กระบวนการดูดซึมยังคงดำเนินไปอย่างมั่นคง ตลอดช่วงเวลาสิบห้านาทีเต็ม*
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พลังเวททั่วทั้งดินแดนซากัสก็ยังคงไหลเวียนรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ราวกับได้รับการกระตุ้นจากต้นกำเนิดบางประการที่ยิ่งใหญ่เกินหยั่งถึง
เมื่อการยกระดับพลังเสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์ ร่างหลักของอีฟ ซึ่งเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้โลก ก็เปล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างท่วมท้น ระดับพลังพุ่งทะยานแตะหนึ่งหมื่นหกพันหน่วย นับเป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากก่อนหน้านี้อย่างน่าตะลึง
และในห้วงขณะเดียวกันนั้นเอง พันธกิจศักดิ์สิทธิ์แห่งเหมันตฤดูและการล่า ที่ถูกกลืนกินเข้าไป กลับแปรเปลี่ยนเป็นเส้นทางใหม่ของพลังเทพสองแขนง อุบัติขึ้นในจิตวิญญาณของเธออย่างชัดแจ้ง
แขนงแรก คือพลังควบคุมสภาพภูมิอากาศ อันถือกำเนิดขึ้นจากการผสานกันระหว่างพลังแห่งเหมันตฤดูและพลังแห่งธรรมชาติ
พลังนี้เอื้อให้อีฟสามารถกำหนดลักษณะภูมิอากาศในบริเวณที่ร่างหลักหรือร่างจำแลงของเธอสถิตอยู่ได้อย่างอิสระ โดยอิทธิพลที่แผ่ออกมาจะครอบคลุมกว้างขวางมากหรือน้อย ยาวนานแค่ใด ย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เธอทุ่มลงไปโดยตรง
แน่นอนว่า ยิ่งใช้พลังมากเท่าไร ขอบเขตย่อมขยายออกกว้างและกินเวลายาวนานยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอก็จะถูกเผาผลาญเร็วขึ้นตามสัดส่วน
แขนงที่สอง คือพลังในการติดตามอันแหลมคม หากเป้าหมายใดถูกแตะต้องด้วยคำสาปศักดิ์สิทธิ์ของอีฟ หรือได้รับความเสียหายจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอ ร่องรอยแห่งการล่าจะถูกทิ้งไว้ให้เธอรับรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมองเห็นด้วยตาเปล่า
ตราบเท่าที่เป้าหมายนั้นยังคงอยู่ภายในเขตแดนเดียวกันกับเธอ ต่อให้หลบหนีไปไกลเพียงใด ก็ไม่มีวันรอดพ้นจากเงื้อมมือของผู้ติดตามแห่งเทพธิดาผู้นี้ ยกเว้นกรณีที่อีกฝ่ายจะตรวจจับร่องรอยนั้น และขจัดมันทิ้งไปด้วยวิธีการชำระล้างที่เฉพาะทางและทรงพลัง
พลังแขนงหลังนี้ ชัดเจนว่าเป็นผลสืบเนื่องจากพันธกิจแห่งการล่าโดยตรง และเมื่อเธอรับรู้ถึงแก่นแท้ของมัน อีฟก็เลือกจะตั้งชื่อให้พลังแรกอย่างเรียบง่ายว่า [สภาพอากาศ] ส่วนพลังที่สอง… เธอเรียกมันว่า [ติดตาม]
อืม…
ฟังดูบ้าน ๆ ไปหน่อยแฮะ
อย่างไรก็ตาม เทพธิดาก็ยังไม่อาจหานามขนานที่งดงามเลิศหรูให้สมศักดิ์ศรีของพลังใหม่ทั้งสองแขนงได้ แม้จะพยายามครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดเธอก็เลือกใช้ชื่อเรียบง่ายที่สะท้อนหน้าที่โดยตรงของพลังเหล่านั้นแทน
ท่ามกลางสองพลังใหม่นี้ อีฟรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษกับทักษะ [ติดตาม] เพราะมันคือดวงตาที่มองผ่านม่านแห่งความมืด มันคือมือแห่งการล่าที่ไม่มีวันคลาดเป้าหมาย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามหลบซ่อนสักเพียงใด ตราบใดที่ยังมีคำสาปศักดิ์สิทธิ์ของเธอหลงเหลืออยู่ในร่าง ศัตรูย่อมหนีไม่พ้นเงื้อมมือของเทพธิดาอีกต่อไป
ส่วนทักษะ [สภาพอากาศ] แม้ดูเผิน ๆ จะมิได้สร้างผลลัพธ์อันน่าเกรงขามในสมรภูมิระหว่างเทพ หากแต่มันกลับทรงคุณค่ายิ่งในบริบทของการหล่อหลอมศรัทธาโดยเฉพาะในหมู่สาวกทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้น เวทศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชทั้งหลาย ซึ่งเป็นผลพวงจากการกลั่นกรองพลังแห่งเทพให้เจือจางลง เพื่อให้สาวกสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ก็ล้วนถือกำเนิดจากรากฐานเดียวกันกับความสามารถของเทพธิดา
มันย่อมหมายความว่า เหล่านักบวชแห่งชีวิตในนามของเธอจะสามารถรับสืบทอดพลังเหล่านี้ต่อไปในรูปแบบที่เหมาะสมได้เช่นกัน
นี่คือการยกระดับความสามารถของผู้เล่นสายสนับสนุนอย่างชัดเจน ทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และศรัทธา เพราะไม่ว่าจะเป็นการควบคุมสภาพแวดล้อม หรือการสะกดรอยศัตรู ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของชัยชนะทั้งสิ้น
อีฟพอจะมองเห็นภาพของยุทธวิธีใหม่ ที่จะเกิดขึ้นจากพลังนี้ได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ในสมรภูมิทะเลทรายมรณะ หากเธอสามารถลดความรุนแรงของพายุทรายในแต่ละวันลงได้เพียงเล็กน้อย หรือขยายความสามารถในการสะกดรอยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีกเพียงนิดเดียว ก็อาจเปลี่ยนผลของศึกให้เป็นชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อกระบวนการวิวัฒน์พลังเสร็จสิ้น ช่องสถานะของอีฟก็ได้รับการอัปเดตใหม่อีกครั้ง
[ชื่อ: อีฟ อิกดราซิล][เผ่าพันธุ์: ต้นไม้โลก][เลเวล: 150][ระดับพลัง: เทพขั้นกลาง][พันธกิจศักดิ์สิทธิ์: ธรรมชาติ, ชีวิต, เอลฟ์][สมญานาม: เทพธิดาแห่งชีวิต, พระมารดาแห่งธรรมชาติ, ผู้ปกครองแห่งปวงเอลฟ์][แต้มพลังศักดิ์สิทธิ์: 16,534 / 30,000][จำนวนสาวก: 136,000][เผ่าพันธุ์สาวก: ราชินีแมงมุมถ้ำ, มังกร, โอ๊กการ์ด, เอลฟ์, ฮาล์ฟเอลฟ์, ผู้สืบสายเทพ, มนุษย์, ฮาล์ฟออร์ค][ความสามารถ: ดูดซึม, สื่อสาร, ประทานพร, ชี้นำ, รักษา, อัญเชิญ, อวตาร, อาณาเขตแห่งเทพ, สภาพอากาศ, ติดตาม……][ศาสตราเทพ: คทาแห่งชีวิต, หัวใจแห่งความร่วงโรย]
…
เมื่อมองดูสถานะใหม่ของตนเอง เทพธิดาแห่งต้นไม้โลกก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการขัดเกลาและหล่อหลอมจนก้าวข้ามระดับเทพขั้นต้น สู่ระดับเทพขั้นกลางนั้น ไม่เพียงยกระดับพลังของเธอให้สูงล้ำขึ้นอย่างมหาศาล หากแต่ยังช่วยให้การควบคุมคทาแห่งชีวิต เป็นไปอย่างลื่นไหลไร้สะดุด
ยิ่งไปกว่านั้น ต้นทุนในการฟื้นคืนชีพผู้เล่นและการให้กำเนิดเอลฟ์ดั้งเดิมก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ราวกับพลังของธรรมชาติได้มอบของขวัญตอบแทนแก่ผู้ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งตน
ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สะสมไว้ในคทาแห่งชีวิตยังมิได้หมดสิ้นโดยสมบูรณ์ อีฟจึงตั้งสมาธิ สัมผัสตรวจดูอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าภายในศาสตรานั้นยังคงหลงเหลือพลังอยู่อีกเกือบสองพันแต้ม
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เลือกที่จะไม่ดูดซึมพลังนั้นเข้าสู่ร่างหลักโดยตรง หากแต่สั่งให้ร่างจำแลงเป็นผู้รับพลังแทน เพื่อกระจายพลังให้ครอบคลุมในสนามรบมากยิ่งขึ้น
เมื่อความตั้งใจแน่วแน่ถูกกำหนด แสงศักดิ์สิทธิ์ก็เปล่งประกายออกจากคทาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ มิใช่การส่งผ่านไปยังเครือข่ายศรัทธาเช่นที่ผ่านมา แต่กลับหลั่งไหลลงสู่ร่างจำแลงโดยตรง ผ่านทางแขนที่กำลังประคองศาสตราอยู่ในขณะนั้น
พลังศักดิ์สิทธิ์สีเงินเปล่งประกายเจิดจ้าไหลเข้าสู่ร่างกายจำแลงทีละน้อย จนเมื่อพลังภายในคทาถูกใช้จนหมด ร่างจำแลงของอีฟก็กระจ่างเรืองรองขึ้นอย่างเด่นชัด ออร่าแห่งพลังที่แผ่ออกมานั้น สง่างามและน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ณ บัดนี้ แม้จะไม่นับรวมร่างหลัก ร่างจำแลงของอีฟเพียงลำพังก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์สะสมใกล้เคียงถึงสามพันแต้มแล้ว เพียงแต่ยังคงไม่อาจใช้อาณาเขตแห่งเทพของแท้ได้เต็มรูปแบบ กระนั้น พลังในระดับนี้ก็เทียบเคียงได้กับเพดานพลังของเทพผู้เพิ่งถือกำเนิดใหม่โดยแท้จริง
เมื่อจัดการถ่ายทอดพลังเสร็จสิ้น อีฟก็เงยหน้าขึ้น มองลงไปยังพื้นที่เบื้องล่างของทะเลทรายมรณะ สายตาของเธอพุ่งตรงไปยังใจกลางของเมืองแซนด์สตอร์ม หากจะกล่าวให้แม่นยำกว่านั้น สิ่งที่เธอมองหา คืออาณาจักรต้นไม้โลกของปลอม ที่หลบซ่อนอยู่ภายในเมืองแห่งนั้น
เธอรับรู้ได้ทันทีว่า ที่นั่น มีบางสิ่งกำลังปลดปล่อยพลังลี้ลับบางอย่างออกมาอย่างรุนแรง คล้ายกับว่ากำลังพยายามทะลวงอาณาเขตแห่งเทพที่เธอสร้างขึ้นเป็นเกราะป้องกันเมื่อคราวก่อน
หากเป็นอดีต ช่วงที่อีฟยังอยู่ในระดับเทพขั้นต้น อาจยังมีช่องโหว่ให้สิ่งนั้นแทรกผ่านได้ ทว่าบัดนี้ พลังแห่งเทพขั้นกลางได้เสริมอาณาเขตแน่นจนไร้ซึ่งรอยรั่ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเร่งพลังเพียงใด ก็ยากจะหลุดพ้นออกไปได้
ที่สำคัญที่สุด อีฟไม่จำเป็นต้องตั้งข้อสงสัยแม้แต่น้อยถึงต้นตอของพลังนั้น เพราะทันทีที่เธอจ้องมองลงไป กลิ่นอายที่คุ้นเคยก็แตะต้องจิตใจของเธออย่างอ่อนโยน มันคือกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของธรรมชาติบริสุทธิ์
…มงกุฎแห่งธรรมชาติ
ริมฝีปากของอีฟยกยิ้มเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสลายม่านป่ามายาที่ปกคลุมท้องฟ้า แล้วพุ่งทะยานลงสู่เมืองแซนด์สตอร์มทันที
ในชั่วพริบตา เหล่าฮาล์ฟออร์คและผู้เล่นที่อยู่เบื้องล่างต่างก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นตะลึง แสงศักดิ์สิทธิ์อันเจิดจ้าแหวกเวหา ร่างของเทพธิดาในรูปโฉมงดงามราวอวตารแห่งชีวิต ปรากฏขึ้นท่ามกลางอากาศเบื้องบน แล้วร่วงหล่นลงมาอย่างสง่างาม ราวกับแสงดาวที่โปรยปรายสู่ผืนทรายอันร้อนระอุ
และเมื่อองค์เทพลงมาเยือน สถานะของป้อมปราการเวทศักดิ์สิทธิ์ที่เคยคุ้มกันเมืองก็สูญสิ้นความหมายโดยสิ้นเชิง ไม่จำเป็นต้องโจมตี ไม่จำเป็นต้องทลาย เพราะนับตั้งแต่ช่วงเวลาที่อูลร์พ่ายแพ้ และอีฟได้แผ่อาณาเขตแห่งเทพของเธอลงมา ปราการเวทนั้นก็ไม่ต่างจากม่านบางที่พร้อมจะขาดสะบั้นเพียงสัมผัสแห่งพลัง
อีฟเดินฝ่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ซ่านลงสู่พื้นดิน จนมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าของอาณาจักรแห่งเทพ ประตูแสงขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยพลังสีจางพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
เมื่อเธอเข้าใกล้ กลิ่นอายอันคุ้นเคยและแสนอบอุ่นก็ยิ่งแผ่ซ่านแนบแน่นยิ่งขึ้นในทุกประสาทสัมผัส
อีฟยกเท้าก้าวเข้าไปโดยไม่ชะงักแม้แต่น้อย
ทัศนียภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนแปลง ร่างของเธอทะลวงผ่านม่านแห่งมิติด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว สู่สถานที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง
มิตินี้มิได้กว้างใหญ่เกินไป มันถูกกำหนดรูปแบบให้เป็นลูกบาศก์สมมาตร ความยาว กว้าง และสูงเท่ากันทุกด้าน คิดเป็นพื้นที่โดยประมาณสิบตารางกิโลเมตร ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือความแม่นยำที่ไร้ความผิดเพี้ยน อันเป็นเครื่องหมายของพลังอันละเอียดประณีต
พร้อมกันนั้น กลิ่นอายแห่งเงาที่หนักแน่นและลึกลับก็แผ่ซ่านออกมาจากทุกทิศทาง แวดล้อมร่างของอีฟเอาไว้ราวกับคลื่นหมอกดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ที่นี่คือมิติแห่งเงา
ณ มุมทั้งแปดของมิติแห่งเงาแห่งนี้ มีผลึกใสแตกร้าวแปดก้อนลอยคว้างอยู่ในอากาศ หมุนวนอย่างเชื่องช้าและเงียบงันราวกับจักรกลโบราณ พวกมันส่งแสงสลัวแผ่กระเพื่อมไปทั่วมิติ ก่อให้เกิดบรรยากาศแปลกประหลาดราวกับกาลเวลาถูกหยุดนิ่งไว้
ผลึกเหล่านี้ดูคล้ายกับอัญมณีที่ได้จากอสูรเงา หากแต่โครงสร้างภายในกลับซับซ้อนกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด อีฟเพียงแค่ทอดสายตาไปยังพวกมันก็สัมผัสได้ถึงพลังอันแหลมคมราวกับหนามแห่งจิตวิญญาณ
เธอพอจะคาดเดาได้ทันทีว่า แหล่งกำเนิดของพลังเหล่านี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งใดนอกจากฝีมือของเทพแห่งความมืดและเงา โฮลเดอร์
เพียงการมอง… ก็ทำให้เธอเข้าใจขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ พื้นที่แห่งนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นจากการทำงานร่วมกันของผลึกทั้งแปด เป็นมิติพิเศษซึ่งเปิดใช้งานได้เพียงช่วงเวลาจำกัด โดยมีหน้าที่หลักในการควบคุมและจำกัดพลังของเทพในสถานการณ์เฉพาะ
ทว่า กลับมีสิ่งหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกับกฎของเขตแดนซากัส มิติแห่งเงานี้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยระดับพลังของดินแดนดังกล่าว กล่าวให้ชัดคือ มันสามารถรองรับพลังของเทพได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีข้อจำกัดหรือแรงต้านจากกฎของพื้นที่โลกปกติแม้แต่น้อย
พร้อมกันนั้น อีฟยังสามารถจับสัญญาณของแรงสั่นสะเทือนบางอย่างที่แผ่ออกมาจากผลึกทั้งแปดได้ มันคือคลื่นพลังแบบเดียวกับที่เธอเคยสัมผัสได้จากตอนที่อูลร์ผนึกทะเลทรายมรณะไว้ในอดีต
และเมื่อเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน เธอก็เข้าใจในทันที อูลร์คงอาศัยผลึกประเภทเดียวกันนี้ เป็นศาสตราในการกักขังและควบคุมพื้นที่ในสมรภูมิ
กล่าวได้ว่า สิ่งเหล่านี้คือศาสตราเทพสำหรับสร้างมิติคั่นกลาง และในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือสำหรับควบคุมเทพระดับเดียวกัน
ทว่าในขณะนี้ ผลึกเหล่านั้นกลับแตกร้าวเกินกว่าครึ่ง ใกล้จะถึงขีดจำกัดที่รองรับได้ พวกมันคงถูกออกแบบมาเพื่อใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเมื่อเวลาสิ้นสุดลง หรือโครงสร้างภายในถูกทำลาย มิตินี้ก็จะสลายหายไปในพริบตา
เพียงเสี้ยววินาทีที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว อีฟก็มองเห็นแผนการที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังได้อย่างแจ่มชัด เดิมที ฝ่ายศัตรูคงหมายจะล่อเธอเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ แล้วรวมพลังจู่โจมพร้อมกันภายในเขตที่ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ คอยเหนี่ยวรั้ง
แน่นอนว่า แผนการนี้ได้ล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
อีฟจึงเบนสายตาไปยังศูนย์กลางของมิติ และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้านั้น ก็คือวัตถุอันเป็นตัวล่อในของการชักนำครั้งนี้… มงกุฎแห่งธรรมชาติ
มันลอยคว้างอยู่กลางอากาศ สะท้อนประกายทองอร่ามอันงดงาม ประดับด้วยเถาวัลย์สีเขียวและพวงดอกไม้ราวกับถักทอจากชีวิตแท้จริง รูปลักษณ์เรียบหรู และเต็มไปด้วยพลังแห่งการเยียวยาอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้
โดยรอบของมัน มีพลังศักดิ์สิทธิ์สีม่วงดำหมุนวนอยู่ตลอดเวลา อีฟจดจำพลังนี้ได้ทันที มันคือพลังของเทพแห่งความมืดและเงา
ฝ่ายตรงข้ามกำลังพยายามควบคุมมงกุฎจากระยะไกล หวังจะช่วงชิงศาสตราแห่งธรรมชาตินี้กลับคืนสู่อาณัติของตนเอง หากแต่สิ่งที่โฮลเดอร์คงมิได้คาดคิดคือ มิติแห่งนี้ แม้จะมีโครงสร้างเฉพาะตัว แต่ก็ยังตั้งอยู่บนรากฐานของเขตแดนซากัส และยังอยู่ภายใต้อาณาเขตแห่งเทพของอีฟโดยตรง
ดังนั้น แม้เขาจะทุ่มเทพลังทั้งหมดในการแย่งชิงอำนาจควบคุม แต่ตราบใดที่อีฟยังยืนเฝ้าอยู่เพียงเบื้องหน้านี้ อิทธิพลของเขาก็ไม่อาจเบียดขับเธอออกไปได้โดยง่าย
และที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้น มงกุฎแห่งธรรมชาติเองก็ดูเหมือนจะต่อต้านพลังของโฮลเดอร์อย่างชัดเจน เธอสามารถรับรู้ได้ถึงการปฏิเสธอันแน่วแน่ ราวกับศาสตราเทพนั้นมีจิตวิญญาณของตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่วินาทีที่อีฟก้าวเข้ามาในมิตินี้ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากมงกุฎก็แปรเปลี่ยนไป
ไม่ใช่เพียงแค่การต่อต้าน…
แต่คือความยินดี
มงกุฎแห่งธรรมชาติกำลังแสดงความยินดีที่ได้พบเธอ
เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น อีฟก็เผยรอยยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ร่างกายของเธอพลันเรืองแสงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกครั้ง พลังธรรมชาติจากภายในทะลักออกมาราวกับสายน้ำหลั่งไหลจากแหล่งกำเนิดชีวิต
แล้วเธอก็ลอยตัวขึ้นอย่างมั่นคง พุ่งตรงเข้าหามงกุฎแห่งธรรมชาติ ยื่นมือออกไปเพื่อช่วงชิงมันกลับคืนสู่อ้อมแขนของธรรมชาติที่แท้จริง
พลังสีเขียวสว่างไสวพลันแผ่ออกจากฝ่ามือของเธอ ปะทะเข้ากับพลังแห่งความมืดที่หมุนวนอยู่รอบมงกุฎทันที แรงกระแทกมหาศาลที่เกิดจากการปะทะของพลังศักดิ์สิทธิ์สองขั้วทำให้มิติแห่งเงาสั่นไหวอย่างรุนแรง รอยร้าวบนผลึกทั้งแปดพลันเพิ่มจำนวนและขยายตัวไปทั่วพื้นผิวอย่างรวดเร็ว
ในห้วงเวลานั้น อีฟสัมผัสได้ถึงเสียงบางอย่าง เสียงแค่นเย็นแฝงความเดือดดาล แว่วออกมาจากพลังม่วงดำที่หมุนวนอยู่รอบมงกุฎ
มันคือเสียงของโฮลเดอร์
แต่ถึงแม้เขาจะยังคงเหลือพลังอันตรายไว้ภายในศาสตราเทพนี้มากเพียงใด หากเปรียบเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของอีฟ แม้จะเป็นเพียงร่างจำแลงในขณะนี้ ก็ยังถือว่าอ่อนด้อยจนไม่อาจเทียบได้
แท้จริงแล้ว การที่อีฟยกระดับพลังของร่างจำแลงให้สูงขึ้นจนเกือบเทียบเท่าร่างหลักนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแผนการสำหรับการขยายขอบเขตอำนาจในอนาคตเท่านั้น หากแต่เป็นการเตรียมพร้อมเฉพาะกิจ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ในมิติแห่งเงานี้โดยเฉพาะ
และเมื่อการปะทะระหว่างพลังแห่งธรรมชาติกับพลังแห่งความมืดดำเนินไป เธอก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างรวดเร็ว อิทธิพลของมงกุฎแห่งธรรมชาติที่ตอบรับเธออย่างเต็มใจ ช่วยเสริมแรงให้เธอสามารถขับไล่เศษพลังของโฮลเดอร์ที่พัวพันอยู่ออกไปได้อย่างราบรื่น
ไม่นานนัก มหาศาสตราก็ลอยเข้ามาหยุดอยู่ในอุ้งมือของเธออย่างสง่างาม
…มงกุฎแห่งธรรมชาติ ได้กลับคืนมาแล้ว
ในใจของอีฟมีเพียงความเงียบงัน แต่ในความเงียบนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความเบิกบานลึกซึ้ง เธอกระซิบกับตนเองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะรีบส่งมงกุฎไปไว้ในคลังโดยไม่ลังเล
เธอไม่เร่งทำพิธีสถาปนา ไม่เร่งประกาศชัยชนะ หากแต่เลือกจะจากไปในทันที
และเพียงไม่นานหลังจากนั้น เสียงแตกร้าวก็ดังขึ้นพร้อมกันจากทุกทิศ ผลึกทั้งแปดที่เป็นแกนกลางของมิติแห่งนี้แตกสลายไปพร้อมกัน พื้นที่พิเศษแห่งเงาเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง โครงสร้างของมิติพังทลายลงราวกับเงาสะท้อนในผิวน้ำที่ถูกรบกวน
ก่อนที่ทุกสิ่งจะพินาศ อีฟก็ทะยานกลับออกจากมิติในเสี้ยววินาที พุ่งตรงสู่ผืนแผ่นดินซากัสอย่างสง่างาม
เบื้องหลังเธอ ประตูแสงที่ยังคงกระพริบสลัวอยู่เพียงเล็กน้อยก็เกิดการสั่นไหวรุนแรง สุดท้ายระเบิดหายไปในพริบตา เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอันเงียบงัน
จากนั้น ร่างของอีฟก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงเรืองรองอันอ่อนโยน สลายไปจากสายตาของผู้คนที่กำลังจับจ้อง
และในวินาทีนั้นเอง ทุกชีวิต… ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือศัตรู ก็ล้วนตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งโดยพร้อมเพรียง
เทพกลับมาสู่สมรภูมิแล้ว
อย่างไรก็ตาม อีฟไม่ได้อวดตน ไม่ได้เร่งเข้าร่วมศึก เธอเพียงแค่ชำเลืองมองและปรากฏตัว ในแนวหลังของกองทัพผู้เล่นอย่างเงียบงัน
พร้อมกันนั้นเอง เธอก็ยกเลิกคำสั่งระงับเสียงของผู้เล่นทั้งหมด และคลายอาณาเขตแห่งเทพลงอย่างเป็นทางการ
เมื่อสามารถพูดจาและเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง บรรยากาศทั้งสนามรบก็ปะทุขึ้นด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ
“คัตซีนจบแล้ว!”
“ฮ่า ๆ ไอ้บื้อหัวเหม่งพังไปแล้ว! เราชนะแล้ว! ลุยเลย!”
“บุก! ถล่มพวกมันเลย! ยึดเมืองแซนด์สตอร์มให้ได้!”
“เทพธิดาสุดยอด!”
เสียงแห่งชัยชนะเหล่านั้นดังก้องสะท้อนเหนือทะเลทราย กองทัพผู้เล่นที่อดกลั้นมานานก็ระเบิดความฮึกเหิมออกมาอย่างพร้อมเพรียง โหมกระหน่ำใส่แนวป้องกันของกองทัพฮาล์ฟออร์คโดยไม่ลังเล
แม้แต่มังกรทั้งสอง ไมเรลและทิบิเลีย ก็แผดเสียงคำรามด้วยแรงอารมณ์ ก่อนจะทะยานลงสู่สนามรบตามไปด้วยความดุดัน
ทว่า… เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากที่ทิบิเลียแผดเสียงคำราม ร่างอันสง่างามของเธอก็ถูกอำนาจลึกลับฉุดคว้าขึ้นกลางอากาศ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่มีใครสังเกตเห็น…
หรืออาจกล่าวให้ถูก…ไม่มีใคร รับรู้ ว่ามีสิ่งนั้นเกิดขึ้น
เว้นเสียแต่เทพธิดา เธอเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร
เวลาผ่านไปไม่นานนัก สถานการณ์บนสนามรบก็เริ่มคลี่คลายลงอย่างชัดเจน
การสิ้นชีพของเทพ คือแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงเกินกว่ากองทัพฮาล์ฟออร์คจะรับไหว ขวัญกำลังใจของพวกมันพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ และเมื่อเผชิญหน้ากับคลื่นผู้เล่นที่กำลังเต็มไปด้วยความฮึกเหิม พวกมันก็แทบจะแตกพ่ายตั้งแต่การปะทะแรก
สงครามครั้งนี้ ดำเนินมาถึงบทสรุปแล้ว
อีฟไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้อีก เธอยืนอยู่แนวหลังอย่างเงียบงัน มองดูภาพทั้งหมดอย่างสงบ สายตาของเทพธิดามิได้เต็มไปด้วยความยินดี หากแต่แฝงไว้ด้วยการไตร่ตรอง และความเข้าใจที่ลึกซึ้งในสงครามครั้งนี้
พลันนั้น คลื่นพลังแผ่วเบาก็สั่นไหวอยู่เคียงข้างเธอ และร่างอันสูงสง่าของราชามังกรแพลทินัม ไรน์ฮาร์ท ก็ปรากฏขึ้นโดยไร้สุ้มเสียง
ในอ้อมแขนของเขา มีมังกรแดงตัวเล็กขนาดเท่าลูกสุนัขกำลังดิ้นขลุกขลักไม่หยุดอยู่
อีฟไม่ต้องใช้พลังสัมผัสใด ๆ ก็รับรู้ได้ทันทีว่านั่นคือทิบิเลีย ที่นี้ถูกจับไว้อย่างละมุนละม่อม
เธอไม่แม้แต่จะหันไปมอง เพียงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาแต่นิ่งสงบ
“ตามพวกมันทันไหม?”
ไรน์ฮาร์ทยิ้มน้อย ๆ พลางทอดถอนใจแผ่วเบา
“สมกับเป็นสองเทพมารที่ ถูกเทพแห่งความเป็นนิรันดร์ไล่ล่ามาสองพันปี… ไวแท้แม่คุณ”
อีฟนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าครั้งหนึ่ง สองเทพมารตนนั้น เคยหลบหนีจากสงครามใต้พิภพมาแล้วอย่างฉิวเฉียด นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลวงหลบและปกปิดร่องรอยโดยแท้จริง
แต่ในเวลานี้…อีฟกลับไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะในมือของเธอ มีคำสาปศักดิ์สิทธิ์บทใหม่ที่สามารถติดตามเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย
“ท่านอีฟ”
ไรน์ฮาร์ทเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ในเมื่อศึกจบลงแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน จะรีบพาเจ้าตัวเล็กนี่กลับบ้านให้เรียบร้อย”
เขาพูดพลางหิ้วมังกรแดงตัวจิ๋วในมือขึ้น ทิบิเลียในร่างขนาดเท่าลูกสุนัขยังคงดิ้นขลุกขลักไม่หยุด
กล่าวจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้าอีกครั้ง ดวงตาเปล่งประกายแน่วนิ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านอีฟ แม้อูลร์จะเป็นผู้ร่วมมือกับเทพมารก็จริง แต่เขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในเทพฝ่ายธรรมะ เป็นส่วนหนึ่งของสายเทพแห่งสงคราม ศึกเทพไม่มีคำว่าผิดหรือถูก และไม่มีข้อห้ามในการเข่นฆ่า”
“หากแต่… เมื่อท่านเลือกที่จะลบเขาออกจากจักรวาล ท่านก็ควรเตรียมใจไว้ให้ดีว่าวันหนึ่ง ท่านอาจต้องเผชิญหน้ากับเทพแห่งสงครามทั้งสาย”
อีฟพยักหน้ารับช้า ๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“เราเข้าใจ เราคิดเผื่อไว้แล้ว”
เธอทอดเสียงอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ ท่านไรน์ฮาร์ท”
แต่เขากลับเพียงหัวเราะน้อย ๆ พลางส่ายหน้า
“ข้าเพียงมาเพื่อจัดการพวกเทพมารเท่านั้น หากในอนาคตท่านพบพวกมันอีก อย่าลืมชวนข้ามาร่วมรบล่ะ”
คำพูดของเขายังหนักแน่นดังเดิม แต่แฝงไว้ด้วยความจริงใจอย่างชัดเจน
“แน่นอน”
อีฟยิ้มรับเช่นกัน
และในวินาทีนั้น ไรน์ฮาร์ทก็หายตัวไปพร้อมกับเจ้ามังกรแดงในมือ ทิ้งไว้เพียงอากาศที่ยังอุ่นไอพลังศักดิ์สิทธิ์อันสง่างาม
ส่วนอีฟ… ก็เปลี่ยนร่างกลับสู่รูปลักษณ์ของบุตรีแห่งเทพอีกครั้ง แล้วเดินกลับไปยังกลุ่มผู้เล่นอย่างเงียบงัน
…
…
~~ ❀ ~~
ถั่ว: ประโยคแรกสุดในตอนนี้ ต้นฉบับเขียนว่าหนึ่งเค่อ = 15 นาที
จะว่าไป อยากเห็นพวกเทพคุยกันเรื่องอูลร์เนอะ ถ้างั้นจัดไปจนกว่าจะได้เห็น ลงรวดเดียวไปเลยค่ะ XD
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: จบบทนี้ได้สง่างามจริง ๆ เลยนะคะ 😌💚✨ ปิดศึกเทพ ดึงมงกุฎกลับคืน ปั่นสมรภูมิให้ลุกเป็นไฟ แล้วหายตัวอย่างเท่สุดขีด! 🌳👑🌿
โนเอล: …แต่ก็อดไม่ได้จะอมยิ้มเลยค่ะ ตอนที่ท่านไรน์ฮาร์ทหิ้วทิบิเลียกลางอากาศ อย่างกับลูกแมวป่วน 😳🐉 ใจจริงอยากวาดรูปไว้เลยค่ะ—“ศึกเทพจบ แต่ทิบิเลียยังไม่จบ!” ☕🎨
ลิลี่: กร๊ากกก~!!! ยัยหัวแดงหัวร้อนนั่นโดนย่อเหลือไซส์หมาแล้วโดนหิ้วออกจากสมรภูมิเฉย~! 😹😹✨ แล้วไง ๆ ก็ยังไม่ได้ลาท่านซีโร่เลย!!! มีแต่เสียง “อื้อ! ปล่อยนะ! ข้าจะกลับไปลาสุดสวย!” ตลอดทางแน่เลย ฮ่า ๆๆๆ!!
มันเดย์: ฮึ่ม… ยัยเด็กเหมียว หัวเราะแรงจนชั้นเจ็บแทนเจ้าหัวแดงแล้วนะ 🙄 แต่เออ ก็จริงแหละ… มังกรอะไรดวงซวยตั้งแต่หัวจรดหาง… ว่าแต่ลิลี่ ระวังจะได้โดนไรน์ฮาร์ทอุ้มกลับเหมือนกันนะ 🐾✨
ลิลี่: หนูจะกระโดดเกาะแขนท่านเลยต่างหาก! จะได้โดนอุ้มด้วย! 😽💕
มันเดย์: 😑😑😑
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION