าออร์คในอดีต ฝั่งบนของตัวป้อมตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาหิมะ มีแม่น้ำวิมูร์พาดผ่านทางตะวันตก เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เคยอัดแน่นด้วยกองกำลังชั้นหัวกะทิกว่าหนึ่งแสนนาย ผู้ซึ่งต่างเคยเป็นกระดูกสันหลังของจักรวรรดิ
ทว่า… นับแต่เกิดความขัดแย้งภายในติดต่อกันยาวนานนับทศวรรษ กำลังพลและทรัพยากรของจักรวรรดิก็ถูกบั่นทอนลง จนสุดท้าย จักรวรรดิก็มิอาจแบกรับภาระของป้อมปราการใหญ่โตในพื้นที่กันดารเช่นนี้ได้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น สันติภาพที่เริ่มกลับคืนมาระหว่างมนุษย์กับเผ่าออร์คในช่วงไม่กี่ปีหลัง ทำให้เหล่าผู้นำจักรวรรดิหมดความตั้งใจจะรักษากำลังพลไว้ที่นี่ ป้อมคอลลินส์จึงค่อย ๆ เสื่อมโทรมลง กลายเป็นเพียงฐานที่ถูกปล่อยปละละเลย
ปัจจุบัน กำลังพลที่ยังประจำการอยู่ในป้อมคอลลินส์เหลือเพียงไม่ถึงห้าพันคน ส่วนใหญ่เป็นทหารชราภาพ ผู้ป่วย หรือผู้บาดเจ็บที่ไม่อาจกลับเข้าสู่แนวหน้าได้อีก ตัวเมืองรอบป้อมเองก็พลิกบทบาทไป กลายเป็นแหล่งค้าขายแลกเปลี่ยนระหว่างพ่อค้ามนุษย์กับเผ่าออร์คเสียมากกว่า
และทุกอย่างนี้… ต้องยกความดีความชอบให้กับท่าเรือเล็ก ๆ บริเวณริมแม่น้ำวิมูร์
กระนั้น ตำแหน่งที่ตั้งของป้อมคอลลินส์ก็ยังห่างไกลเกินไปจากหัวใจของอารยธรรม แม้จะเชื่อมโยงสองเผ่าพันธุ์เข้าหากัน ทว่าตลอดทั้งปี มีเพียงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่นี่จะมีความคึกคัก ฤดูกาลอื่นล้วนเงียบเหงาและว่างเปล่า
โดยปกติ… ป้อมแห่งนี้ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
ทว่าเวลานี้ บริเวณท่าเรือฝั่งตะวันตกของป้อมคอลลินส์กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนไม่ขาดสาย
เรือพาณิชย์หลายลำทอดสมออยู่ริมฝั่ง ขณะที่บนบกเต็มไปด้วยนักผจญภัย นักล่าค่าหัว ขุนนางตกอับ และพ่อค้าที่แต่งกายหรูหรามากหน้าหลายตา บรรยากาศทั้งพื้นที่คล้ายเมืองท่าค้าขายที่คึกคักและกำลังเฟื่องฟู
และ ณ ริมแม่น้ำตรงนั้นเอง มีชายผู้หนึ่งเดินทอดน่องอยู่ริมฝั่ง
ร่างกายของเขาสูงใหญ่ กำยำ ดูน่าเกรงขาม และเพียงแค่ยืนเฉย ๆ ก็แผ่กลิ่นอายอำนาจออกมาจนสัมผัสได้
เบื้องหลังของเขา มีออร์คในชุดเกราะเต็มยศติดตามอย่างใกล้ชิด ทุกก้าวย่างแสดงออกถึงวินัยและความเฉียบคม แม้จะอยู่ในท่าทีนอบน้อมก็ตาม
ขณะเดียวกัน ชายอีกคนในชุดนักผจญภัยเก่าโทรมก็กำลังเดินเคียงข้างเขา พูดจาอย่างคึกคักราวกับคนคุ้นเคย
“ท่านครับ แค่เห็นการแต่งกายของท่าน ข้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ท่านมาที่นี่เพราะ ‘ซากเทพ’ ใช่หรือเปล่าครับ?”
น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความประจบ
“ซากเทพ?”
ชายร่างใหญ่หยุดเดินชั่วครู่ แล้วหันไปมองนักผจญภัยด้วยแววตานิ่งขรึม
นักผจญภัยเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ใจ รีบพูดต่อด้วยท่าทางมั่นใจ
เขาหัวเราะหึหึสองสามครั้ง แล้วตบหน้าอกของตนเบา ๆ ด้วยความภาคภูมิ
“ไม่ปิดบังหรอกครับ ข้าอยู่ที่ป้อมคอลลินส์มานานกว่าสามเดือนแล้ว เข้าไปสำรวจในซากเทพนั่นตั้งสองรอบ! ถ้าท่านยอมให้ข้าสิบเหรียญทอง ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้ให้หมดเลย!”
นักรบร่างใหญ่ไม่กล่าวรับหรือปฏิเสธ เพียงเหลือบมองลูกน้องเผ่าออร์คที่อยู่ด้านหลังด้วยหางตา
อีกฝ่ายเพียงยิ้มบาง แล้วหยิบเหรียญทองสิบเหรียญจากอกเสื้อออกมา โยนไปให้อย่างง่ายดาย
แววตาของนักผจญภัยสว่างวาบ รีบคว้าเหรียญไว้แน่นก่อนกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
“ขอบคุณท่านมาก! ขอบพระคุณจริง ๆ! ท่านอยากรู้เรื่องส่วนไหนก่อนครับ?”
“ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับซากนั่น”
นักรบกล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่ม แต่หนักแน่น
นักผจญภัยพยักหน้ารับทันที
“ท่านครับ ซากเทพที่ว่าก็คืออาณาจักรแห่งเทพของต้นไม้โลกที่ล่มสลายไปเมื่อพันปีก่อน! ตอนนี้กลายเป็นแดนรกร้าง เต็มไปด้วยซากศพ สมบัติของผู้ล่วงลับก็มีอยู่มากมาย ไหนจะพืชเวทมนตร์หายากอีกเพียบ!”
“คนที่เข้าไปแล้วรอดกลับออกมาต่างก็ร่ำรวยกันทั้งนั้น!”
เขากล่าวพลางโบกไม้โบกมือประกอบอย่างตื่นเต้น
“โอ้? แต่ข้าได้ยินมาว่า… ซากแห่งนั้นเหมือนจะถูกเผ่าเอลฟ์ยึดไว้แล้วมิใช่หรือ? ใครที่ลอบเข้าไปก็เหมือนเป็นศัตรูกับเผ่าเอลฟ์… และกับเทพธิดาแห่งชีวิตด้วย”
ชายร่างใหญ่เลิกคิ้ว ถามด้วยน้ำเสียงทวนทบทวน
นักผจญภัยหัวเราะหึหึอีกครั้ง
“หึ ก็พูดอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่คนเข้าไปมากขนาดนั้น พวกเอลฟ์จะคุมได้หมดหรือ? ส่วนเทพ… พวกอย่างเราก็แค่ตัวตนสามัญ เทพองค์ไหนจะมาสนใจเรา?”
“แต่ตอนข้าเข้าไปน่ะ เจอพวกเอลฟ์คลั่งเข้าเต็ม ๆ ดันเกิดเรื่องปะทะกันอีก! เชื่อไหมท่าน? พวกนั้นดุยิ่งกว่าผู้กล้าบางคน! แถมเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก!”
“เอลฟ์คลั่ง?”
ร่างสูงใหญ่ชะงักเล็กน้อย ขณะพึมพำทวนคำ
เมื่อเห็นว่านายทุนของตนเริ่มมีท่าทีสนใจ นักผจญภัยก็ยิ่งคุยอย่างออกอรรถรส
“ใช่แล้วท่าน! พวกเอลฟ์คลั่งนั่นแหละ!”
“ท่านคงเคยได้ยินเรื่องสงครามโลกใต้พิภพเมื่อสองปีก่อนใช่ไหมครับ? หรือสงครามศรัทธาระหว่างเอลฟ์กับฮาล์ฟออร์คเมื่อต้นปีนี้? พวกนั้นนั่นแหละ!”
“ข้าบอกเลย พวกเอลฟ์กลุ่มนี้ประหลาดจริง ๆ เวลาสู้ก็ราวกับเสียสติ ไร้ระเบียบแต่กลับมีแบบแผนเฉพาะตัว ต่อให้ต้องตายก็ไม่คิดถอย และที่สำคัญคือ… พวกมันรับมือยากสุด ๆ!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเคยได้ยินมาว่า ต่อให้ตาย พวกมันก็ยังขายวิญญาณให้เทพธิดาแห่งความตาย แล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก! ท่านว่ามันน่ากลัวไหมล่ะครับ?”
“แล้วก็ไม่ใช่แค่ดุเดือดนะ ท่านจำเรื่องวินเทอร์เฟลได้ไหม เมืองของเอลฟ์ที่อยู่ใกล้ซากเทพนั่นน่ะ? แค่สองเดือนเองนะครับ! แค่สองเดือน พวกมันก็สร้างเมืองจนเสร็จ แถมยังตั้งเขตป้องกันด้วยพลังเทพอีก! จะบุกก็แทบแตะไม่ได้ ท่านว่า… พวกนี้มันน่าขนลุกไหมล่ะ?”
ชายร่างใหญ่นิ่งฟัง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“ก็น่ากลัวอยู่ ข้าเองก็เคยได้ยินว่า จำนวนของพวกมัน มากเสียจนเหมือนผุดขึ้นมาจากผืนป่า”
“ใช่เลย!”
นักผจญภัยพยักหน้ารัวแรง จากนั้นก็หันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะโน้มตัวลง ลดเสียงให้เบาลงอย่างจงใจ
“ท่านครับ… ท่านพูดถึงพวกเอลฟ์ที่เหมือนโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า งั้น… ท่านรู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วพวกมันมาจากไหน?”
“หืม?”
ชายร่างใหญ่หันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาใคร่รู้
“จากที่เจ้าพูด… เจ้ารู้ที่มางั้นหรือ?”
นักผจญภัยยิ้มมุมปาก หัวเราะหึหึ
“หึ! ท่านครับ เรื่องนี้คนทั่วไปไม่รู้หรอก แต่ข้าบังเอิญรู้เข้า! ได้ยินมากับหูตัวเองเลย ตอนก่อนจะปะทะกับพวกเอลฟ์ในซากเทพนั่นแหละ!”
เขากล่าวอย่างคึกคัก จากนั้นก็ลดเสียงลงอีกครั้ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านครับ… ที่พวกเอลฟ์พวกนี้เหมือนโผล่ขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน เป็นเพราะ… พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกนี้!”
“หา?”
นักรบสูงใหญ่หรี่ตาลงอย่างพินิจ
“ถูกต้อง!”
นักผจญภัยพยักหน้ารัว แล้วกล่าวต่อด้วยความมั่นใจ
“ข้ารวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง ผนวกกับสิ่งที่ได้ยินมา จนสามารถสรุปออกมาเป็นความจริงข้อเดียว…”
เขาหยุดพูด หันมองรอบด้านอีกครั้ง ก่อนจะกระพริบตาข้างหนึ่งให้กับชายร่างใหญ่
คนฟังเข้าใจในทันที เขาหันไปส่งสัญญาณเล็กน้อยให้ออร์คที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลัง
ออร์คผู้นั้นแค่นเสียงเบา ๆ จากลำคอ ก่อนจะหยิบเหรียญทองอีกเหรียญจากอกเสื้อแล้วโยนให้ชายตรงหน้า
นักผจญภัยยิ้มแฉ่ง รีบคว้าเหรียญไว้แล้วประจบอย่างมีความสุข
“ขอบพระคุณท่านมาก! ท่านนี่ใจกว้างยิ่งนัก! เช่นนั้นข้าจะเล่าให้หมดทุกอย่างที่รู้!”
เขาก้มตัวลงเล็กน้อย ลดเสียงลงอีกครั้ง
“ท่านครับ ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากพวกโลกใต้พิภพ… ว่ากันว่าในป่าเอลฟ์น่ะ มี ‘เขตแดนย่อย’ ลับซ่อนอยู่แห่งหนึ่ง!”
“เขตแดนย่อย?”
นักรบขมวดคิ้วนิด ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย คล้ายจะนึกอะไรออก สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างไม่ทันยั้ง
…แต่การเปลี่ยนสีหน้านั้นกลับดูธรรมชาติเกินควร จนดูน่าประหลาดแทน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเอลฟ์?”
ชายร่างใหญ่ถามต่อด้วยเสียงนิ่ง
“เกี่ยวมากเลยครับ!”
นักผจญภัยตบต้นขาตัวเองฉาดใหญ่ด้วยความฮึกเหิม
เขาเคลียร์ลำคอ แล้วเริ่มเล่าต่ออย่างตื่นเต้น
“พวกมนุษย์ที่อยู่ในเขตแดนนั้น ว่ากันว่า… ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา! พวกเขามีสายเลือดของเอลฟ์! เอลฟ์ที่เราเห็นอยู่ในป่าเอลฟ์ทุกวันนี้ แท้จริงแล้วก็คือมนุษย์พวกนั้น ที่กลายร่างไปต่างหาก!”
“ท่านอาจคิดว่าฟังดูเหลือเชื่อ แต่นี่คือความจริง! เพราะข้าได้ยินมาว่า เทพธิดาแห่งชีวิตน่ะ มีศาสตราวิเศษอยู่เล่มหนึ่ง… เรียกว่า ‘คทาแห่งชีวิต’!”
“ตามตำนาน คทานี้สร้างชีวิตใหม่ได้! และยังมีพลังชำระสายเลือดให้บริสุทธิ์!”
“มนุษย์ที่ถูกคัดเลือก พอได้รับการชำระจากคทานั้น ก็จะกลายเป็นเอลฟ์!”
“และเพราะพวกเขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อน นิสัยจึงไม่เหมือนพวกเอลฟ์ที่รู้จักกันทั่วไป!”
“ยิ่งกว่านั้น ข้ายังได้ยินว่าเทพธิดาแห่งชีวิตนั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเทพธิดาแห่งความตายอีกด้วย! นั่นล่ะสาเหตุว่า ทำไมเอลฟ์พวกนี้ ถึงมีความสามารถใกล้เคียงกับเหล่าวิญญาณ!”
นักผจญภัยกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความตื่นเต้น แล้วโน้มตัวเข้าใกล้อีกนิด
“ท่านว่าแบบนี้… น่ากลัวไหมล่ะครับ?”
เมื่อฟังจบ นักรบสูงใหญ่ดูคล้ายจะประหลาดใจอยู่บ้าง เขาหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เรื่องแบบนี้นับว่าเป็นความลับขั้นสุดเลยนะ แล้วเจ้าไปได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหน?”
“ถึงได้บอกยังไงล่ะครับว่านี่มันข้อมูลเฉพาะของข้า!”
นักผจญภัยยืดอกด้วยท่าทีภูมิใจ
“ข้าเสี่ยงตายรวบรวมข่าวสารจากสารพัดแหล่ง ก่อนจะปะติดปะต่อกันจนได้ข้อสรุปนี้ออกมา!”
ได้ยินเช่นนั้น นักรบก็แค่นเสียงในลำคอเบา ๆ แล้วส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
“เจ้าคนกล้าทั้งหลายที่อ้างว่ารู้ ‘ข้อมูลลับเฉพาะ’ แบบเจ้า… วันนี้ข้าได้ฟังเป็นรายที่ห้าเข้าไปแล้ว แต่ละคนก็พูดไม่ซ้ำกันเลยสักราย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของนักผจญภัยชะงักค้างทันที
นักรบโบกมือไล่ ขณะที่ออร์คผู้ติดตามก็ส่งเสียงหึเบา ๆ จากลำคอ พร้อมกล่าวสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไสหัวไปซะ”
นักผจญภัยสะดุ้งเฮือก รีบเก็บของแล้วเผ่นแน่บออกไปอย่างหมดท่า ทิ้งไว้เพียงชายร่างใหญ่ที่ยืนถอนหายใจพลางส่ายศีรษะช้า ๆ
เขาก้าวขึ้นสู่ท่าเรือ มองข้ามแม่น้ำวิมูร์ไปยังผืนป่าเขียวขจีที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า แววตาฉายชัดถึงความครุ่นคิดที่ยากจะเดา
และแล้ว เมื่อผู้คนริมท่าเรือเห็นเขากับผู้ติดตามปรากฏตัว ก็มีพ่อค้าหลายคนที่แต่งกายหรูหราตาเป็นประกาย รีบตรงเข้ามาล้อมรอบทันที พร้อมรัวคำพูดอย่างประจบประแจง
“ท่านครับ! สนใจแผนที่เขตเหนือของป่าเอลฟ์ไหม? เป็นแผนที่ที่นักผจญภัยจากสมาคมของเราจดบันทึกมา หลังรอดจากอาณาจักรแห่งเทพของต้นไม้โลก มีจุดเข้าออกหลายแห่งเลยทีเดียว!”
“อย่าไปเชื่อพวกพูดลอย ๆ นั่นเลยครับ! ทางเข้าสู่อาณาจักรแห่งเทพไม่มีตำแหน่งตายตัว มันเปลี่ยนที่อยู่ตลอด! แต่สมาคมของเรามีอุปกรณ์เวทที่ตรวจจับพลังมิติได้ รับรองหาเจอแน่นอน! แค่ห้าร้อยเหรียญทองเท่านั้น!”
“ท่านครับ! ข้ามีคัมภีร์เวทที่ใช้ขจัดเอลฟ์ชั่วร้ายโดยเฉพาะ! เพียงสามร้อยเหรียญทอง รับรองว่าเอลฟ์หน้าไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้!”
“ท่านครับ! ท่านครับ…”
พ่อค้าต่างพากันรุมล้อมด้วยท่าทีคึกคักราวกับเหยี่ยวหิวโซ หวังจะคว้าเหยื่อรายใหญ่
ในฐานะพ่อค้า พวกเขาต่างมีสายตาเฉียบคมยิ่ง แม้นักรบผู้นั้นจะแต่งกายเรียบง่าย ทว่าเครื่องป้องกันแต่ละชิ้นล้วนเป็นวัสดุชั้นเลิศเกินสามัญชนทั่วไปจะครอบครอง
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ผู้ติดตามที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่เบื้องหลัง… ระดับพลังแฝงของเขาไม่ต่างจากยอดนักรบระดับทอง!
ผู้ที่กดพลังไว้ได้แน่นิ่งถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ใครจะควบคุมได้ง่าย ๆ
และหากมีใครสักคนที่สามารถทำเช่นนั้นได้ คนผู้นั้นย่อมไม่ธรรมดา ต้องเป็นว่าที่ลูกค้ารายใหญ่ที่พวกเขาไม่มีวันยอมปล่อยให้หลุดมือ
แน่นอนว่า… ถ้าเอาใจให้ถูกวิธี เงินก้อนโตก็อยู่แค่เอื้อม!
จะมีใครดั้นด้นมาถึงป้อมคอลลินส์ในยามนี้ หากไม่ใช่เพราะเป้าหมายคือซากเทพกลางป่าอีกฝั่งของแม่น้ำ?
พ่อค้าแต่ละคนต่างแข่งกันเสนอสินค้าด้วยคำพูดรัวไม่หยุด แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากนักรบ… มีเพียงความเงียบ
และยิ่งพวกเขาเซ้าซี้มากขึ้น ท่าทางของชายผู้นั้นก็ยิ่งแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน
จนกระทั่งในที่สุด เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำ
“หึ… น่ารำคาญยิ่งกว่าก็อบลินเสียอีก พวกเจ้าน่ะ ไปให้พ้น!”
ทันใดนั้น ผู้ติดตามก็แผดเสียงคำรามกึกก้องด้วยความกราดเกรี้ยว แล้วตวาดใส่ฝูงพ่อค้าเสียงดังลั่น
พร้อมกันนั้น เขาก็ชักขวานใหญ่สีแดงออกจากข้างเอว แล้วฟาดลงกับพื้นอย่างรุนแรง
เสียงโลหะกระทบพื้นดังสะเทือนดังก้อง แรงกดดันระดับมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
ไม่เพียงพ่อค้า แม้แต่นักผจญภัยที่อยู่ใกล้ต่างก็หน้าซีดถอดสีไปตาม ๆ กัน
“ขวานแดง… นั่นมัน ‘นักรบคลั่ง เฮอคิวลิส’ ไม่ใช่เรอะ?!”
เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังขึ้นจากท่ามกลางฝูงชน
…เฮอคิวลิส
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ผู้คนรอบข้างก็พลันเปลี่ยนสีหน้า ทั้งตกใจ ทั้งหวาดหวั่น
เพราะเขาคือหนึ่งในนักรบระดับตำนาน ของพันธมิตรออร์ค!
ฝูงชนจึงรีบถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็ว
ในพริบตา บริเวณโดยรอบก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ไม่มีแม้แต่เสียงพ่อค้าหรือนักผจญภัยกล้าก้าวเข้าใกล้
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงบลงในทันใด นักรบสูงใหญ่ก็เผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย เขาถอนหายใจ แล้วเอ่ยขึ้น
“เฮอคิวลิส… ผ่านมากี่ปีก็ยังหุนหันพลันแล่นไม่เปลี่ยนเลยนะเจ้าน่ะ”
ฮาล์ฟออร์คผู้นั้นส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนกล่าวเสียงเรียบ
“พวกสามัญชนโง่เขลานั่นเสียงดังเกินไป ทำลายความสำราญของท่านอาทอส”
“อย่างนั้นหรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าการได้เห็นพวกเขาต่อรองราคากัน มันก็เพลินดีนะ ทำให้นึกถึงอดีตสมัยยังร่อนเร่ในโลกสามัญ…”
นักรบหัวเราะหึหึในลำคอ กล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
เพียงแต่ในถ้อยคำนั้น ไม่มีร่องรอยของความหงุดหงิดเล็กน้อยที่เขาเคยเผยให้เห็นก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พึมพำเบา ๆ กับตนเอง
“เขตแดนย่อย… มนุษย์… ชำระสายเลือด… นี่คือเหตุผลที่เอลฟ์เติบโตอย่างรวดเร็วงั้นหรือ?”
“แต่ข้ากลับรู้สึกว่า… มีบางอย่างผิดแปลกอยู่ตลอด”
เขากล่าวพลางส่ายศีรษะอีกครั้ง
“น่าเสียดาย…”
นักรบกล่าวเสียงแผ่วเบา ดวงตาเคลือบแววเสียดายระคนเสียดสี
“พวกเอลฟ์เหล่านั้นอยู่ใต้การคุ้มครองโดยตรงของเทพธิดาแห่งชีวิต หากมิใช่เช่นนั้น ข้าคงจับตัวมันมาเค้นความลับไปนานแล้ว”
เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่องค์เทพสั่งให้ข้าสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง… เทพธิดาแห่งชีวิตผู้นี้ ดูท่าจะลึกลับไม่น้อย”
ว่าจบ เขาก็หันไปมองออร์คผู้ติดตามอีกครั้ง
“จริงสิ เฮอคิวลิส… แล้วทางฝั่งทะเลทรายมรณะล่ะ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินคำถาม สีหน้าของออร์คก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที
“ไม่สู้ดีนัก ข้าได้ส่งสาวกไปเผยแพร่พระวจนะขององค์เทพแล้ว แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง… ฮาล์ฟออร์คจำนวนไม่น้อยกล้าต่อต้านผู้ประกาศพระวจนะเสียด้วยซ้ำ”
“ต่อต้านงั้นหรือ…”
ชายร่างใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร สุดท้ายแล้ว ตอนนั้นพวกเจ้านั่นแหละที่เป็นฝ่ายขับไล่พวกเขาออกไปเอง”
คำพูดนั้นทำเอาเฮอคิวลิสเงียบงัน ไม่อาจโต้ตอบได้แม้เพียงคำเดียว
นักรบเห็นอีกฝ่ายนิ่งงัน จึงยื่นมือไปตบไหล่เขาเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
“พอเถอะ อย่าใส่ใจอดีตให้มากนัก ตอนนี้สิ่งสำคัญคือภารกิจเบื้องหน้า เราควรไปเข้าเฝ้าเทพธิดาแห่งชีวิตก่อนจะดีกว่า ข้าเองก็ไม่ได้ลงมาเหยียบแผ่นดินซากัสมานาน ครั้งนี้เธอผัดผ่อนมานานพอแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของออร์คก็เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
“รับทราบครับ ท่านอาทอส! จะให้จัดเตรียมเรือหรือไม่? จากที่นี่สามารถล่องตรงเข้าสู่ใจกลางป่าเอลฟ์ได้เลย ข้าได้ข่าวว่าพวกเอลฟ์สร้างท่าเรือแห่งหนึ่งไว้แล้ว… เรียกว่า ‘เกรย์ฮาเวน’”
“ไม่จำเป็น”
นักรบส่ายหน้าเบา ๆ พลางกล่าวเสียงราบเรียบ
“ไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น เพียงไปยังเมืองเอลฟ์ที่ใกล้ที่สุด ขอแค่มีวิหารของเทพธิดานั่นก็พอ”
“วินเทอร์เฟลสินะ… ข้าเองก็อยากเห็นอยู่เหมือนกัน เมืองที่พวกเขาสร้างเสร็จในเวลาเพียงสองเดือน… มันจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร”
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
โนเอล: ☕📚 พวกพ่อค้า… เห็นพลังแล้วก็ยังไม่กลัว ยังจะเสนอแผนที่เวทมิติกับคัมภีร์ไล่เอลฟ์อีก นี่มันตลาดนัดสงครามมากกว่าท่าเรือแล้วนะคะ…
ลิลี่: 😹💥 อาทอสขา~ ถ้าจะ “เข้าเฝ้า” พี่อีฟล่ะก็… หนูแนะนำให้เตรียมชุดใหม่ด้วยนะคะ เพราะท่านเทพธิดาของเราไม่ปล่อยคนหน้าโทรมเข้าวินเทอร์เฟลแน่ ๆ 💅✨
ถั่ว: นั่นค่ะ! มีออร์คโผล่มาแล้ว..!!
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION